ตอนที่ 1809 ชีวิตช่างเปราะบางเหลือเกิน

อัจฉริยะสมองเพชร

อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆

ตอนที่ 1809 ชีวิตช่างเปราะบางเหลือเกิน

นักปราชญ์โบราณโม่หลิงที่กำลังตกตะลึงหันขวับไปมองจางเซวียน สิ่งที่เห็นทำให้เขางงงันขึ้นอีก

ในตอนนั้น จางเซวียนยืนอยู่ห่างจากนักปราชญ์โบราณหลันหยาไม่ถึง 3 เมตร แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่เห็นเขาเลย ช่างเป็นภาพที่พิลึกพิลั่นมาก

นักปราชญ์โบราณโม่หลิงรู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น

มันคือการทำงานของค่ายกล*…*

ด้วยระดับวรยุทธสูงส่งของเขา ก็พอเข้าใจได้หากนักปราชญ์โบราณหลันหยาจะตรวจจับการปรากฏตัวของเขาไม่ได้เมื่อเขาซ่อนตัว แต่การที่นักปราชญ์โบราณหลันหยาไม่รู้สึกถึงการปรากฏตัวของจางเซวียนทั้งที่ยืนอยู่ใกล้กันขนาดนั้น ก็หมายความได้อย่างเดียวว่าค่ายกลมีอานุภาพมาก!

นักปราชญ์โบราณโม่หลิงแผ่การรับรู้จิตวิญญาณของเขาออกไปอย่างระมัดระวัง อยากเห็นว่าหลักการของค่ายกลที่ปกปิดตัวตนของพวกเขาไว้คืออะไร แต่เมื่อการรับรู้จิตวิญญาณของเขาผ่านนักปราชญ์โบราณหลันหยากับจางเซวียน ก็ต้องประหลาดใจที่พบว่าไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้เลย หรือพูดอีกอย่าง สองคนนั้นเหมือนเป็นภาพลวงตาที่ไม่ได้มีอยู่จริง!

เขาก็เห็นพวกนั้นกับตาตัวเอง แต่ไม่อาจใช้การรับรู้จิตวิญญาณกับทั้งคู่ได้…

หรือว่า*…นี่คือค่ายกลมิติ?*

นักปราชญ์โบราณโม่หลิงหรี่ตาด้วยความอัศจรรย์ใจ

ตัวเขาเชี่ยวชาญในการใช้จิตวิญญาณข้ามสิ่งกีดขวาง และสามารถดึงคนอื่นเข้าสู่มิติลี้ลับไปพร้อมกับตัวเขาได้ ซึ่งนั่นบ่งบอกว่าความเข้าใจในกฎเกณฑ์แห่งมิติของเขาไม่ได้ต่ำต้อย แต่กับค่ายกลมิติที่อยู่ตรงหน้า มันเหนือชั้นกว่าสิ่งที่เขาเคยเห็นในครั้งไหนๆ

การที่แม้แต่นักปราชญ์โบราณอย่างพวกเขาก็ไม่อาจตรวจจับหรือรับรู้การมีอยู่ของค่ายกลมิติได้…หรือว่าจางเซวียนจะเป็นผู้เชี่ยวชาญแก่นสารของมิติอันเป็นตำนาน?

ไม่แปลกใจแล้วที่อีกฝ่ายมั่นใจในค่ายกลของตัวเอง ลงท้ายเขาก็ทำได้จริง

น่าหัวเราะเหลือเกินที่เมื่อครู่ก่อนเขายังสงสัยว่าจางเซวียนกำลังคุยโวโอ้อวด

“ตอนนี้แหละ!”

