ตอนที่ 691: การมาถึงของราชาตระกูลกิลลิกัน
ร่างของจิ้งเฟิงตกลงมาจากกลางอากาศอย่างไร้พลัง ตกลงมาบนยอดเขาเบื้องล่าง เซียนผู้คุมกฎตกลงมาในลักษณะเช่นนั้น
เจี้ยนเฉินเก็บกระบี่ของเขาและอยู่ตรงจุดเดิมที่เขาอยู่ กลิ่นอายที่น่าเกรงกลัวของเขาค่อย ๆ ลดลงและในพริบตานั้น เขาแยกออกจากกระบี่ที่แสดงพลังเหมือนที่มันเคยแสดงมาก่อน คุณสมบัติพิเศษของเซียนผู้คุมกฎปรากฏตัวขึ้นที่เขาอีกครั้ง แม้ว่าเหมือนจะเห็นเขายืนอยู่เผิน ๆ แต่จริง ๆ แล้วร่างกายของเขารวมอยู่กับมิติรอบ ๆ ตัวเขา ประหนึ่งว่าเขาเป็นหนึ่งเดียวกับโลก
พลังบรรพกาลที่ถูกส่งไปยังกระบี่สังหารมังกรถูกถอนกลับไปโดยเจี้ยนเฉิน ดังนั้นมันจึงทำให้แสงสีดำที่เปล่งประกายสวยงามที่ปรากฏอยู่บนตัวกระบี่หายไป ในตอนนี้ แสงแวววับสลัว ๆ ซึ่งถูกกดไว้ด้วยพลังบรรพกาลก็ปรากฏตัวขึ้นมาปกคลุมกระบี่สังหารมังกรอีกครั้ง
เจี้ยนเฉินลอยไปบนอากาศ มองไปยังศพของจิ้งเฟิงด้วยความรู้สึกสับสน วันนี้ เซียนผู้คุมกฎ 2 คนของตระกูลหวงฟู่ได้ตายไป แต่ว่ามีแค่จิ้งเฟิงเท่านั้นที่นับได้ว่าถูกกำจัดด้วยน้ำมือของเจี้ยนเฉิน นั้นเพราะว่าวิญญาณดั้งเดิมของจิ้งเฟิงถูกกำจัดโดยเขาเอง ไม่เหมือนกับที่วิญญาณของจินเทียนที่ถูกกำจัดโดยหวงเทียนป้า
หลังจากที่กำจัดเซียนผู้คุมกฎได้แล้ว เจี้ยนเฉินแทบจะไม่เคลื่อนไหวใด ๆ นั่นเป็นเพราะว่าผู้ที่มีพลังระดับนี้หาได้ยากนักในทวีปเทียนหยวน ไม่ใช่แค่มีจำนวนน้อยเท่านั้น ทุก ๆ คนในนั้นอยู่ในตำแหน่งที่สำคัญและยืนอยู่บนจุดสูงสุดของทวีปเทียนหยวน
“การต่อสู้ของน้องเจี้ยนเฉิน ช่างเปิดหูเปิดตาข้ามาก ใครจะคิดเล่าว่าความสำเร็จในวิชากระบี่ของน้องเจี้ยนเฉินจะยอดเยี่ยมขนาดนี้ ช่างน่ากลัวเหลือเกินเมื่อใช้กระบี่ ความเร็วในการจู่โจมนั้นคงยากที่จะหาใครทัดเทียมในทวีปเทียนหยวนนี้” หวงเทียนป้าปรากฏตัวขึ้นข้างหน้าเจี้ยนเฉินและกล่าวชื่นชมด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ สิ่งที่เขาพูดนั้นออกมาจากใจจริง ไม่ได้แต่งเติมคำพูดใดใดเพื่อประจบประแจงเจี้ยนเฉินแม้แต่น้อย
นูบิสบินอยู่ห่าง ๆ เขาจ้องมองไปทางเจี้ยนเฉินด้วยสีหน้าที่ยากที่จะเข้าใจ “ก่อนหน้านี้ ตอนที่เจ้าใช้กระบี่นั้น เจ้าก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเซียนผู้คุมกฎชั้นสวรรค์ที่ 5 เลย ใครจะคิดล่ะว่า หลังจากที่เจ้าได้เป็นเซียนผู้คุมกฎแล้ว ความแข็งแกร่งของเจ้าจะเปลี่ยนแปลงหลังจากได้รับยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎมากขนาดนี้”
เจี้ยนเฉินฟังที่ทั้งสองคนพูดและไม่ได้ขยับเขยื้อนใด ๆ และอยู่ในท่าทางที่สงบ เขาจ้องมองไปที่กระบี่สังหารมังกรเหมือนตกอยู่ในภวังค์ “ทั้งหมดนี้มาจากพลังของกระบี่ ถ้าข้าไม่มีกระบี่นี้ ข้าคงไม่สามารถที่จะฆ่าเซียนผู้คุมกฎได้ง่ายดายขนาดนี้ ถึงแม้ว่าพวกเขาบาดเจ็บหนักก็ตาม ตราบใดที่ข้ามีกระบี่นี้ในมือ ความสามารถของข้าจะเหนือกว่าปกติ”
