เยี่ยเม่ยจ้องมองบุรุษเบื้องหน้า เอ่ยอย่างจริงจังว่า “ขอบคุณท่านมาก!”
เมื่อเอ่ยจบ
สายตาของเขากลับเปลี่ยนไปฉายแววแปลกใจออกมาอย่างชัดเจน เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยื่นมือออกมารั้งนางเข้าสู่อ้อมกอด เยี่ยเม่ยเงยหน้ามองเขาอย่างตะลึงงัน ชายหนุ่มพลันก้มหน้าลงมา ปิดปากนางอย่างรุนแรง
จูบนี้ทั้งเร่าร้อนและอ้อยอิ่ง
แค่จูบเดียวก็ช่างเถิด เขายังเอ่ยด้วยน้ำเสียงน่าฟังว่า “เยี่ยเม่ย ภายหน้า…เยี่ยนไม่ยินยอมฟังเจ้าขอบคุณข้าเพื่อชายอื่นอีกแล้ว!”
อากาศในปากนางจวนจะถูกแย่งชิงไปจนหมดสิ้น
ในเวลานี้นางจับสาบเสื้อบริเวณหน้าอกเขา ค่อยๆ สูดลมหายใจ ขณะที่สมองมึนงง ได้ฟังคำตักเตือนของเขา ก็เข้าใจทันทีดูท่านางคงจะสมองเพี้ยนไปอีกแล้ว
ยามนี้นางนั่งดีๆ แล้ว
อารมณ์บนใบหน้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม มองบุรุษตรงหน้า เอ่ยปากว่า “ความจริงท่านพูดถูก ข้าไม่เคยใคร่ครวญเพื่อผู้อื่นเลยสักน้อย ต่อให้ยามนี้ท่านเอ่ยวาจาเหล่านี้ ยังเป็นการยากที่ข้าจะไม่เอ่ยคำพูดที่ทำให้ท่านไม่พอใจ แต่ว่า…”
ครั้นเอ่ยถึงตรงนี้
ใบหน้านางพลันปรากฏความหนักแน่น จ้องมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน “แต่ว่าเพื่อน้ำใจของท่าน ข้าจะค่อยๆ ลองเปลี่ยนตัวเอง เปลี่ยนตัวเองเพื่อท่านเพียงคนเดียว แสดงออกกับท่านเพียงคนเดียวเท่านั้น!”
นางยังคงกระทำเรื่องราวตามใจตน ยังคงเห็นตัวเองเป็นศูนย์กลาง ใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี
เพียงแต่เพื่อคำพูดของเขาในวันนี้ เพื่อน้ำใจที่เขามีให้นาง
นางยินยอมเปลี่ยนแปลงเพื่อเขา แต่ก็จำกัดแค่เขา ทำเพื่อเขาเท่านั้น นางคิดว่านี่เป็นการตอบแทนน้ำใจของเขาได้ดีที่สุด
เมื่อเยี่ยเม่ยตอบรับกลับมาเช่นนี้ ในดวงตาของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนปรากฏแววยินดี
ส่วนเยี่ยเม่ยก็เริ่มทบทวนตัวเอง “ความจริงคำพูดเมื่อครู่ของท่านก็ไม่ผิด เรื่องราวเช่นเดียวกันหากเกิดขึ้นกับข้า เกรงว่าข้าคงโกรธจนไม่คิดติดต่อกับท่านไปตั้งนานแล้ว แต่ว่าข้ากลับไม่เคยคำนึงถึงความรู้สึกท่านเลย ภายหน้าข้าจะระวัง!”
ภายหน้านางจะพยายามใคร่ครวญจากมุมมองของเขาดูบ้าง
เมื่อเยี่ยเม่ยเอ่ยก็ถูกเขากระชับอ้อมกอดแน่น เขาออกกำลังแขนอย่างรุนแรง ทำให้นางสงสัยว่า อีกประเดี๋ยวตัวนางจะถูกรัดจนขาดออกหรือไม่ ทว่าการพักพิงในอ้อมกอดของเขายามนี้ กลับรู้สึกถึงความอบอุ่นเป็นพิเศษ
น้ำเสียงเจือรอยยิ้มของเขาดังเหนือหัวนาง “ต่อให้ภายหน้าเจ้ายังเป็นเหมือนเดิม ไม่ยินยอมคิดเพื่อเยี่ยน แต่คำพูดของเจ้าในวันนี้ เยี่ยนก็พอใจในชีวิตนี้มากแล้ว!”
