ตอนที่ 46 ถอนกำลัง! Ink Stone_Fantasy
ทางฝ่ายทะเลสาบมารทมิฬล้อมโจมตีตงป๋อเสวี่ยอิง ดูเหมือนจะครองความได้เปรียบ แต่อันที่จริงในใจกลับขมขื่นนัก
“ประมุขมาร เขาจ้องมองข้าโจมตีมาตลอด วิถีหอกนั่นพิสดารเกินไปแล้ว ร่างกายข้าเสียหายไปมากกว่าห้าส่วนแล้ว” ชายหนุ่มท่าทางเย็นชาคนหนึ่งถ่ายเสียงพูดอย่างร้อนรน
“ฟิ้ว”
หอกยาวในมือตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกม้วน ราวกับมังกรตัวหนึ่ง อากาศรอบด้านบิดเบี้ยว หอกยาวราวกับมังกรเทวะที่เห็นหัวแต่มองไม่เห็นหาง บางครั้งหัวหอกก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศตรงหน้ามารร้ายขั้นอลวน
หอกหนึ่งแทงออกไป
แม้เหนือผิวกายจะมีค่ายกลรบป้องกันอยู่ แต่ที่แผ่นอกของชายหนุ่มท่าทางเย็นชากลับมีจุดหนึ่งที่เกิดจากบันไดน้ำวนรวมตัวกันอย่างน่าประหลาดปรากฏขึ้น ‘น้ำวนอากาศ’ ที่หมุนวนอยู่นี้ อันที่จริงแล้วคือเศษเสี้ยวของอากาศจำนวนนับไม่ถ้วนที่กำลังหมุนวนอยู่แล้วแทรกเข้าไปในร่างของชายหนุ่มท่าทางเย็นชา พร้อมทั้งพลิกหมุนและเชือดเฉือนร่างกายของเขา ต่อให้ร่างกายของเขาฟื้นฟูตนเองอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังคงสูญเสียพลังชีวิตไปบางส่วน
“เป็นวิถีหอกที่พิสดารนัก” ประมุขมารเมฆาขาวก็ร้อนรน “ก่อนหน้านี้พวกเซวี่ยฝูทั้งสี่คนรวมตัวกันเป็นค่ายกลรบก็ถูกวิถีหอกอันพิสดารเช่นนี้แทงทะลุค่ายกลรบแล้วสังหารขั้นอลวนที่อ่อนแอทั้งสามคนได้อย่างง่ายดาย คิดไม่ถึงว่าบัดนี้ขั้นอลวนชั้นที่เก้าทั้งสี่คน อานุภาพของค่ายกลรบตะยกระดับขึ้นเป็นอันมาก อานุภาพของวิถีหอกนี้ของเขายังคงสามารถแทรกซึมเข้าไปได้อย่างพอถูไถ ทั้งยังทำให้ ‘ยินฟู’ ได้รับบาดเจ็บอีกด้วย”
“ไป”
เงาร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงราวปีศาจ หอกยาวพลิกม้วน โจมตีออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า
ด้วยวิธีการทำให้อากาศบิดเบี้ยวของเขา คิดจะจากไปก็ทำได้ง่ายดายนัก ไยจึงต้องทุ่มเทโจมตีกลับต่อไปจนถูกล้อมโจมตีด้วยเล่าต้องบีบให้มารร้ายเหล่านี้ถอยไปอย่างแท้จริง มิเช่นนั้นหากตนหนีจากไปแล้ว บรรดามารร้ายก็จะสามารถเข่นฆ่าและบูชาโลหิตตามอำเภอใจต่อไปได้แล้ว
“มารเฒ่ายินฟูเป็นผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอที่สุดในบรรดาขั้นอลวนชั้นที่เก้าทั้งสี่คน! จากกระบวนท่า ‘ทะลุอากาศ’ ที่หอกเทพเมฆาแดงรับรู้นี้ แม้จะมีค่ายกลรบขัดขวาง แต่ก็แค่ทำให้อานุภาพอ่อนกำลังลงเพียงสามส่วนเท่านั้น อานุภาพที่เหลืออีกเจ็ดส่วนก็ทำให้มารเฒ่ายินฟูได้รับบาดเจ็บอย่างต่อเนื่อง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “เขาต้านทานเอาไว้ไม่ได้นานสักเท่าใดหรอก”
