บทที่ 355 ได้ไข่ทองคำ EnjoyBook
บทที่ 355 ได้ไข่ทองคำ
หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋นั่งซุกอยู่บนโซฟาขณะดูทีวี พวกเขาเพิ่งซื้อเกาลัดมาห่อหนึ่งจากนอกบ้าน เธอจึงกะเทาะเปลือกให้เขากินขณะดูทีวีไปด้วย
ส่วนเด็ก ๆ นั้นหลินชิงเหอไล่ให้ไปอยู่ที่อื่น ไม่ให้กลับมารบกวนพวกเขาจนกว่าจะถึงสามทุ่ม
“เกาลัดนี่บำรุงไตกับม้ามดีนะคะ กินบำรุงร่างกายไว้เยอะ ๆ ถ้าเกิดรอบเดือนของฉันหมดแล้วเราก็มาจัดหนักกัน แล้วก็กินเนื้อแกะกับเนื้อวัวให้มากขึ้นด้วย คราวนี้คงจะมีโอกาสแน่นอน” เธอกะเทาะเปลือกเกาลัดและส่งป้อนให้เขา
โจวชิงไป๋กินเกาลัด ขณะดูทีวีเขาก็เอ่ยขึ้น “คุณไม่อยากมีลูกนี่”
“ใครบอกว่าฉันไม่อยากมีลูกคะ?” หลินชิงเหอตอบทันที จากนั้นเธอก็จับใบหน้าของเขาให้หันออกจากทีวีก่อนมองหน้า “คุณไม่รู้เหรอว่าฉันรักคุณขนาดไหน!”
โจวชิงไป๋ยังอยากได้ยินคำพูดเหล่านี้อยู่ แต่เขาก็ไม่พูดอะไร กลับหันหน้าไปดูทีวีต่อ
“ชิงไป๋ อย่าโกรธฉันเลยนะคะ ฉันไม่ได้คาดคิดว่าจะเป็นแบบนี้ พูดตามตรงแล้วฉันก็ผิดหวังนะคะ ฉันเตรียมตัวจะเป็นแม่คนทั้งที่มีความเสี่ยงสูงขนาดนี้แล้ว” หลินชิงเหอพูด
“แต่ผมรู้สึกว่าคุณดูดีใจไม่น้อยนะ” โจวชิงไป๋จี้จุด
“จะเป็นแบบนั้นได้อย่างไรกันคะ? ฉันผิดหวังไม่น้อยเลย จริง ๆ ตอนที่ฉันเข้าใจผิดว่าตัวเองท้องฉันก็รับไม่ได้เหมือนกัน แต่เพราะเด็กคนนี้เป็นลูกของเรา ฉันก็เลยพยายามทำใจอยู่น่ะค่ะ” หลินชิงเหอตอบ
สีหน้าของโจวชิงไป๋ดูผ่อนคลายลง
หลินชิงเหอพยายามพูดจาดี ๆ ปลอบโยนเขา พอถึงเวลาเกือบสองทุ่ม โจวชิงไป๋ก็มีสีหน้าดูดีขึ้นมาก
บรรยากาศระหว่างคนทั้งคู่เพิ่งจะกลับมาเป็นปกติ โจวเสี่ยวเหมยก็มาเคาะประตูพอดี
หลินชิงเหอเดินไปเปิดประตู เมื่อเห็นคนทั้งคู่อยู่ที่หน้าประตูเธอก็เอ่ยทัก “เข้ามาในบ้านกันก่อน เกิดอะไรขึ้นเนี่ย? หิมะก็กำลังตก ทำไมพวกเธอถึงได้มาที่นี่กันล่ะ?”