“ดูเหมือนว่ายุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎนี้จะเหมาะกับเจี้ยนเฉินนะ เพียงแค่ยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎที่ล้ำค่ามาอยู่ในมือของมือกระบี่ที่สุดยอดอย่างเจี้ยนเฉิน นั่นจะประมาทไม่ได้เลย ก่อนหน้านี้ ตอนที่กระบี่นี้อยู่ในมือของจิ้งเฟิง รัศมีของกระบี่ก็ไม่ได้ปกคลุมทั่วทั้งหมดอย่างนี้” หวงเทียนป้าอดไม่ได้ที่จะกล่าวชื่นชมอีก หลังจากนั้น เขามองไปข้างล่างและตวัดมือ หอกยาว 3 เมตรเบื้องล่างก็ได้ลอยขึ้นมา มันหนาพอพอกับข้อมือและเปล่งประกายสลัว ๆ
หวงเทียนป้าพิจารณาหอกที่เขาได้มาสักพักก่อนส่งต่อไปให้เจี้ยนเฉิน เขายิ้ม “น้องเจี้ยนเฉิน ยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎนี้มีชื่อเดิมว่าหอกพิฆาต เป็นชื่อที่สื่อได้ชัดเจนจริง ๆ นี้เป็นหนึ่งในสมบัติของตระกูลหวงฟู่คู่กับกระบี่สังหารมังกร พวกมันถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น ตอนนี้ก็คือจิ้งเฟิงและจินเทียน หอกพิฆาตก็เป็นของน้องเจี้ยนเฉิน
เจี้ยนเฉินละสายตาจากกระบี่สังหารมังกรไปที่หอกพิฆาต เป็นชื่อที่สื่อถึงมันได้ตรงมาก แต่รูปลักษณ์ของหอกก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ ไม่ต่างไปจากหอกธรรมดาทั่ว ๆ ไป ยกเว้นอย่างเดียวคือ มันคือยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎ
“พี่หวง ข้าขอรับแค่กระบี่เล่มนี้ก็พอแล้ว ท่านควรเก็บยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎเหล่านั้นไว้ ด้วยยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎ 2 ชิ้นนี้ ความแข็งแกร่งของครอบครัวหวงต้องเพิ่มขึ้นค่อนข้างมากอย่างแน่นอน” เจี้ยนเฉินยืนยัน
หวงเทียนป้าหัวเราะหึ ๆ “ครอบครัวหวงของข้าไม่ใช่ตระกูลโบราณที่จะสามารถครอบครองยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎได้หลาย ๆ ชิ้น ยิ่งมียุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎมากเท่าไร ยิ่งเป็นผลเสียต่อครอบครัวหวงของข้ามากเท่านั้น มันเหมือนเผือกร้อนที่ทุก ๆ คนต้องการ และมันต้องใช้พลังมากในการปกป้องมัน ตอนนี้ครอบครัวหวงไม่ได้มีเรื่องบาดหมางกับใคร แต่แค่ยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎชิ้นเดียวก็เกินพอแล้ว และในครอบครัวหวงไม่มีใครใช้หอกด้วย ดังนั้นถ้าข้านำมันไป หอกพิฆาตก็จะไร้ประโยชน์กับครอบครัวหวงของข้า มันคงจะดีกว่าถ้าน้องเจี้ยนเฉินเก็บมันไว้”
เจี้ยนเฉินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยื่นมือออกไปรับหอกพิฆาตในที่สุดและกล่าวว่า “ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว ข้าจะเก็บหอกไว้ชั่วคราวแล้วกัน”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า น้องเจี้ยนเฉิน เจ้าไม่จำเป็นต้องสุภาพขนาดนั้นก็ได้ ถ้าเจ้าไม่ช่วยข้า ข้าคงไม่สามารถฆ่าจิ้งเฟิงและจินเทียนได้ง่ายดายขนาดนี้ นี่เป็นสิ่งที่น้องเจี้ยนเฉินควรจะได้รับ” หวงเทียนป้าหยุดและป้องมือให้ เจี้ยนเฉิน “น้องเจี้ยนเฉิน เซียนผู้คุมกฎ 2 คนของตระกูลหวงฟู่ได้ตายแล้วตอนนี้ แต่ยังมีกำลังรบของพวกมันซ่อนอยู่ ข้าต้องรีบกลับไปที่ครอบครัวหวงเพื่อวางแผนถอนรากถอนโคนพวกมัน ก่อนที่พวกมันจะสร้างปัญหาในอนาคต”