น่าเสียดาย
ตามกระบวนท่าทั้งห้าที่รับรู้จากหอกเทพเมฆาแดงนั้น นอกจาก ‘บริเวณเมฆาแดง’ จะสามารถสำแดงพลังรบระดับขั้นอลวนชั้นที่สิบออกมาได้แล้ว กระบวนท่าอื่นๆ ก็ล้วนแต่เป็นชั้นที่เก้าระดับยอด
หากอานุภาพของกระบวนท่า ‘ทะลุอากาศ’ นี้ บรรลุถึงชั้นที่สิบด้วยแล้วล่ะก็ เกรงว่าเพียงหนึ่งหอก มารเฒ่ายินฟูผู้นั้นก็ต้องบาดเจ็บสาหัส สามหอกก็เพียงพอที่จะทำลายชีวิตของเขาได้แล้ว! เกรงว่าบรรดามารเฒ่าเหล่านี้คงจะหนีไปในเวลาไม่นานนัก
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่สนใจว่าศัตรูยากจะโรมรันด้วยอีกต่อไป แต่กลับมองว่านี่คือโอกาสอันหาได้ยาก เพราะถึงอย่างไรการสู้สุดชีวิตท่ามกลางความเป็นความตายเช่นนี้ก็หาได้ยากมาก จึงมีประโยชน์ต่อการเคี่ยวกรำวิถีหอกเป็นอย่างมาก
ระหว่างที่ห้ำหั่นอยู่นั้น เขาจึงสามารถรับรู้ความเร้นลับต่างๆ ของวิถีหอกได้ชัดแจ้งมากขึ้น
“ร่างกายข้าได้รับบาดเจ็บเกินเจ็ดส่วนแล้ว” มารเฒ่ายินฟูถ่ายเสียงพูดด้วยความร้อนรน
“ฆ่าเขามิได้”
“บริเวณของเขารับมือยากเกินไปแล้ว วิถีหอกก็ร้ายกาจเกินไป”
มารเฒ่าคนอื่นๆ ก็ร้อนใจขึ้นมา
พวกเขาก็พยายามทุกวิถีทาง ใช้วิธีต่างๆ ร่วมมือกับประมุขมารเมฆาขาว คิดจะพยายามจัดการอิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้ให้ได้โดยเร็วที่สุดก่อนที่มารเฒ่ายินฟูจะต้านทานเอาไว้ไม่ไหว
“หรือจะพ่ายแพ้แล้ว” ประมุขมารเมฆาขาวมองชายหนุ่มอาภรณ์ขาวที่เค้าร่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร้ที่สิ้นสุดตรงหน้าผู้นี้ก็พอจะเข้าใจรางๆ ว่า ต่อให้มีค่ายกลรบช่วยล้อมโจมตีก็เอาชนะมิได้ แค่เขาเพียงคนเดียวก็ยิ่งเอาชนะมิได้เข้าไปใหญ่
อันที่จริงโดยทั่วไปหากพลังบรรลุถึงขั้นอลวนชั้นที่สิบระดับยอด ข้าก็ทำอะไรเจ้ามิได้ เจ้าก็ทำอะไรข้ามิได้เช่นเดียวกัน
ยามนี้ก็ต้องประชันศาสตร์ลับแล้ว
ยิ่งเป็นศาสตร์ลับที่ร้ายกาจมากเท่าไหร่…วิธีการก็ยิ่งยอดเยี่ยมมากขึ้นเท่านั้น
“เดิมทีเห็นว่าอิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้บำเพ็ญเป็นระยะเวลาสั้นนัก ทั้งยังรังแกเพราะพลังของเขายังไม่สมบูรณ์แบบ คิดไม่ถึงว่ายังคงล้มเหลวอยู่ดี” ประมุขมารเมฆาขาวลอบทอดถอนใจ ‘บริเวณเมฆาแดง’ หนึ่งในกระบวนท่าของขั้นอลวนชั้นที่สิบก็ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ในตำแหน่งที่ไม่พ่ายแพ้แล้ว การที่นายท่านฉื้ออวิ๋นมีชื่อเสียงเรื่อง ‘ไม่เกรงกลัวการต่อสู้เป็นกลุ่มและบริเวณอากาศอันเยี่ยมยอด’ แน่นอนว่าย่อมมีเหตุผล
