ตอนที่ 86 - 3 อยากสังหารข้าหรือไม่

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]

เสียงร้องอันแข็งกร้าวดุเดือด จิตใจซึ่งปรารถนาความตายเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ 

 

 

หลายคนบนจัตุรัสเผยรอยยิ้มบางออกมา…จำนวนคนไม่มาก ทว่ามีทั้งทหารจากค่ายเจ็ดสีและสามค่ายหลักของคั่งหลง ยิ่งกว่านั้นยังมีรองขุนพล แสดงให้เห็นถึงผลกระทบของเรื่องนี้กับพลังการปลุกระดมของเฉิงกูมั่ว 

 

 

“ข้ายังคงไว้ซึ่งวาจาประโยคนั้น ข้าไม่ได้ตั้งใจจะกระทำความผิดยามชรา พวกเราไม่เจตนาจะเป็นผู้ทรยศต้าฮวง พวกเราไม่อยากทรยศราชครู” เฉิงกูมั่วแหงนหน้า ร้องว่า “วันนี้พวกเราพลีชีพร่วมร้องทุกข์หน้าประตูวัง ขอเพียงราชครูโปรดอย่าได้ถูกความงามของสตรีมอมเมาอีก ขอเพียงท่านมีจิตใจบริสุทธิ์ผ่องใส ใช้กระบี่แห่งปัญญาสวรรค์สังหารนางปีศาจผู้ทำลายแคว้นทำร้ายราษฎร์นางนี้ใต้คมกระบี่!” 

 

 

“เฉิงกูมั่ว” แขนเสื้อของกงอิ้นปลิวว่อนกลางสายลม น้ำเสียงไร้ซึ่งอารมณ์เอ่ยว่า “อาวุธแห่งทหารแห่งราชัน ผู้ใดอนุญาตให้เจ้าถือมันหันมาคุกคามผู้เป็นนาย?” 

 

 

“สิ่งที่คุกคามนายท่านได้มีเพียงใจคน!” เฉิงกูมั่วตวาดขึ้นว่า “วันนี้พวกข้ายืนอยู่ที่นี่ ส่วนค่ายใหญ่คั่งหลงไม่อาจเข้าสู่ตี้เกอแม้เพียงก้าวเดียวภายใต้คำสั่งเข้มงวดของท่าน ทว่าขุนพลและนายทหารทุกนายต่างตั้งใจฟังเสียงและคำตอบในยามนี้อยู่กลางค่ายใหญ่กูซานนอกนครสิบห้าลี้! วันนี้หากพวกข้าหลั่งโลหิตทั่วจัตุรัสหวงเฉิง ระหว่างครู่หนึ่งนี้ ทุกผู้คนในค่ายใหญ่คั่งหลงจะเข้าใจถึงโลหิตร้อนที่สาดกระเซ็นเสียเปล่าในยามก่อน วันหนึ่งภายภาคหน้า ค่ายใหญ่คั่งหลงจะหลั่งโลหิตทั่วตี้เกอ!” 

 

 

กงอิ้นค่อยๆ เชยดวงตาขึ้น ข้างหน้าคือความมืดมิดผืนหนึ่ง มวลเมฆหนาแน่น ทว่าแววตาของเขาคล้ายทะลุผ่านความมืดมิดและระยะทาง มองเห็นค่ายใหญ่คั่งหลงที่อยู่ห่างออกไปสิบห้าลี้กำลังสับสนวุ่นวาย 

 

 

ทหารคั่งหลงที่เขาใช้พละกำลังแข็งแกร่งสกัดกั้นให้มั่นคง หากถูกกระตุ้นจะระเบิดผลลัพธ์อย่างไรออกมา? 

 

 

“ข้าเฉิงกูมั่วจะไม่ใช้บารมีตนเองบีบบังคับให้คั่งหลงก่อกบฏตามข้า ทอดทิ้งชีวิตของสหายร่วมทัพมากมายขนาดนั้น ทหารต้าฮวงไม่อยากเข่นฆ่ากันเอง! ฉะนั้นข้าเพียงพาเหล่าพี่น้องพวกนี้มายื่นคำร้องต่อท่านหน้ากำแพงวัง สำหรับท่าน ข้าทำดีที่สุดแล้ว ข้าไม่ทำให้ท่านผิดหวัง ไม่ทำให้คั่งหลงผิดหวัง!” เสียงของเฉิงกูมั่วน่าเวทนาอย่างยิ่ง เอ่ยขึ้นว่า “ฉะนั้น ราชครู! หากท่านละเมิดทำนองคลองธรรม ขอให้ท่านนึกถึงความผิดหวังและความโกรธแค้นของคั่งหลง!” 