ขณะที่นักปราชญ์โบราณโม่หลิงกำลังครุ่นคิด เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในหัว เขาเงื้อไม้บรรทัดปะทะวิญญาณขึ้นและตวัดมันเข้าใส่นักปราชญ์โบราณหลันหยาทันที

แต่ก่อนที่การโจมตีของเขาจะเข้าถึงเป้าหมาย…

นักปราชญ์โบราณหลันหยาทรุดฮวบลงกับพื้นแล้ว

เขาตายสนิท

เห็นแบบนั้น นักปราชญ์โบราณโม่หลิงหันขวับไปมองจางเซวียนด้วยความสับสน และเห็นอีกฝ่าย ยืนจังก้าพร้อมกับกระบี่ในมือ เขาพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าที่ดูละอายใจ “ผมผิดเอง ไม่คิดว่าหมอนี่จะอ่อนแอขนาดนี้ ผมเลยสังหารเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ…”

รู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นนักปราชญ์โบราณ จางเซวียนจึงคิดว่าคงต้องใช้ทั้งไอ้โหดและนักปราชญ์โบราณโม่หลิงร่วมมือกันถึงจะสังหารอีกฝ่ายอย่างเงียบเชียบได้ แต่ใครจะไปคิดว่าทั้งหมดที่เขาต้องใช้ก็เพียงแค่ตวัดกระบี่เปลวเพลิงสีดำเล่นงานหัวใจของอีกฝ่ายเท่านั้น?

ตายโดยยังไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรเลย…ช่างเป็นความตายที่น่าสมเพชเสียจริง!

“นักปราชญ์โบราณหลันหยาเป็นนักปราชญ์โบราณขั้น 1 การสืบสายเลือด ถูกสังหารง่ายดายแบบนั้นได้อย่างไร?”

ไม่ใช่จางเซวียนคนเดียวที่สงสัย นักปราชญ์โบราณโม่หลิงก็ไม่เข้าใจผลลัพธ์อันแปลกประหลาดครั้งนี้

ถึงนักปราชญ์โบราณโม่หลิงจะไม่เคยดวลกับนักปราชญ์โบราณหลันหยามาก่อน แต่ความคุ้นเคยกันเป็นระยะเวลาหลายปีก็ทำให้เขาพอรู้ว่าอีกฝ่ายทรงพลังแค่ไหน ในเมื่อจางเซวียนเป็นแค่นักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึก เรื่องแบบนี้ไม่มีทางเป็นไปได้!

เขาพอเข้าใจว่าถ้าจางเซวียนผนึกกำลังกันกับกระบี่เปลวเพลิงสีดำ ก็พอจะหนีรอดหรือรับมือได้ แม้แต่กับนักปราชญ์โบราณหลันหยา แต่ถึงกับสังหารเขาได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว…การคร่าชีวิตของนักปราชญ์โบราณคนหนึ่งไม่ใช่การเล่นขายของ!

หรือนักปราชญ์โบราณหลันหยาจะแสร้งทำ? เขาควรจะใช้ไม้บรรทัดเล่นงานหมอนั่นอีกครั้งไหม?

เมื่อคิดได้ นักปราชญ์โบราณโม่หลิงก็ออกจากการกำบังตัวและรีบเข้าไปตรวจสอบนักปราชญ์โบราณหลันหยา เขาใช้การรับรู้จิตวิญญาณพิสูจน์ร่างกายของอีกฝ่ายอย่างถี่ถ้วน แล้วก็ต้องอ้าปากค้างอีกครั้ง

นักปราชญ์โบราณหลันหยา…ตายสนิท จิตวิญญาณของเขาสูญสลาย ไม่มีพลังชีวิตหลงเหลืออยู่ในร่างของเขาแม้แต่น้อย

“ประหลาดจริงๆ…” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงนวดหว่างคิ้วอย่างสับสนเมื่อพบว่าไม่อาจทำความเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้า

เหล่านักปราชญ์โบราณคือผู้ที่เป็นสุดยอดของโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นทวีปแห่งปรมาจารย์หรือเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น ถึงจางเซวียนจะโจมตีเข้าที่จุดสำคัญของอีกฝ่ายอย่างจัง แต่อีกฝ่ายก็ไม่น่าจะเสียชีวิตอย่างง่ายดายแบบนี้ หมดลมหายใจเฮือกสุดท้ายโดยไม่ได้พูดอะไรสักคำหรือแม้แต่จะกรีดร้อง…

ดูเป็นกรณีที่เหนือธรรมชาติมาก!