ยามนี้เยี่ยเม่ยนิ่งอึ้ง
ที่แท้สิ่งที่เขาต้องการง่ายดายถึงเพียงนี้ ต่อให้เป็นคำสัญญาจอมปลอมไม่รู้ว่าจะทำได้จริงหรือไม่ ต่อให้เป็นคำพูดโกหกหลอกลวงเพื่อเอาใจเขา ก็สามารถเติมความพอใจของเขาได้
นางลังเลไปชั่วครู่ ในที่สุดก็ยื่นมือออกไปกอดเอวเขาไว้
อากัปกิริยาของนางยิ่งทำให้เขาดีใจ
คนทั้งสองพิงซึ่งกันละกัน กลับลืมเรื่องประจำเดือนที่ทำให้เกิดเหตุการณ์กระอักระอ่วนเมื่อครู่ไปจนหมดสิ้น เพียงเยี่ยเม่ยในเวลานี้พลันรู้สึกไม่สงบ เป็นความไม่สงบเพราะความทรงจำที่ตนเองจดจำขึ้นมาได้
ราชสำนักจงเจิ้งถูกทำลาย…
เช่นนั้น ใครเป็นคนทำกันแน่
หากนางเป็นอาซีผู้นั้นจริงๆ นางต้องแบกรับหนี้แค้นความตายของพ่อแม่ ความแค้นนี้เกี่ยวพันกับใครบ้าง คลับคล้ายกับว่านางเคยได้ยินอวี้เหว่ยเคยพูดกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เรื่องที่พวกกากเดนที่หนีรอดของราชสำนักจงเจิ้งใส่ร้ายเป่ยเฉินเสียเยี่ยน
เวลานั้น อวี้เหว่ยใช้คำว่า ‘กากเดน’ ดังนั้น หรือว่าราชสำนักจงเจิ้งถูกฝังใต้เงื้อมมือของเป่ยเฉินกัน
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เยี่ยเม่ยพลันตกตะลึงพรึงเพริด
ภาพเหตุการณ์ที่เสด็จพ่อเสด็จแม่ตายฉายซ้ำในสมองนางไม่หยุด ทำให้นางรู้สึกว่า นางที่ซุกอยู่ในอ้อมอกเขาเหมือนถูกงูรัดขาไปจนถึงหัวใจ มันกัดลงไปที่หัวใจนางอย่างแรง ทำให้หัวใจโชกเลือดอันแสนเจ็บปวด ยิ่งทวีความเจ็บปวดชัดเจนขึ้น
นางทนไม่ไหวเพิ่มแรงกอดเขา
นางหลับตาอยู่ในอ้อมกอดเขา กลับรู้สึกถึงความแสบร้อนที่จมูก ในเวลานี้เองเยี่ยเม่ยค่อยเข้าใจว่าแท้จริงแล้วนางรักเขา ไม่ใช่แค่ชอบ ไม่ใช่แค่ชอบเท่านั้น
หัวใจนางกำลังหวาดกลัว กลัวว่าเขาจะเป็นศัตรูของตน กลัวว่าพ่อแม่ของนางจะตายภายใต้เงื้อมมือของญาติเขา
หากเป็นเช่นนั้นจริง
ความรักของพวกนางยังจะดำเนินไปได้ถึงขั้นไหนกันนะ
ต่อให้พรุ่งนี้จะต้องสูญเสียไป ต่อให้เพราะความแค้น วันพรุ่งนี้นางอาจไม่อยากพบคนของเป่ยเฉินทุกคนรวมถึงเขาด้วย! แต่วันนี้เวลานี้นางยังอยากคว้าเอาความอบอุ่นนี้เอาไว้
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนคล้ายกับสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปของนาง
เขาก้มหน้าลงมองเยี่ยเม่ยด้วยความแปลกใจ ถามเสียงอ่อนว่า “เป็นอะไรไป”
เสียงนี้เบามากราวกับกลัวทำให้นางตกใจ
“ไม่ ไม่มีอะไร!” เยี่ยเม่ยซุกตัวในอกเขา สองมือกุมสาบเสื้อเอาไว้แน่น ก้มหน้าลงส่ายหัวไปมาเบาๆ
นางโพล่งถามออกมาว่า “เป่ยเฉินเสียเยี่ยน หากมีวันหนึ่งข้าคิดสังหารท่าน ท่านจะทำอย่างไร”
ยามนางถามออกมา บรรยากาศคล้ายกับนิ่งลง นางรู้สึกว่าหัวใจคล้ายถูกอะไรบางอย่างกัด เจ็บจนไม่อาจควบคุมตัวเองได้
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังคำถามก็อึ้งไปเช่นกัน ไม่เข้าใจว่าไฉนนางถึงมีคำถามเช่นนี้ เขากลับคลี่ยิ้มออก จับมือนางทาบที่อกเขา เอ่ยเบาๆ ว่า “หากเจ้าจะสังหารข้า ต้องแทงทะลุผ่านหัวใจมาเลย เช่นนั้นต่อให้ต้องตาย ข้าก็จะจดจำเจ้าเอาไว้ไม่ลืมเลือนไปชั่วนิรันดร์!”