 

 

ฝ่ามือของจิ่งเหิงปัวจับกำแพงวังแน่น อิฐครามเย็นเยือกแทบจะขูดข่วนฝ่ามือแล้ว ทว่านางคล้ายไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย 

 

 

วิธีนี้ของเฉิงกูมั่วไม่อาจกล่าวว่าไม่โหดเ**้ยม 

 

 

เขาไม่ก่อกบฏ แต่พาพลกล้าตายมาร่วมร้องทุกข์ด้วย สมเหตุสมผล ความคิดจิตใจเปิดกว้าง ค่ายใหญ่คั่งหลงทั้งค่ายย่อมต้องรู้สึกลำบากใจเพราะเขา ต้องสนใจความเป็นไปของเรื่องราวแน่นอน 

 

 

คราวนี้แตกต่างจากการกระทำเดือดดาลที่ตรอกหลิวหลีของเขาคราวก่อน ครั้งนี้เขาถือครองเหตุผลครอบคลุม ไม่อาจประณามได้ ทำให้กงอิ้นไร้หนทางปลุกระดมทหารด้วยนามความชอบธรรมของแว่นแคว้น บีบบังคับเขาเข้าสู่มุมอับอีกครั้ง 

 

 

มีความคิดหนึ่งเฉียดผ่านหัวใจของนางอย่างรางเลือน…รูปแบบปฏิบัติของเขาเปลี่ยนไปแล้ว เบื้องหลังต้องมีคนคอยชี้แนะ… 

 

 

“ผู้ที่ผิดหวังโกรธแค้นไม่ได้มีเพียงคั่งหลง!” เฟยหลัวร้องก้องเสียงหนึ่ง เดินมาข้างกายเฉิงกูมั่วแล้วนั่งลงบนพื้น 

 

 

ลูกน้องและราษฎรเผ่าฝูสุ่ยแบกศพสมุหพระกลาโหมเฉิงไว้ เดินขึ้นมาข้างหน้าแล้วนั่งลง 

 

 

เสนาพิธีการถูกเหล่าขุนนางในกองพิธีการประคองไว้ เดินโซซัดโซเซมาข้างหน้าสุดแล้วนั่งลง 

 

 

จ้าวซื่อจื๋อถูกคนเข็นเก้าอี้เข็นมาข้างหน้าสุด ดิ้นรนลื่นไถลลงมาจากบนเก้าอี้เข็นภายใต้การประคองของผู้อื่น คุกเข่าลงบนพื้น 

 

 

เขาพิเศษไร้ผู้ใดเหมือน ยามนี้ยังไม่ลืมเล่นละคร สองมือยันพื้นประคองร่างขึ้นมา แหงนหน้าไปทางพระราชวัง ร้องวิงวอนยืดยาว 

 

 

“ราชครู! จ้าวซื่อจื๋อจิตใจร้อนรุ่มเป็นไฟเพื่อท่าน! สรรพชีวิตทั่วโลกหล้าขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของท่าน! ราชครูโปรดอย่าได้ทำร้ายตนเองเลย!” 

 

 

เสียงตะโกนโศกเศร้าเหลือล้น บนท้องฟ้าพลันมีเศษเสี้ยวเกล็ดหิมะร่วงโรยประปราย ทุกคนเงยหน้าอย่างงงงวย มองเห็นบนผืนนภามืดมิดมีประกายดวงดาวเวียนวนหล่นร่วงพอดิบพอดี 

 

 

หิมะแรกของเหมันตฤดูนี้มาก่อนเวลาแล้ว 

 

 

“สวรรค์เอ่ยวาจา หิมะล้างมลทินข้า!” จ้าวซื่อจื๋อชูสองมือขึ้นฟ้า ร่ำไห้ดังก้อง 

 

 

“สวรรค์เอ่ยวาจา เจ้ากล้าต่อต้านหรือ?” เฟยหลัวร้องตะโกนเสียงแหลม เอ่ยว่า “กงอิ้น! เจ้าจะต่อต้านสวรรค์ ต่อต้านเจตนารมณ์ของราษฎร ต่อต้านทั้งราชสำนักนี้ กองทัพที่จงรักภักดี ปัญญาชนทั่วโลกหล้า รวมทั้งหกแคว้นแปดชนเผ่าเพื่อนังปีศาจนางหนึ่งจริงหรือ!” 