หลังจากอวยพรก่อนจากกับเจี้ยนเฉิน หวงเทียนป้าก็รีบมุ่งไปยังครอบครัวหวงทันที ทิ้งให้เจี้ยนเฉินและนูบิสล่องลอยอยู่กลางอากาศ
เจี้ยนเฉินชำเลืองไปที่หอกในมือของเขาแล้วส่งต่อไปยังนูบิส เขายิ้ม “นูบิส วันนี้ท่านทำได้ดีมาก ข้าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้หอกนี้ ดังนั้นท่านรับมันไว้เถอะ”
การที่เห็นเจี้ยนเฉินมอบยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎที่เป็นสมบัติของเซียนผู้คุมกฎ ช่างเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เหลือเกิน นูบิส เคลื่อนไหวแล้วยิ้ม “ข้าไม่เคยใช้สิ่งนี้มาก่อน และข้ายังเป็นอสรพิษทองริ้วเงิน สัตว์ในตำนาน พลังของข้าในการต่อสู้นั้นมีมากมายอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นข้าไม่ต้องการมันหรอก เจ้าควรจะเก็บมันไว้ อย่าลืมว่ามีกลุ่มคนจำนวนมากอยู่ใต้อาณัติของเจ้า เมื่อเวลามาถึง เจ้าก็มอบมันให้แก่ผู้ที่คู่ควร มันจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งของกลุ่มทหารรับจ้างอัคนีของเจ้า “
“ดูเหมือนว่าข้าจะไม่สามารถให้ยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎนี้แก่ใครได้” เจี้ยนเฉินนำหอกพิฆาตกลับมาและเก็บเข้าไปยังแหวนมิติของเขา
“นูบิส กลับกันเถอะ”
“นูบิสผู้ยิ่งใหญ่ต่างหาก ! “
เจี้ยนเฉินเก็บแหวนมิติของจิ้งเฟิงและจินเทียนก่อนจากมา เพื่อนำมันกลับไปที่กลุ่มทหารรับจ้างอัคนีที่เคยอยู่
ในชั่วเวลาขณะหนึ่ง กลุ่มทหารรับจ้างอัคนีได้กลายเป็นที่รู้จักมากขึ้นเรื่อย ๆ กลุ่มทหารรับจ้างอัคนีมีเซียนผู้คุมกฎ 3 คน ซึ่งทำให้พวกเขาอยู่จุดสูงสุดอย่างไม่ต้องสงสัย พวกเขาแข็งแกร่งที่สุดในบริเวณรัศมีแสนกิโลเมตรรอบ ๆ มีแต่ตระกูลสันโดษและตระกูลที่หลบอยู่ในที่รกร้างเท่านั้นที่จะต่อกรกับพวกเขาได้
อย่างไรก็ตาม ในบรรดาพวกตระกูลสันโดษและตระกูลต่าง ๆ นั้นทราบดีว่าเจี้ยนเฉินที่เป็นหัวหน้าของกลุ่มทหารรับจ้างอัคนี ครั้งก่อนหน้านั้น ตอนที่ตระกูลสันโดษหลายตระกูลและตระกูลโบราณ 2 ตระกูลต่อสู้กันเพื่อชิงเหมืองโลหะผสมทังสเตน เจี้ยนเฉินได้เชิญผู้อาวุโสสูงสุดของเมืองทหารรับจ้างมา ข่าวที่ว่าเซียนราชาของตระกูลเอ้าหยุนนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัสโดยผู้อาวุโสสูงสุดก็ได้แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว นี่ทำให้เกิดความโกลาหลในกำลังรบของตระกูลสันโดษ ซึ่งทำให้ตระกูลสันโดษและสำนักต่าง ๆ ไม่ประสงค์ที่จะยั่วยุกลุ่มทหารรับจ้างอัคนี