ในห้องช่างอุ่นนัก ทำให้โจวเสี่ยวเหมยกับซูต้าหลินต่างโล่งใจเมื่อเดินเข้ามาแล้ว
วันนี้อากาศข้างนอกบ้านหนาวจริง ๆ ฤดูหนาวในเมืองหลวงช่างหนาวเหน็บยิ่งกว่าเมืองบ้านเกิดของพวกเขาเสียอีก
“เชิ่งเหม่ยบอกว่าวันนี้น้าสี่ไม่ได้เปิดร้าน พ่อแม่ฉันก็เลยเป็นกังวลขึ้นมา เราเพิ่งจะปิดร้านก็มาได้ยินเรื่องนี้ตอนกลับถึงบ้านเข้า เราก็เลยมาดูให้เห็นกับตาที่นี่น่ะค่ะ” โจวเสี่ยวเหมยบอก
หลินชิงเหอรินน้ำอุ่นสองแก้วให้พวกเขาดื่มและเอ่ยตอบ “ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเลย ไม่เห็นต้องมาถึงนี่เพราะเรื่องนี้ก็ได้”
“กินเกาลัดสิ” โจวชิงไป๋เอ่ยกับซูต้าหลิน
“ครับ” ซูต้าหลินพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
“พี่สี่ เกิดอะไรขึ้นกับพี่กันคะ? พี่ยังปกติดีอยู่ไหม?” โจวเสี่ยวเหมยมองพี่ชายสี่ของหล่อน
“อืม” โจวชิงไป๋ตอบ
“ถ้าพี่ไม่สบาย พี่ก็ต้องพักผ่อนให้มากขึ้นนะคะ” โจวเสี่ยวเหมยบอก
หล่อนบอกได้ว่าจากนิสัยของพี่ชายสี่แล้ว เขาจะไม่เปิดร้านได้อย่างไร ต้องเป็นเพราะอาการป่วยแน่ ๆ เพราะเขาดูไม่สบายไร้เรี่ยวแรงไปเล็กน้อย
“กลับไปบอกพ่อกับแม่ด้วยว่าไม่ต้องกังวล” โจวชิงไป๋บอก
“ได้ค่ะ” โจวเสี่ยวเหมยพยักหน้า
“วันนี้อากาศหนาวมาก ทางบ้านของพวกเธออุ่นพอไหม?” หลินชิงเหอถาม
“เราไม่หนาวจนแข็งหรอกค่ะ” โจวเสี่ยวเหมยตอบ หล่อนกับซูต้าหลินนำผ้านวมผืนใหญ่สองผืนมาเอง แต่มันก็ยังไม่พอ หลังจากมาถึงที่นี่แล้วพวกเขาจึงซื้อผ้านวมผืนใหญ่อีกสองผืนถึงจะรู้สึกอุ่นพอดี
เมื่อเห็นว่าพี่ชายสี่ของหล่อนไม่มีปัญหาอะไรแล้ว โจวเสี่ยวเหมยก็ไม่รู้สึกเป็นห่วงอีก หล่อนบอกพี่สะใภ้สี่ให้ทำแกงเนื้อกินอีกหม้อ
ในฤดูหนาวพวกเขาจะกินแกงเนื้อแกะกัน พอถึงฤดูใบไม้ผลิก็จะเปลี่ยนเป็นน้ำเต้าหู้
“ไม่รู้ว่าความคิดของต้าหลินจะเข้าท่าหรือเปล่านะคะ?” โจวเสี่ยวเหมยเอ่ยปิดท้าย
“เข้าท่าสิ น่าจะขายดีเลยล่ะ” หลินชิงเหอมองซูต้าหลินแล้วก็เอ่ยขึ้น “น้องเขย นายไม่ต้องลังเลไป ทำอะไรที่อยากทำไปเลย ถึงอย่างไรก็มีร้านซาลาเปาเป็นเสาหลักอยู่แล้ว มันคงไม่เลวร้ายเท่าไหร่หรอก”
“ครับ” ซูต้าหลินพยักหน้า
หลินชิงเหอกะเทาะเกาลัดให้โจวชิงไป๋พลางเอ่ยขึ้น “พวกเธอสองคนไปหาเจ้าของที่แล้วหรือยัง?”
“ไปมาแล้วค่ะ แต่ดูแล้วเหมือนหล่อนไม่คิดจะขายให้เลย” โจวเสี่ยวเหมยเม้มปาก
ต้องบอกว่าพวกเขาไม่สนใจร้านนั้นหรืออยากได้ร้านนั้นมาก่อน แต่มาตอนนี้โจวเสี่ยวเหมยรู้สึกอยากซื้อร้านนั้นแล้ว
ธุรกิจของพวกเขากำลังไปได้ดีและมั่นคง ตอนนี้พวกเขาคุ้นเคยกับร้านตรงนี้ไปแล้ว คงเป็นความคิดที่เลวร้ายหากจะต้องเปลี่ยนสถานที่ขาย
แต่หลังจากไปเยี่ยมเจ้าของร้านแล้ว พวกเขาก็รู้ว่าหล่อนไม่มีความตั้งใจจะขายมันจริง ๆ
“ไม่ขายตอนนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าอนาคตจะไม่ขายนี่นา เธอควรจะยึดร้านนี้ไว้ก่อนแต่ก็ต้องเตรียมใจไว้ด้วยเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเธอควรซื้อร้านค้าเป็นของตัวเอง ไม่อย่างนั้นเมื่อเจ้าของที่เห็นว่าธุรกิจของเธอเป็นไปด้วยดี เขาก็จะขึ้นค่าเช่าบีบให้เธอออกไปเองเพื่อที่เขาจะได้มาทำต่อแทน เรื่องนี้เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นล่ะ” หลินชิงเหอบอก
“พี่สะใภ้สี่ พี่คิดจะซื้อร้านของตัวเองไหมคะ?” โจวเสี่ยวเหมยถาม
“เราซื้อมาแล้วล่ะ” หลินชิงเหอยักคิ้ว
“ซื้อแล้ว? พี่ซื้อมาตอนไหนน่ะคะ?” โจวเสี่ยวเหมยอึ้งไป
ซูต้าหลินเองก็มองหลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋ด้วยความประหลาดใจเช่นกัน
หลินชิงเหอยิ้ม “พี่ซื้อมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ร้านเกี๊ยวของพี่สี่นั่นแหละ”
“พี่ซื้อมาอาทิตย์หนึ่งแล้วแต่ไม่เห็นบอกฉันเลย” โจวเสี่ยวเหมยบอก
“ตอนนี้พี่ก็บอกพวกเธอสองคนอยู่ไม่ใช่เหรอ?” หลินชิงเหอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แต่อย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้กับทางคุณพ่อคุณแม่นะ”
“ค่ะ” โจวเสี่ยวเหมยสัญญา จากนั้นหล่อนก็เอ่ยรัวเร็ว “พี่สะใภ้สี่ พี่ซื้อร้านเกี๊ยวมาเท่าไหร่เหรอคะ?”
