บทที่ 503 ผู้มาเยือนอันแข็งแกร่ง

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

บทที่ 503 ผู้มาเยือนอันแข็งแกร่ง

เมื่อห้องโถงใหญ่ของสำนักวิญญาณโลหิตฟื้นตัวขึ้น ผู้เชี่ยวชาญหลายคนในอาณาเขตวิญญาณโลหิตก็รู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของสำนักวิญญาณโลหิต ดังนั้นหลายคนที่มีความคิดไม่ซื่อก็เริ่มมุ่งหน้ามาที่สำนักวิญญาณโลหิต

แต่แล้วหลังจากไม่นานการเปลี่ยนแปลงของสำนักวิญญาณโลหิตระลอกสองก็ปรากฎขึ้นอีก ซึ่งรอบนี้มันทำให้ผู้เชี่ยวชาญหลายคนที่ยังคงไม่เคลื่อนไหวในตอนแรกเริ่มถูกความโลภเข้าครอบงำ

หากเป็นเพียงภูเขาด้านหน้าของสำนักวิญญาณโลหิตฟื้นฟู มันก็จะมีเพียงสมุนไพรวิญญาณและพืชพรรณต่าง ๆ เท่านั้นที่ปรากฎ แต่ถ้าหากด้านหลังของภูเขาถูกเปิดออก มันจะหมายถึงว่าสมบัติมูลค่ามหาศาลจะปรากฎขึ้นเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น ตำหนักโอสถ หรือ ตำหนักยุทธภัณฑ์ ทั้งสองสถานที่นี้ต่างก็เป็นสถานที่ที่ทุกคนใฝ่ฝันว่าจะได้เข้าไป ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญระดับสูงหลายคนใน อาณาเขตวิญญาณโลหิต เกือบทั้งหมดต่างพากันมาที่สำนักวิญญาณโลหิต

ทางด้านของเว่ยกวนที่ค้นหาวิชาโลหิตอมตะมาได้สักพักแล้ว และดูท่าว่าจะหามันไม่เจอ เขาจึงรู้สึกผิดหวังมาก

ส่วนวิชาระดับอื่น ๆ ที่เขาหาเจอนั้นอย่างดีที่สุดพวกมันก็แค่เทียบได้กับวิชาเงาโลหิตศักดิ์สิทธิ์ที่เขาฝึกฝนอยู่แล้ว ซึ่งเขาไม่จำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนไปฝึกพวกมันยกเว้นว่าเขาจะเจอวิชาโลหิตอมตะ

“ตอนนี้ตำหนักโอสถ และ ตำหนักยุทธภัณฑ์ เปิดแล้วรึยัง?” เว่ยกวนถามขึ้น

ถึงแม้ว่าผนึกของด้านหลังภูเขาที่ถูกผีเสื้อผนึกไว้จะถูกคลายออกไปเรียบร้อยแล้ว แต่ผนึกที่ปิดกั้นตำหนักโอสถและตำหนักยุทธภัณฑ์นั้นเป็นผนึกที่ถูกสร้างขึ้นแยกไว้ ดังนั้นพวกเขาจึงจำเป็นที่จะต้องพยายามหาทางคลายผนึกมันออกด้วยตัวเองเท่านั้น

“ท่านเจ้าสำนัก พวกเราได้เปิดชั้นแรกของผนึกแล้ว ต่อไปนี้เราคงจะไม่ขาดแคลนโอสถและสมบัติวิเศษที่อยู่ต่ำกว่าระดับสวรรค์อีกต่อไป!” ผู้อาวุโส ผู้หนึ่งตอบอย่างมีความสุข

อันที่จริงสำหรับพวกเขาแล้วโอสถที่มีระดับต่ำกว่าระดับสวรรค์ไม่ใช่เป้าหมายของพวกเขา

เพราะโอสถและสมบัติเหล่านี้พวกเขาสามารถสร้างมันขึ้นมาได้ด้วยตนเองอยู่แล้ว

สิ่งที่พวกเขาต้องการจริง ๆ ก็คือโอสถและสมบัติระดับสวรรค์ขึ้นไป ซึ่งหลาย ๆ อย่างมันไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะสามารถสร้างมันขึ้นมาเองได้ในตอนนี้