“หรือเขาจะเป็นตัวปลอม?” จางเซวียนตั้งคำถาม

“ไม่หรอก ผมรู้จักเขามาหลายพันปีแล้ว จำเขาได้ต่อให้เขามอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน ผมคาดว่าเขาน่าจะได้รับบาดเจ็บสาหัสอะไรสักอย่างที่สั่นคลอนรากฐานของเขา ทำให้เขาเหลือพละกำลังไม่ถึงหนึ่งในสิบ” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงตอบอย่างครุ่นคิด

เมื่อพิจารณาดูใกล้ๆ เขาพบว่าร่างของนักปราชญ์โบราณหลันหยาอ่อนแอมาก มันดูปวกเปียก และเขารู้สึกได้ถึงความเสื่อมถอยที่อยู่ในร่างกายของอีกฝ่าย

เห็นชัดว่ารากฐานของนักปราชญ์โบราณหลันหยาถูกสั่นคลอน ต่อให้พวกเขาไม่เปิดการโจมตี อีกฝ่ายก็ไม่น่าจะมีชีวิตอยู่ได้นานนัก

แต่ตอนที่เขาพบนักปราชญ์โบราณหลันหยาเมื่อไม่นานมานี้ หมอนี่ยังมีพลังล้นเหลืออยู่เลย ตามที่อีกฝ่ายคุยโวโอ้อวดไว้ ดูเหมือนเขาใกล้จะสำเร็จวรยุทธระดับนักปราชญ์โบราณขั้น 2 ด้วย…แล้วปุบปับมาอยู่ในสภาพนี้ได้อย่างไร?

เมื่อไม่อาจทำความเข้าใจสาเหตุเบื้องหลังความเสื่อมถอยที่เกิดขึ้น นักปราชญ์โบราณโม่หลิงได้แต่ส่ายหน้าและหันกลับมามองจางเซวียน “คราวนี้เราจะทำอย่างไรต่อ?”

“ผมวางแผนจะจับตัวเขาเป็นๆและใช้การค้นหาจิตวิญญาณกับเขา เพื่อจะได้รู้ว่าสภาพร่างกายของอำมาตย์เฉินหลิงในตอนนี้เป็นอย่างไร และเลือดมังกรอยู่ที่ไหน แต่ในเมื่อเขาตายแล้ว ผมก็คิดว่าคงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องล้มเลิกแผนการแรกไป” จางเซวียนตอบเจื่อนๆ

เขาเองก็ผิดหวัง เขาเตรียมการมากมายเพื่อรับมือกับอะไรก็ตามที่นักปราชญ์โบราณหลันหยาจะตอบโต้ แต่ทุกอย่างจบลงรวดเร็วเสียจนรู้สึกว่าการลงทุนลงแรงของเขาจะสูญเปล่า

น่าผิดหวังอะไรอย่างนี้!

“คุณยังคิดจะปลอมตัวเป็นเขาอยู่หรือเปล่า?”

“แน่นอน! ผมจะทำอะไรได้ล่ะถ้าอยากเข้าไปในหอนอนของอำมาตย์เฉินหลิง?” จางเซวียนตอบ

ขณะที่คิดแบบนั้น กระดูกและกล้ามเนื้อของจางเซวียนก็เริ่มขยับ แม้แต่รังสีจิตวิญญาณก็ตั้งต้นแปรสภาพไปจนเหมือนกับนักปราชญ์โบราณหลันหยาที่กองอยู่กับพื้น จากนั้นเขาก็ถอดเสื้อผ้าของนักปราชญ์โบราณหลันหยาออกและสวมใส่มัน ไม่ลืมที่จะนำแหวนเก็บสมบัติของนักปราชญ์โบราณหลันหยามาสวมติดนิ้วด้วย

เมื่อนักปราชญ์โบราณโม่หลิงมองจางเซวียนอีกครั้ง ก็ถึงกับใจเต้นตึกตักด้วยความอัศจรรย์ใจ

เขาคิดว่าการปลอมตัวของอีกฝ่ายคงจะเป็นแค่รูปลักษณ์ภายนอก แต่มันเหนือชั้นกว่านั้นมาก ไม่ว่าจะเป็นกิริยาท่าทาง บุคลิก รังสีจิตวิญญาณ หรือแม้แต่สภาวะจิต บุคคลที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาคือนักปราชญ์โบราณหลันหยาอย่างแน่นอน ถ้าไม่ใช่เพราะศพเปลือยที่นอนอยู่ใกล้ๆ เขาคงหลงเชื่อการปลอมตัวครั้งนี้ไปแล้ว!