 

 

ฝูงชนคลาคล่ำบนจัตุรัส ผู้ร่วมร้องทุกข์ที่อยู่ใกล้สุดสัมผัสชายผ้าขององครักษ์อวี้จ้าวที่เฝ้าประตูวังแล้ว กลางแววตาขององครักษ์เย็นชาเหล่านั้นผุดเผยความตื่นกลัวเล็กน้อยเช่นกัน มือกุมแน่นบนด้ามมีดสั่นเทาเพียงน้อย 

 

 

เสียงร้องเบื้องล่างพระราชวังดั่งกระแสน้ำ 

 

 

กงอิ้นที่อยู่บนกำแพงวังไม่เอ่ยวาจาแม้แต่คำเดียว 

 

 

บรรยากาศเกร็งแน่นดุจสายพิณ ดั่งคล้ายปลายนิ้วดีดเพียงครั้งย่อมจะส่งเสียงแหลมขาดผึง 

 

 

“รายงาน…” 

 

 

พลันมีเสียงร้องตะโกนทำลายความกดดันในยามนี้ ทุกคนสะท้านไปทั่วร่าง กงอิ้นที่อยู่บนกำแพงวังเงยหน้าฉับพลัน มองไปยังทิศทางของผู้รายงาน 

 

 

นั่นคืออาชาขาวราวหิมะตัวหนึ่ง ศีรษะม้าแซมขนนกขาว เครื่องแบบมาตรฐานของทหารม้าสังเกตการณ์สังกัดอวี้จ้าว ควบอาชาเพียงครั้งทะลุผ่านจัตุรัสปานฟ้าแลบ กองโคลนเลนเสี้ยวหิมะบนจัตุรัสสาดกระเซ็น ทุกคนเงยหน้าอย่างตื่นตระหนก มองเห็นทหารม้าเหงื่อชุ่มเปรอะโลหิตทั่วร่างบนหลังม้าสูงใหญ่! 

 

 

หัวใจของจิ่งเหิงปัวกระตุกวูบ 

 

 

“รายงาน…ค่ายใหญ่คั่งหลงล่มสลาย!” 

 

 

… 

 

 

จัตุรัสหวงเฉิงดั่งศัตรูเผชิญหน้า จวนหรูหราสนทนาสุขสันต์ 

 

 

ระหว่างม่านแพรกระโจมปักลายมีนางระบำร่ายรำระบำอาภรณ์ขนนก เปลือยเท้าจมลงกลางพรมเหลืองทองอ่อนนุ่ม กระดิ่งทองคำบนข้อเท้าขาวราวหิมะดังแผ่วเบา ฟังแล้วไม่รู้สึกว่ากังวาน ทว่ายิ่งเพิ่มบรรยากาศหรูหรานุ่มนวลอยู่หลายส่วน 

 

 

“เชิญ” แขนเสื้อสีดำเหลือบเงินของเหยียลี่ว์ฉีสะบัดผ่านพื้นโต๊ะอย่างอ่อนช้อย นิ้วมือเรียวยาวประคองถ้วยสุราทองคำ คารวะอย่างสุขุม 

 

 

“เชิญ” แขกดื่มหมดในรวดเดียว 

 

 

จ้องมองยิ้มแย้มให้กันและกัน 

 

 

รอยยิ้มของแขกมองเห็นได้เพียงครึ่งล่าง เขาสวมหน้ากากที่ทำจากเงิน เผยให้เห็นเพียงริมฝีปากบางและคางเหลี่ยมมน 

 

 

“หิมะตกแล้ว” เหยียลี่ว์ฉีพลันเงยหน้ามองนอกหน้าต่าง เอ่ยว่า “หิมะปีนี้มาเร็วเสียจริง” 

 

 

“หิมะตกแล้ว” แขกหันกายมองหิมะเช่นกัน เอ่ยว่า “ไม่รู้ว่าหิมะของจัตุรัสหวงเฉิงหนาวเย็นยิ่งกว่านี้หรือไม่ ทว่าข้าคิดว่ายามนี้ราชครูกงคงไม่มีความคิดไปถกเถียงว่าหิมะมาช้าหรือมาเร็วเฉกเช่นท่านกับข้าเป็นแน่” 

 

 

เหยียลี่ว์ฉีหัวเราะเพียงครั้งแล้วเอ่ยว่า “หรือเขาอาจถกเถียงกับคนครึ่งราชสำนักว่าระหว่างหิมะกับโลหิตสิ่งใดเหน็บหนาวกว่ากันได้” 

 

 

“หากถกเถียงกันขนาดนี้จริง” แขกยิ้มแย้ม เอ่ยว่า “ภายหลังราชครูเหยียลี่ว์น่าจะถกเถียงกับผู้ต่ำต้อยว่าบัลลังก์ตำหนักอวี้จ้าวกว้างเพียงใดกันแน่ได้แล้ว” 

