องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 818 เจ้าห้าป่วย
หนานกงเย่นอนคนเดียวในห้องไม่หลับจึงได้ไปนอนกับที่เด็กๆทั้งหลายโน่น
พ่อกลับมาแล้วเด็กๆที่รักทั้งหลายดีใจยิ่งนักแต่ละคนไปหาพ่อกันอย่างมีความสุข
หนานกงเย่เล่าเรื่องราวภายนอกให้พวกเขาฟังซึ่งเจ้าห้าก็ไม่ชอบเคลื่อนไหวดังเดิมโดยที่เขานอนอยู่กับพื้น
หนานกงเย่จับลูกชายขึ้นมาอุ้มไว้ในอ้อมแขนให้เขานอนอยู่บนตัก เจ้าเสือน้อยนั้นเติบโตจนใหญ่กว่าสุนัขตัวใหญ่ตัวหนึ่งเสียแล้ว เมื่อเห็นว่านายท่านไปอยู่ในอ้อมแขนของหนานกงเย่ก็ลุกขึ้นเดินไปหมอบนอนลงข้างๆหนานกงเย่โดยวางหัวเอาไว้ข้างต้นขาของหนานกงเย่ให้เท้าของเจ้าห้าวางลงบนหัวเสือของมัน เช่นนี้นายท่านจะได้สบายขึ้น
เด็กๆที่รักคนอื่นๆดูแคลนยิ่งนัก
“ท่านอ๋อง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงสองสามวันนี้ ตั้งแต่ที่ท่านและพระชายากลับมา ซื่อจื่อที่ห้าก็ไม่กินสิ่งใดเลยเป็นเวลาสามวันแล้ว” ลี่ว์หลิ่วไม่รู้จะบอกเรื่องนี้กับผู้ใด ตอนนี้ในจวนยุ่งกันจนอวิ๋นจิ่นก็ยุ่งจนไม่ไหวแล้วนางก็ไม่มีหนทางแล้ว
หนานกงเย่อุ้มเจ้าห้าโดยที่กำลังเล่นเท้าน้อยๆของเขาอยู่ เจ้าห้านั้นผอมกว่าเด็กคนอื่นๆเล็กน้อย สี่คนอื่นนั้นอ้วนท้วนกันหมดมีแต่เจ้าห้ามที่ใบหน้าผอมแห้ง หากว่าเป็นผู้ใหญ่ผู้หนึ่งก็ไม่ว่าสิ่งใดแต่เด็กน้อยเช่นนี้กลับไม่มีเนื้อหนังเลยสักนิดหากว่าโตขึ้นมาจะไหวหรือ?
เช่นนั้นก็จะไม่ใช่หนังหุ้มกระดูกหรอกเหรอ
แต่ทั้งสองสามีภรรยาก็ไม่ค่อยอยู่ที่เรือนกันก็ไม่สามารถโทษผู่อื่นว่าดูแลลูกๆไม่ดี ในจวนมีคนมากมายเช่นนี้ผู้ใดจะดูแลพวกเขาให้เหมือนดังกับบรรพบุรุษได้ อีกสี่คนนั้นอ้วนถ้วนสมบูรณ์ราวกับลูกบอลเช่นนั้น คนนี้กลับเป็นเช่นนี้แล้วยังจะกล่าวสิ่งใดได้อีก?
หนานกงเย่ก็นึกว่าลูกชายจะมีนิสัยเช่นนี้แต่ไม่ได้คิดว่าจะเป็นเรื่องเช่นนี้ไม่กินไม่ดื่มเลยหรือ?