ช่างเป็นการเบิกเนตรครั้งใหญ่!

จางเซวียนไม่แยแสความอัศจรรย์ใจของนักปราชญ์โบราณโม่หลิง เขาตั้งคำถามต่อ “โดยปกติ นักปราชญ์โบราณหลันหยานำน้ำจากน้ำพุไปที่ไหน?”

“โดยปกติเขาจะกลับหอนอน ส่วนจะไปที่ไหนและทำอะไรกับมันนั้น ผมเองก็ไม่รู้” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงตอบ

“เอาเถอะ ผมจะมุ่งหน้าไปที่หอนอนแล้วตรวจสอบดู” จางเซวียนพูดขณะตาโตด้วยความตื่นเต้น

ในเมื่อมันเป็นกิจวัตรประจำวันอย่างหนึ่งของนักปราชญ์โบราณหลันหยาที่จะต้องเข้าสู่หอนอน เขาก็น่าจะเดินเข้าไปได้โดยไม่ต้องหวาดกลัวอะไร

จางเซวียนโบกมือ จากนั้นก็นำน้ำเต้าที่นักปราชญ์โบราณหลันหยาเตรียมมาในแหวนเก็บสมบัติของเขามาเติมน้ำจากน้ำพุเข้าไปจนเต็ม

หลังจากเสร็จสิ้น จางเซวียนก็หันไปพูดกับนักปราชญ์โบราณโม่หลิง “อันตรายเกินไปที่คุณจะติดตามผมไปที่หอนอน ผมจะไปคนเดียวนะ”

ในเมื่ออำมาตย์เฉินหลิงเริ่มระแวงนักปราชญ์โบราณโม่หลิงแล้ว ก็คงยากที่อีกฝ่ายจะเข้าไปในหอนอนพร้อมกันกับเขา ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น เขาไปคนเดียวน่าจะดีกว่า

ไม่อย่างนั้น ก็มีความเป็นไปได้ที่ทั้งคู่จะถูกสงสัยและถูกเล่นงานทันทีที่เข้าสู่หอนอน

“แต่มันอันตรายมากนะ อาจเกิดอะไรขึ้นกับคุณก็ได้!” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงอุทานอย่างเป็นห่วง

จางเซวียนเป็นแค่นักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึก และจากข้อมูลเท่าที่เขารู้เกี่ยวกับหอนอน มีนักปราชญ์โบราณอย่างน้อย 3 คนประจำการอยู่ในบริเวณนั้น ถ้าใครสักคนเกิดรู้ขึ้นมาว่าจางเซวียนเป็นตัวปลอม จะต้องถูกสังหารทันทีแน่

“ไม่ต้องห่วงน่ะ ถ้าเกิดอะไรขึ้น ผมจะส่งสัญญาณให้คุณรีบเข้าไปช่วยผม” จางเซวียนตอบยิ้มๆขณะโยนร่างของนักปราชญ์โบราณหลันหยาเข้าไปในแหวนเก็บสมบัติ

ร่างของนักปราชญ์โบราณทุกคนเป็นสมบัติล้ำค่า เขาจะไม่ยอมปล่อยให้เสียเปล่า

นักปราชญ์โบราณโม่หลิงก็รู้ดีว่าสถานภาพปัจจุบันของเขาในตอนนี้ค่อนข้างจะคลุมเครือ และความพยายามที่จะตามจางเซวียนเข้าไปก็มีแต่จะทำให้เกิดปัญหามากกว่าเดิม จึงยอมตกลงพร้อมกับพยักหน้าเล็กน้อย

นอกจากความจริงที่ว่าจางเซวียนเป็นประธานสมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ ลำพังแค่การที่เขาเป็นปรมาจารย์ผู้ปราดเปรื่องของทวีปแห่งปรมาจารย์นั้น ก็ชัดเจนว่าเขาไม่อาจปล่อยให้เกิดอันตรายใดๆขึ้นกับอีกฝ่ายได้

“อือ!”

เมื่อตัดสินใจแล้ว จางเซวียนสูดหายใจลึกและเดินออกจากหอน้ำพุแสนหวาน เขาทบทวนแผนผังของพระราชวังก่อนจะมุ่งหน้าไปยังทิศทางของหอนอน