แต่ถึงแม้ว่าโอสถและสมบัติที่อยู่ต่ำกว่าระดับสวรรค์นั้นไม่ใช่เป้าหมายจริง ๆ ของพวกเขา แต่มันก็ยังมีสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาในอนาคตของสำนักวิญญาณโลหิต

“ทำลายผนึกของตำหนักโอสถและตำหนักยุทธภัณฑ์ต่อไป เอาทุกอย่างที่เหมาะกับเราออกมาใช้ให้ได้” เว่ยกวนสั่งขึ้น “นอกจากนั้นคนอื่น ๆ ที่ว่าง จงทำความคุ้นเคยกับทุกสิ่งในสำนัก โดยเฉพาะค่ายกลป้องกันสำนักเพื่อที่เราจะได้ใช้มันได้เมื่อถึงเวลา”

ในขณะที่ทุกคนกำลังยุ่งอยู่กับงานของตัวเอง ร่างสองร่างก็ปรากฏขึ้นเหนือสำนักวิญญาณโลหิต จากนั้นทั้งสองร่างนั้นก็ได้เอ่ยขึ้นว่า “พี่เว่ย พวกเราขอแสดงความยินดีกับสำนักวิญญาณโลหิตของท่านที่ฟื้นฟูกลับมาได้เหมือนเดิม!”

เมื่อเห็นว่าทั้งสองร่างนี้เป็นใคร เว่ยกวนก็แอบส่งสัญญาณกับคนของเขาให้ระวังตัว จากนั้นเขาก็บินขึ้นไปบนฟ้าตรงหน้าทั้งสองคนและพูดว่า “อ๋อที่แท้ก็ น้องเกา น้องหยิน นี่เองที่มาเยือนสำนักของข้า”

เขารู้จักสองคนนี้ ซึ่งทั้งสองคนนี้คือผู้เชี่ยวชาญระดับราชันจากอาณาเขตวิญญาณโลหิต ชื่อของพวกเขาคือ เกาโป๋จุน และ หยินอันหยู พวกเขาเป็นเสาหลักของอีกสองสำนักอันแข็งแกร่ง

เกาโป๋จุนถอนหายใจ “พี่เว่ย เด็กคนนั้นเป็นเทพกระบี่ที่กลับชาติมาเกิดจริงงั้นหรือ?”

เว่ยกวนส่ายหัว “ข้าก็ไม่แน่ใจเช่นกันว่า เขาเป็นเทพกระบี่กลับชาติมาเกิดจริง ๆ รึเปล่า แต่อย่างน้อย ๆ ก็เป็นเขาที่เป็นคนถอนเจตจำนงกระบี่ออกไปได้”

“ข้าเกรงว่าเขาน่าจะเป็นเทพกระบี่กลับชาติมาเกิดตัวจริงนั่นแหละ ไม่เช่นนั้นผู้อาวุโสผีเสื้อคงจะไม่ยินยอมคลายผนึกของตนเองเช่นนี้” หยินอันหยูพูดเสริมขึ้น

เว่ยกวนแค่ถอนหายใจและไม่พูดอะไรต่อ

เขาไม่ได้เป็นผู้เห็นเหตุการณ์ด้วยตนเอง ดังนั้นเขาจะพูดอะไรได้? สำหรับหนิงฉิงที่รู้เรื่องนี้นางก็คงยังยุ่งอยู่ที่ไหนสักแห่ง!

“เอาเถอะ ไม่ว่าเขาจะเป็นใครแต่ในเมื่อสำนักของพี่เว่ยฟื้นฟูขึ้นมาได้แบบนี้พวกเราก็ต้องมาฉลองกันสักหน่อย!” เกาโป๋จุนมองไปที่เว่ยกวนด้วยรอยยิ้ม และเปลี่ยนเรื่อง “แม้ว่าสำนักวิญญาณโลหิตของท่านจะโชคร้ายแต่ในความโชคร้ายมันก็ยังมีเรื่องดีอยู่เช่นกัน แม้ว่าเทพกระบี่และผู้อาวุโสผีเสื้อจะร่วมมือกันผนึกสำนักของท่าน แต่พวกเขาก็ไม่ได้ทำลายมัน ซึ่งสิ่งนี้มันทำให้สำนักวิญญาณโลหิตยังคงมีรากฐานที่สมบูรณ์ และในเมื่อตอนนี้ผนึกถูกยกเลิกแล้ว ด้วยความแข็งแกร่งที่สำนักวิญญาณโลหิตสั่งสมมาในอดีต ท่านคงจะกลับไปรุ่งเรืองเหมือนในอดีตได้ไม่ยาก!”