“เจ้าอารมณ์หรือเปล่าที่พระชายากับข้ามิได้มาอยู่ด้วยหรือเปล่า?” หนานกงเย่คิดอยู่กับตนเองเช่นนี้
เสี่ยวเฉียวนั่งอยู่ฝั่งหนึ่งโดยที่จิ้งจอกหางสั้นนอนหมอบอยู่ข้างๆ นางสัมผัสจิ้งจอกหางสั้นแล้วกล่าวว่า: “น่าจะไม่ใช่ เจ้าห้าไม่เคยใช้ร่างกายตนเองมาระบายอารมณ์โกรธ สองสามวันมานี้ท่านแม่กลับเขาก็ไม่กินแต่ข้าก็ถามว่าคิดถึงท่านพ่อกับท่านแม่หรือเขานั้นส่ายศีรษะ ท่านพ่อ……ท่านดูตาเขาสิดูแข็งทื่ออยู่บ้างเสียแล้ว”
หนานกงเย่มองดูลูกชายอย่างละเอียดก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
หนานกงเย่รู้สึกว่าเรื่องนี้หนักหนาเสียแล้ว ลูกชายอาจจะป่วยโดยที่ไม่มีผู้ใดรู้เลย
“เสี่ยวเฉียวกับอามู่อยู่ดูแลน้องชายทั้งหลาย ลี่ว์หลิ่ววันนี้เจ้ากับเถาหงดูแลที่นี่ตามเดิม พวกเจ้าไม่ต้องตามมาอยู่กับซื่อจื่อทั้งหลายข้าจะพาซื่อจื่อที่ห้าไปพบพระชายา ”
หนานกงเย่เตรียมจะจากไปแต่เจ้าเสือน้อยไม่วางใจจึงลุกขึ้นร้องคำรามเสียงหนึ่งจนทำให้หนานกงเย่ตกใจ
หันหลังกลับแล้วหนานกงเย่กล่าวด้วยสีหน้าหมองหม่นว่า: “หากเจ้าไม่ต้องการให้ข้ากินเจ้าก็สงบนิ่งหน่อย”
เจ้าเสือน้อยหวาดกลัวจึงหลบอยู่ด้านหลังเสี่ยวเฉียวซ่อนหัวเอาไว้และนอนหมอบอยู่กับพื้น ร่างกายของเสี่ยวเฉียวผอมบาง เจ้าเสือน้อยตัวใหญ่กว่าเสี่ยวเฉียวจหางจึงได้โผล่ออกมาตรงด้านหลังและแกว่งไปแกว่งมา!
หนานกงเย่ฮึ่มเย็นชาเสียงหนึ่งแล้วหันหลังอุ้มลูกชายออกไปโดยใช้แขนเสื้อคลุมตัวใหญ่นั้นคลุมเจ้าห้าเอาไว้
มาถึงนอกเรือนของอวิ๋นจิ่นหนานกงเย่ก็เคาะประตูแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็ถามว่า: “ผู้ใด?”
“ข้าเอง”
ฉีเฟยอวิ๋นได้ถอดเสื้อผ้าออกแล้ว ลุกขึ้นบอกอวิ๋นจิ่นว่าไม่ต้องสนใจแล้วไปดูนังตรงหน้าประตู
ประตูเปิดแล้วหนานกงเย่ก็เข้าประตูไปแล้วนำแขนเสื้อออกนำตัวลูกชายให้ฉีเฟยอวิ๋นดู: “เจ้าดูเขาสิ”
ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกว่าสถานการณ์หนักหนาจากนั้นอุ้มลูกชายเดินเข้าไปด้านในแล้วนั่งลงดูเจ้าห้า
ฉีเฟยอวิ๋นขมวดคิ้ว: “ประหลาดแล้ว เหตุใดข้าถึงดูไม่ออกและตรวจดูอาการไม่ได้หล่ะ?”
“เป็นไปได้เช่นไร?” หนานกงเย่ไม่เชื่อ
ฉีเฟยอวิ๋นวางเจ้าห้าลงแล้วมองดูเขาอย่างละเอียด
“ท่านอ๋องดูเหมือนเจ้าห้าจะไม่มีชีพจรเลย” ฉีเฟยอวิ๋นกังวลจนใบหน้าซีดเซียว เจ้าห้าเพียงแ่หลับตาโดยไม่กล่าวสิ่งใดและไม่มองผู้ใดเลยราวกับว่าเจ็บปวดยิ่งนักจนใจนั้นแหลกสลายเป็นผุยผง
“นี่เกิดสิ่งใดขึ้น?” ฉีเฟยอวิ๋นชี้ไปยังหีบยาซึ่งอยู่ฝั่งหนึ่ง: “ท่านอ๋อง หีบยา!”