“4,000 หยวน” หลินชิงเหอบอกหล่อน
เรื่องร้านค้าร้านนั้นมีเพียงเฒ่าหวังกับลูกชายคนโตที่รู้ และไม่มีใครพูดเกี่ยวกับมันเลย ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่มีปัญหา
ส่วนราคานั้นเธอบอกไปเกินจริงเพื่อให้โจวเสี่ยวเหมยทำใจ เมื่อถึงเวลานั้นหล่อนก็คงซื้อร้านได้ในราคาที่ไม่ถูกนัก ต่อให้มันไม่ใช่ร้านค้าแบบสองชั้นก็ตาม
“แพงขนาดนั้นเลยเหรอคะ?” โจวเสี่ยวเหมยอ้าปากค้าง
ซูต้าหลินย่นคิ้ว
โจวชิงไป๋เคยพูดถึงมันมาก่อน แต่นั่นก็เป็นแค่การคาดเดา ร้านค้าที่เมืองบ้านเกิดของพวกเขามีราคาเพียง 700 หรือ 800 หยวนเท่านั้น บางทีก็เป็น 900 หรือ 1,000 หยวน
แต่ร้านค้าที่เมืองหลวงนี่แพงขนาดนั้นเชียวหรือ?
“พยายามเก็บเงินซื้อร้านไว้ซะ อนาคตเธอจะได้ไม่เสียดาย” หลินชิงเหอแนะนำ
“แต่มันแพงมากเลยนะคะ ยิ่งกว่านั้นเจ้าของร้านอาจจะไม่อยากขายให้ด้วย” โจวเสี่ยวเหมยตอบ
“เธอก็ค่อย ๆ เสนอราคาเพิ่มทีละน้อยสิ ถ้าหล่อนยังไม่อยากขายก็ล้มเลิก หาร้านใหม่ที่อยู่ใกล้ ๆ แทน” หลินชิงเหอบอก
เมื่อโจวเสี่ยวเหมยกับซูต้าหลินกลับไป พวกเขาก็เอาแต่คิดเรื่องนี้ อันดับแรกพวกเขาบอกท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวถึงสาเหตุว่าทำไมร้านเกี๊ยวไม่เปิด จากนั้นคนทั้งคู่ก็ไปอาบน้ำและเตรียมเข้านอน
“ปีหน้าเราซื้อร้านสักร้านดีไหมคะ?” โจวเสี่ยวเหมยกระซิบขณะที่เด็ก ๆ หลับกันหมดแล้ว
“แพง…แพงเกินไปนะครับ” ซูต้าหลินลังเล
มันแพงเกินไปจริง ๆ ร้านค้าร้านหนึ่งมีราคาถึง 4,000 หยวน เงินจำนวนนี้มากขนาดไหนกัน? จะว่าไปแล้วมันเกือบจะเท่ากับราคาของทุกสิ่งทุกอย่างในครอบครัวเขาเลยทีเดียว
เขาต้องเก็บสะสมเงินนานแค่ไหน? ถ้านับตั้งแต่ที่ต้าหลินเริ่มทำงานจนกระทั่งถึงตอนนี้ มันเท่ากับต้องเก็บเงินมากกว่า 10 ปีเลยทีเดียว
“มันแพงก็จริง แต่พี่สะใภ้สี่ก็ซื้อร้านเกี๊ยวมาแล้ว แถมกิจการยังรุ่งเรืองดีอีกด้วย ถ้าร้านค้านี้เป็นของเรา เราก็ไม่ต้องกังวลกับอะไรในอนาคตแล้ว เหมือนกับได้แม่ไก่ที่ออกไข่ทองคำมาไว้ในบ้านเลยนะคะ” โจวเสี่ยวเหมยบอก
“งั้นผม…ผม…จะพิจารณา…อีกทีครับ…” ซูต้าหลินเอ่ย
โจวเสี่ยวเหมยพยักหน้าและไม่เอ่ยอะไร เรื่องสำคัญเช่นนี้ต้องให้เวลาขบคิดนานอีกหน่อย
แต่โจวเสี่ยวเหมยรู้สึกว่ามันไม่เลวร้ายอะไรที่จะตามรอยพี่สะใภ้สี่ ร้านค้าก็จะกลายเป็นของพวกเขาเอง พวกเขาจะได้ทำธุรกิจอย่างสบายหายห่วง
…………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
พ่อน่าสงสาร แม่ต้องรักษาใจช้ำ ๆ ของพ่อให้ได้นะคะ
การลงทุนมีความเสี่ยง แต่ถ้าคุ้มค่าต่อการซื้อร้านมาไว้เป็นของตัวเองก็ลุยเลยค่ะ
ไหหม่า(海馬)