ไม่ลืมเลือนไปชั่วนิรันดร์
หางตานางพลันมีหยาดน้ำตาทะลักออกมา ทว่าไม่อยากให้เขาเห็นจึงซุกเข้าไปในอกเขา ปิดบังสีหน้าของตนในยามนี้ ทั้งปิดบังอารมณ์ทั้งหมดของนาง
แต่ไหนแต่ไรมานางไม่เคยเชื่อสวรรค์ นางยังเชื่ออยู่เสมอว่าคนเรามีชีวิตอยู่ต้องพึ่งพาตัวเอง
แต่ในขณะนี้ นางอยากอ้อนวอนสวรรค์ อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย…อย่าทำให้เขากลายเป็นศัตรูของนาง หากสวรรค์ได้ยินคำขอจากคนจริงๆ นางหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสวรรค์จะเมตตานางสักครั้ง
เมื่อสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงของนาง
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนแปลกใจ ก้มหน้ามองนาง ถามว่า “เจ้าเป็นอะไรไปแล้ว เยี่ยเม่ย วันนี้เจ้าไม่ปกติเอาเสียเลย!”
เยี่ยเม่ยกลับแค่นเสียงหึเบาๆ คล้ายไม่พอใจในตัวเขา น้ำเสียงไม่พอใจเอ่ยว่า “วันนี้ถูกท่านสั่งสอนว่าข้าไม่รู้จักคิดเพื่อคนอื่น ข้าต้องไม่เป็นปกติอยู่แล้ว! ข้ายังทบทวนตัวเองอยู่ตั้งนาน ชั่วชีวิตนี้ไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้มาก่อน เรื่องนี้พวกเรารับรู้กันแค่สองคนก็พอแล้ว ท่านห้ามพูดออกไปแม้แต่คำเดียวเชียว!”
เมื่อนางเอ่ยออกมา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับคลี่ยิ้ม น้อยครั้งที่จะได้เห็นท่าทางแบบนี้ของนาง
เขารับปาก “ได้!”
จากนั้นเขานิ่งไปเล็กน้อย ค่อยๆ ถามนางประโยคหนึ่งว่า “เป่ยเฉินอี้หาตัวเจ้าไปทำอะไร”
เยี่ยเม่ยพลันแข็งทื่อ
นางหัวเราะฮ่าๆ เพื่อกลบเกลื่อน “ไม่มีเรื่องอะไร ข้ารู้ว่าข้าหน้าตาเหมือนสหายเก่าของเขาผู้หนึ่ง ดังนั้นจึงพิสูจน์ว่าข้าคือคนผู้นั้นหรือไม่ ผลการพิสูจน์จะใช่หรือไม่ แต่พวกเราก็กลับมาแล้ว!”
ก่อนจะเข้าใจเรื่องชัดเจน นางไม่อยากให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนรู้เรื่องนี้
นางเอ่ยเช่นนี้ เขากลับไม่ระแวงสงสัย อย่างไรเสีย เป่ยเฉินอี้สนใจนางก็มีเหตุผล ในเวลานี้ จู่ๆ อวี้เหว่ยก็วิ่งเข้ามา