หนานกงเย่หยิบกล่องยาให้ฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นนำหูฟังแพทย์มาฟังลูกชายแต่ไม่ได้ยินอะไรเลย ราวกับหัวใจไม่ได้เต้นอยู่เลย
ฉีเฟยอวิ๋นสูดหายใจเข้าพยายามสงบสติอารมณ์
“ท่านอ๋อง สองสามวันมานี้มีผู้ใดมาใช่หรือไม่?” ฉีเฟยอวิ๋นมั่นใจว่าต้องมีคนมา
“ลี่ว์หลิ่วกล่าวว่าพวกเรากลัยมาเจ้าห้าก็ไม่กินไม่ดื่มตอนนี้ยิ่งหนักหนามากขึ้นแล้ว อวิ๋นจิ่นนั้นมีเรื่องต้องทำนางก็อาจจะไม่รู้ว่าจะทำเช่นไร ไม่เช่นนี้วันนี้ข้าจะไปดูว่านางจะไม่กล่าวสิ่งใดหรือ”
“ไร้สาระ ลี่ว์หลิ่วเข้าใจผิดแล้ว” ฉีเฟยอวิ๋นกังวลยิ่งนักแล้วอวิ๋นจิ่นก็ลุกขึ้น
“นายท่าน ให้ข้าดูหน่อย”
ฉีเฟยอวิ๋นส่งเจ้าห้าให้อวิ๋นจิ่น อวิ๋นจิ่นอุ้มเจ้าห้ามาดูปรากฏว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติ
“เจ้าห้านั้นไม่มีสิ่งใดต่างไป”
“อืม”
ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้ดีว่าปกติแล้วไม่มีสิ่งใดแตกต่าง แต่เป็นเช่นในตอนนี้ก็ยิ่งกังวลมากขึ้น
“อวิ๋นอวิ๋น ไม่ต้องกังวล ใจเย็นๆ”
หนานกงเย่บังคับตนเองให้สงบนิ่งจากนั้นนั่งลงมองดูลูกชายผู้เงียบเชียบแล้วกล่าวว่า: “พ่อรู้ว่าเจ้าสามารถได้ยินได้และมีสติอยู่ เจ้าห้าเป็นเด็กที่ฉลาดที่สุดที่พ่อเคยเห็น เจ้าห้าเจ้าจำทำสิ่งใดบอกท่านพ่อสิ”
พวกเจ้าห้านั้นสามารถพูดได้แล้วมีเพียงแต่เจ้าห้าไม่พูด
เจ้าห้าไม่พูดและก็ไม่ตอบสนอง
ฉีเฟยอวิ๋นอดไม่ได้จึงร้องไห้: “เป็นความผิดของแม่เองไม่ควรปล่อยเจ้าไว้ไม่สนใจ เจ้าห้าชอบให้แม่อุ้มออกไปที่สุด แม่กลับมากก็จากโดยไม่ได้ดูเจ้าห้าเลย”
“เจ้าอย่าร้องไห้”
หนานกงเย่เห็นฉีเฟยอวิ๋นร้องไห้ไม่ได้จึงกอดฉีเฟยอวิ๋นเอาไว้ทันที ส่วนฉีเฟยอวิ๋นนั้นเริ่มร้องห่มร้องไห้ขึ้นมาเสียแล้ว
นางเป็นเช่นนี้น้อยนักมาที่นี่แล้วไม่ได้ร้องไห้เช่นนี้มานานมากแล้ว แต่ตอนนี้นางเฝ้าติดตามหนานกงเย่อย่างสุดใจ หนานกงเย่ก็ยิ่งดีต่อนางมากขึ้นเรื่อยๆ นางอาลัยอาวรณ์ที่จะจากไป แต่เช่นนี้ในตอนนี้ดูไปแล้วลูกชายจะไม่ไหวแล้วนางจะไม่ร้องไห้ได้เช่นไร?