“แน่นอน!” หยินอันหยูยิ้ม

เว่ยกวนพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ เขารู้ว่าทำไมสองคนนี้ถึงมาที่นี่

เกาโป๋จุนยิ้มและพูดกับเว่ยกวน “พี่เว่ย พวกเราทั้งสามคนก็รู้จักกันมานานแล้ว พี่เว่ย เองก็น่าจะรับรู้ถึงสถานการณ์อันลำบากของข้าด้วยเช่นกัน ข้านั้นติดอยู่ในขอบเขตจักรพรรดิขั้นต้นมา มากกว่าหนึ่งพันปีแล้ว และยังไม่พบหนทางที่จะทะลวงผ่านไปได้เลย”

“ข้าได้ยินมาว่ามีโอสถชนิดหนึ่งที่เรียกว่า โอสถขัดเกลาเจตจำนง ที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อคนอย่างข้า แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครสามารถหลอมโอสถนี้ได้เลยในตอนนี้หรือต่อให้จะมีเงินก็ไม่สามารถหาที่ซื้อได้ ซึ่งข้าคิดว่าเนื่องจากสำนักวิญญาณโลหิตของท่านนั้นมีอายุหลายหมื่นปีแล้ว ในตำหนักโอสถของท่านคงน่าจะมีโอสถชนิดนี้อยู่แน่นอน พี่เว่ย จะว่าอะไรไหมหากน้องชายคนนี้ขอบากหน้ามาขอซื้อมันจากท่านสักเม็ด?”

หยินอันหยูหัวเราะและเอ่ยขึ้นเช่นกัน “สถานการณ์ของข้าเองก็ลำบากไม่น้อยไปกว่าของน้องเกาเช่นกันพี่เว่ย แต่สิ่งที่ข้าต้องการมากที่สุดคือ โอสถสงบวิญญาณ น้องชายคนนี้ขอความช่วยเหลือจากพี่เว่ยด้วยความจริงใจ และหวังว่าพี่เว่ยจะทำให้น้องชายผู้นี้ได้สมหวัง”

เว่ยกวนยิ้มอย่างขมขื่น “น้องเกา น้องหยิน จริง ๆ แล้วสถานการณ์ของข้าคล้ายกับของพวกเจ้าเช่นกัน แต่พวกเจ้าต้องเข้าใจว่าสำนักของข้าเพิ่งฟื้นฟูและข้าก็เพิ่งนำคนของข้าเข้ามาในสำนักได้ไม่นาน ซึ่งในตอนนี้มันยังคงมีผนึกต่าง ๆ ที่พวกเรายังทำลายไม่ได้อยู่เลย ดังนั้นข้าก็คงไม่รู้หรอกว่าจริง ๆ แล้วมันจะมีโอสถแบบที่พวกเจ้าต้องการรึเปล่า? เอาแบบนี้ไหม ไว้เมื่อไหร่ที่ข้าเปิดผนึกได้ทั้งหมดแล้ว และมีโอสถเหล่านั้นที่พวกเจ้าต้องการจริง ๆ ข้าจะส่งคนไปเรียกพวกเจ้าให้มาคุยกับข้าเรื่องรายละเอียดของมันอีกทีดีไหม?”

แม้ว่าเขาจะพูดอย่างนั้น แต่เขาก็แอบสบถอยู่ในใจ

เจ้าคิดว่าข้าจะไม่สนใจโอสถล้ำค่าเช่นนั้นจริง ๆ หรือ?