ผลลัพธ์ก็คือกลุ่มทหารรับจ้างอัคนีได้อยู่ในความสงบสุขมาชั่วระยะเวลาหนึ่ง. และนั้นยังรวมถึงการทำเหมืองทังสเตนได้ขยายตัวเพิ่มมากขึ้นโดยไม่ต้องหลบซ่อนใด ๆ ไม่แม้แต่พวกผู้คนท้องถิ่นที่ถูกเรียกมาทำเหมืองที่ได้รับค่าจ้างที่สูงเท่านั้น ผู้คนจากอาณาจักรข้าง ๆ ก็ถูกเกณฑ์มาทำเหมืองและได้รับค่าจ้างอย่างงามเช่นกัน ทำให้กลุ่มทหารรับจ้างอัคนีสามารถขุดแร่ทังสเตนออกมาได้เป็นจำนวนมากทุกวัน
2 วันหลังจากนั้น, ในห้องประชุมที่กลุ่มทหารรับจ้างอัคนี สมาชิกระดับสูงและคนสำคัญ 2-3 คนได้รวมกันที่นั้น เจี้ยนเฉินคือหนึ่งนั้น เขานั่งอยู่ปลายสุดกับเสือตัวเล็กสีขาวที่นอนอยู่อย่างสงบบนมือของเขา
“พี่น้องทั้งหลาย นี่คือร่างแบบแปลนโดยสมาชิกระดับสูง น้องของข้า โหยวเย่และข้า ตอนนี้เรามีแร่ทังสเตนอยู่มากมาย ดังนั้นพวกเราจึงวางแผนที่จะสร้างกำแพง กำแพงที่ทำจากแร่ทังสเตนทั้งหมด ข้าเลยอยากถามความเห็นจากพี่น้องทั้งหลาย”
“พี่น้อง ความคิดของน้องเจ้าเยี่ยมมาก การใช้แร่ทังสเตนในการทำกำแพงเมืองนั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในทวีปเทียนหยวน ถ้าพวกเราทำกำแพงเมืองสำเร็จ ข้าเชื่อเลยว่ามันจะต้องเป็นกำแพงที่แพงที่สุด แข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยวที่สุดที่มีบนทวีปเทียนหยวน แม้เมืองหลวงทั้งเจ็ดก็อย่างที่จะเปรียบได้” หมิงตงกล่าวอย่างตื่นเต้น
เจี้ยนเฉินเหลือบมองไปยังแบบแปลนที่ถูกวาดบนกระดาษและพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “เหลียนเอ๋อ เยว่เอ๋อ เรามาทำตามแผนที่เจ้าวางไว้กันเถอะ เจ้าพิจารณาทบทวนทุกอย่างอย่างรอบคอบและไม่ได้ทำให้ข้ากังวลแม้แต่น้อย ถ้าเป็นไปได้ก็ทำตามที่เจ้าวางแผนไว้นั้นแหละดี ใช้แร่ทังสเตนในการสร้างเมืองที่แข็งแกร่งที่สุดบนทวีปเทียนหยวน”
“ได้เลย พี่ชาย ! ” ไป๋หลานตื่นเต้น มันเป็นนางที่เป็นต้นคิดเรื่องนี้ ดังนั้นในตอนที่นางกำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องเมืองที่แข็งแกร่งที่สุดบนทวีปเทียนหยวนถูกออกแบบโดยนาง นางก็ภาคภูมิใจมาก
“ปังง ! “
ทันใดนั้นเอง มีเสียงดังสนั่น ประตูห้องประชุมที่ถูกปิดอยู่ก็ถูกทีบเปิดออกอย่างรุนแรงโดยใครบางคน ประตูที่แข็งแกร่งที่ถูกทำจากไม้และเหล็กได้กลายเป็นเศษไม้ที่บินได้กระจายไปออกทั่ว ทุกคนในห้องประชุมต่างตกใจ
เจี้ยนเฉิน นูบิส และเจียเต๋อไท่ ที่นั่งอยู่ที่ห้องประชุมเริ่มเคร่งขรึม พวกเขาจ้องออกไปจากห้องประชุมด้วยความประหลาดใจ เพราะด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขา พวกเขาไม่คิดว่าจะมีใครที่กล้าทำแบบนี้ นี่ทำให้พวกเขารู้สึกไม่เชื่อ
ในสายตาของพวกเขาทั้งสาม ผู้ชายวัยกลางคนในเสื้อผ้าธรรมดา ๆ เดิมเข้ามาจากข้างนอก ชายคนนั้นสูงมากกว่า 2 เมตร และครึ่งหนึ่งนั้นคือร่างกายที่กำยำและแข็งแกร่ง เขาดูเหมือนจะสูงและแข็งแกร่งด้วยใบหน้าที่ดุร้ายและเข้าใจยากนั้น