หนานกงเย่มองเจ้าห้าและตกตะลึงทันที
“อวิ๋นอวิ๋น เจ้าดูสิ”
ฉีเฟยอวิ๋นถูกผลักเปิดลืมตาขึ้นมองดูเจ้าห้า มีเส้นสีขาวและโปร่งใสบนร่างกายของเจ้าห้าและกำลังห่อตัวเขาไว้ ฉีเฟยอวิ๋นเอื้อมมือออกไปสัมผัสเส้นยังคงเหนียวอยู่ฉีเฟยอวิ๋นจึงถอนมือออกแล้วชี้ไปยังของเหลวที่ตกค้างบนเส้นไหม เนื่องจากว่าค่อนข้างใสพอถึงตรงนิ้วก็กลายเป็นน้ำแข็งจากนั้นก็ละลายไป
อวิ๋นจิ่นก็สัมผัสด้วยแต่แล้วก็รีบดึงมือกลับมาทันทีและก็ปวดแสบครู่หนึ่ง
อวิ๋นจิ่นมองนิ้ว ปลายนิ้วราวกับว่าถูกมีดบาดและตอนนี้ก็มีเลือดออกด้วย
ฉีเฟยอวิ๋นมองดูจากนั้นลุกขึ้นจับมืออวิ๋นจิ่นมาดู บาดแผลเวส้นหนึ่งซึ่งแหลมคมยิ่งนัก
ฉีเฟยอวิ๋นมองหนานกงเย่แล้วยื่นมือออกไปทดสอบด้วยความแปลกใจแต่มือของนางไม่เป็นไร
หนานกงเย่ยื่นมือออกไปทดสอบมือของเขาก็ไม่เป็นไร
อวิ๋นจิ่นสงสัย: “นี่เกิดสิ่งใดขึ้น?”
หนานกงเย่กล่าวว่า: “เฟยอิง อาอวี่……”
ทั้งสองคนเดินไปหน้าประตูทันทีจากนั้นหนานกงเย่ลุกขึ้นแล้วเปิดประตู: “เข้าไปแล้วอย่าได้พูดสิ่งใด บอกให้ทำสิ่งใดก็ทำ”
ทั้งสองคนไม่กล่าวสิ่งใดเลย เข้าประตูมาฉีเฟยอวิ๋นจึงกล่าวว่า: “ใช้มือสัมผัสสิ่งนี้ซิ”
ฉีเฟยอวิ๋นชี้ไปยังเจ้าห้าซึ่งในเวลานี้เจ้าห้าได้พันเป็นชั้นแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นไม่รู้ว่านั่นคืออะไรแต่ในใจของนางนั้นได้มีความคิดว่าเจ้าห้ากลายเป็นรังไหมไปแล้ว
อาอวี่และเฟยอิงต่างก็ตื่นตระหนกแปลกใจแต่ทั้งคู่ก็สัมผัสตามที่ฉีเฟยอวิ๋นบอก จู่ๆมือของเฟยอิงก็หดกลับมาทันทีแล้วยกมือขึ้นโดยมีเลือดหยด ลงมา เฟยอิงมองหนานกงเย่และหนานกงเย่ก็มองไป: “ถึงกระดูกแล้ว”
“ข้าเพียงแค่เพิ่งสัมผัสเบาๆ!” เฟยอิงแน่ใจว่าไม่ได้ออกแรงใดเลย!
อาอวี่รู้สึกกลัวเล็กน้อยแล้วยื่นมือไปสัมผัสเบาๆ แล้วดึงมือออกด้วยความเจ็บปวดแต่เพียงแค่เลือดไหลไม่ได้หนักหนากว่าอวิ๋นจิ่นเท่าใดเพียงแค่เลือดออกเล็กน้อย
ฉีเฟยอวิ๋นนึกอะไรออก: “เจ้าห้าอาจประสบปัญหาบางอย่างแล้วและจำเป็นต้องป้องกันตัวเอง ของสิ่งนี้ของเขาป้องกันผู้คนไม่ดี เขาไม่เคยเห็นเฟยอิงดังนั้นเฟยอิงจึงได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ข้ากับอ๋องเย่นั้นเจ้าห้าไว้วางใจได้
อวิ๋นจิ่นและอาอวี่ไม่ใช่สายเลือดก็ยังคงมีความแตกต่างกัน”