 

 

มุมปากของเหยียลี่ว์ฉีกระหวัดเป็นรัศมีโค้งบางเบาผืนหนึ่ง พาให้คนหวั่นไหวมัวเมาดุจดั่งน้ำสุรานี้ 

 

 

“ยามนี้เอ่ยเรื่องนี้ยังเร็วเกินไป ไม่แน่ว่ากงอิ้นจะพ่ายแพ้” 

 

 

“เขามีโอกาสชนะมากยิ่งนัก” แขกเอ่ยว่า “เขากุมอำนาจทางการเมืองมานาน สะสมบารมีมากล้น กำลังทหารรอบตี้เกออยู่ในกำมือเขาทั้งสิ้น บนจัตุรัสมีคนมากมายขนาดนั้น แต่ไม่มีสักคนที่กล้ามุ่งสู่เขาโดยตรง ต่างเพียงขอร้องให้เขาสำเร็จโทษราชินี ขอเพียงเขาหักใจสังหารจิ่งเหิงปัวได้ เขาก็ยังจะเป็นราชครูฝ่ายขวา ผู้กุมอำนาจทางการเมืองของต้าฮวงแต่เพียงผู้เดียวดังเดิม” 

 

 

มือที่รินสุราของเหยียลี่ว์ฉีชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็ค่อยๆ ฟื้นคืนเป็นปกติ ยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าเขาจะสังหารหรือว่ายังไม่สังหาร” 

 

 

“ท่านคิดอย่างไรเล่า?” แขกย้อนถาม 

 

 

“จอมฉวยโอกาสย่อมเด็ดเดี่ยวเย็นชา” เหยียลี่ว์ฉียักไหล่ เอ่ยว่า “มีผู้รักโฉมงามไม่รักแผ่นดินด้วยหรือ? เพียงสังหารสตรีนางหนึ่งไม่ใช่หรืออย่างไร ไม่ว่าเป็นผู้ใดก็ย่อมควรเลือกได้ถูกต้องกระมัง” 

 

 

“แล้วหากให้ราชครูเหยียลี่ว์เลือกเล่า” 

 

 

มือที่ประคองถ้วยสุราของเหยียลี่ว์ฉีชะงักงันเล็กน้อยอีกครั้ง จากนั้นเขาก็ยิ้มแย้มพลางเอ่ยขึ้นว่า “เรื่องนี้ยังต้องถามอีกหรือ?” 

 

 

“สีหน้าของราชครูเหยียลี่ว์คล้ายไม่ได้เอ่ยวาจาออกมาจากใจจริง” แขกจ้องมองเขาเขม็ง 

 

 

“ไม่ต้องเป็นห่วงสีหน้าของข้า อย่างไรเสียผู้ที่ต้องเลือกก็ไม่ใช่ข้า” รอยยิ้มของเหยียลี่ว์ฉีคล้ายมีความเย็นชา 

 

 

แขกหัวเราะเล็กน้อย กลับสู่หัวข้อสนทนาเมื่อครู่ “กงอิ้นคงไม่สังหาร” 

 

 

“อ้อ?” สีหน้าเหยียลี่ว์ฉีแปลกประหลาดอยู่บ้าง 

 

 

“เขาแตกต่างจากผู้อื่น เขาไม่ชื่นชอบให้คนคุกคาม เขาไม่ชื่นชอบการทรยศ เขายังใส่ใจความรู้สึกบางอย่างเป็นพิเศษด้วยเพราะเหตุผลบางประการ” แขกเอ่ย 

 

 

“โอ้ เฉกเช่น?” 

 

 

“ไม่มีสิ่งใดให้บอกกล่าว” แขกยิ้มแย้ม เอ่ยว่า “ข้าเอ่ยได้เพียงว่าราชินีนางนี้แตกต่างสำหรับเขา” 

 

 

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้” เหยียลี่ว์ฉีพ่นลมหายใจยืดยาวเฮือกหนึ่งด้วยสีหน้าซับซ้อน เอ่ยว่า “ไม่ใช่ว่าเขาต้องการให้ทุกผู้คนตีตัวออกห่าง เลือกละทิ้งตำแหน่งมหาราชครูเพื่อจิ่งเหิงปัวหรือ?” 

 

 

“ฉะนั้นต้องแสดงความยินดีกับราชครูเหยียลี่ว์ด้วย” แขกยิ้มแย้ม เอ่ยว่า “ท่านกับข้าครุ่นคิดวางแผน คราวนี้ไม่ใช่ว่าได้เห็นผลลัพธ์แล้วหรือ?”