ขายให้พวกเจ้า? พวกเจ้าสามารถจ่ายไหวงั้นเหรอ? หรือต่อให้พวกเจ้าจ่ายไหวข้าจะขายให้กับพวกเจ้าเอาไปเสริมความแข็งแกร่งของตัวเองให้มาเป็นคู่ต่อกรกับข้าในอนาคตงั้นเหรอ?

เกาโป๋จุนพยักหน้า “ข้าเชื่อใจว่าพี่เว่ยจะทำอย่างที่พูดแน่นอน แต่ข้าเองก็อยากจะอยู่รอดูตอนที่ผนึกถูกเปิดออกเพื่อความสบายใจเช่นกัน เอาแบบนี้ไหมพี่เว่ย ให้ข้าช่วยท่านเปิดผนึกไหม? ข้าคิดว่าท่านเองก็คงอยากจะเปิดผนึกให้ได้เร็ว ๆ เพื่อที่ท่านจะได้เอาของด้านในออกมาใช้ให้เร็วที่สุดใช่ไหม?”

หยินอันหยูหัวเราะ “ใช่แล้ว ไหน ๆ พวกเราก็เป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิเหมือนกัน ดังนั้นหากเราสามคนร่วมมือกันมันคงจะง่ายกว่ามากในการทำลายผนึก และเมื่อถึงตอนนั้นหากท่านเจอโอสถสงบวิญญาณจริง ๆ ข้าคงจะต้องขอให้พี่เว่ยช่วยข้าสักหน่อย!”

เว่ยกวนขมวดคิ้วและตอบกลับทันที “นี่เป็นเรื่องภายในของสำนักวิญญาณโลหิตของข้า ข้าคงจะให้น้องเกากับน้องหยินเข้ามาช่วยเหลือไม่ได้หรอก”

เขาจะตกลงกับเรื่องนี้ได้อย่างไร?

ถ้าเขายอมให้ทั้งสองคนมาช่วยเขาทำลายผนึก มันก็จะไม่ใช่เรื่องของโอสถสองเม็ดอีกต่อไป

เมื่อได้ยินเว่ยกวนปฏิเสธ การแสดงออกของเกาโป๋จุนและหยินอันหยูก็กลายเป็นน่าเกลียดทันทีพร้อมกับพูดว่า “พี่เว่ย พวกเราอุตส่าห์เสนอตัวช่วยท่านด้วยความหวังดี แต่ท่านกลับปฏิเสธพวกเราเช่นนี้ นี่ท่านคิดว่าพวกเรามีเจตนาอื่นอย่างนั้นเหรอ? พี่เว่ย การกระทำของท่านมันทำให้พวกเราผิดหวังจริง ๆ!”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของเว่ยกวนก็เปลี่ยนไปเป็นน่าเกลียดเช่นกัน พร้อมกับเริ่มคิดหาทางว่าจะรับมือกับไอ้น้องจอมปลอมทั้งคู่นี้อย่างไรดี?

อย่างมากเขาก็คงจัดการได้เพียงคนเดียว ส่วนอีกคนหนึ่ง คนสำนักของเขาคงรับมือด้วยไม่ไหวแน่นอน

หรือนี่มันเป็นไปได้ไหมว่าสำนักวิญญาณโลหิตที่เพิ่งฟื้นฟู กลับกำลังจะโดนลบหายไปจากประวัติศาสตร์อย่างถาวร?

หากเป็นเช่นนั้นถ้าเลือกได้เขาก็คงไม่อยากจะฟื้นฟูมันในตอนนี้

ในขณะที่เว่ยกวนยังคงไม่รู้ว่าจะจัดการยังไงกับสถานการณ์ที่เขากำลังเผชิญ จู่ ๆ กฎแห่งสวรรค์และโลกทั้งหมดก็ตกอยู่ในความวุ่นวายและกลิ่นของเลือดก็ฟุ้งตลบอบอวลไปทั่วในอากาศ

“เต๋าแห่งโลหิต!” เว่ยกวนตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็รู้สึกลิงโลดใจเป็นอย่างมาก

แต่ในทางกลับกันสีหน้าของเกาโป๋จุนและหยินอันหยูในตอนนี้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง พร้อมกับความั่นใจของพวกเขาที่เริ่มหดหายไป