แน่นอนว่าวิชาที่ทำลายเคล็ดลับของ ‘บริเวณเมฆาแดง’ ก็มีเช่นเดียวกัน แต่กลับมิใช่สิ่งที่ประมุขมารเมฆาขาวมีคุณสมบัติพอจะศึกษาได้
“ข้าต้านทานเอาไว้ไม่ได้แล้ว ทนไม่ไหวแล้ว” มารเฒ่ายินฟูถ่ายเสียงพูดอย่างร้อนรน
“เอาเถอะ”
มารร้ายอีกสามตนก็มิได้คัดค้าน
ประมุขมารเมฆาขาวก้าวขึ้นไปข้างหน้าแล้วโบกมือคราหนึ่ง มือเมฆหมอกขนาดมหึมาปกคลุมพวกเขาทั้งสี่เอาไว้ พวกเขาทั้งสี่ก็มิได้ต่อต้าน จึงถูกเก็บลงไปในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ทันที
“เจ้าลัทธิ ทำอย่างไรดี”
ประมุขมารเมฆาขาวติดต่อ ‘เจ้าลัทธิมารโลหิต’ เจ้าลัทธิอันดับสามแห่งทะเลสาบมารทมิฬทันที
ทะเลสาบมารทมิฬแบ่งออกเป็นสามสำนักใหญ่ เจ้าลัทธิทั้งสาม แต่ละคนล้วนเป็นมารร้ายตัวฉกาจอันน่าหวาดหวั่นซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วดินแดนจิตโลกา หกรัฐโบราณก็ยากที่จะกำจัดได้ ประมุขมารเมฆาขาวก็อยู่ในสำนักของ ‘เจ้าลัทธิมารโลหิต’
“อิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้ควบคุมอากาศได้ร้ายกาจอย่างยิ่ง เขาสามารถพัวพันร่างจริงของข้าได้! ข้าส่งร่างแปรลงไปกวาดล้างทั่วทิศ…แต่เขาก็สามารถส่งร่างแปรลงไปทั่วทิศแล้วเก็บชาวบ้านจำนวนนับไม่ถ้วนลงไปในคูหาสวรรค์สมบัติล้ำค่าอย่างรวดเร็วได้เช่นเดียวกัน นอกจากนี้โหวหั่วเลี่ยผู้นั้นและคนอื่นๆ ก็ต้องถูกปล่อยออกมาให้ช่วยกันเก็บชาวบ้านจำนวนนับไม่ถ้วนลงไปด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ เกรงว่ากองกำลังขั้นรวมเป็นหนึ่งที่ข้านำมาเหล่านั้นคงจะต้องถูกสังหารไปกว่าครึ่ง”
“หากถอนกำลัง อิงซานเสวี่ยอิงผู้นั้นก็คงจะรู้จักการรุกและถอย คงไม่บีบบังคับข้าและคนอื่นๆ หรอกกระมัง”
ประมุขมารเมฆาขาวถามเจ้าลัทธิ
เนื่องจากยามนี้มิอาจควบคุมขวดมารบูชาโลหิตได้ ต่อให้กวาดล้างไป ก็เพียงเพื่อ ‘ระบายความโกรธ’ เท่านั้น แต่เนื่องจากอิงซานเสวี่ยอิงควบคุมอากาศได้ร้ายกาจยิ่งกว่า เขาจึงเกรงว่าคงทำได้เพียงกวาดล้างชาวบ้านในตัวเมืองได้เพียงส่วนน้อยนิดเท่านั้น
“ถอนกำลัง” เจ้าลัทธิมารโลหิตให้คำตอบ
“ขอรับ”
ประมุขมารเมฆาขาวรับบัญชาทันที
“ถอนกำลัง!”
เขาออกคำสั่ง ถ่ายเสียงให้ผู้ใต้ยังคับบัญชาทั้งปวง
“ขอรับ”
กองกำลังมารร้ายขั้นรวมเป็นหนึ่งทั้งหลายที่กระจายตัวกันอยู่แต่ละส่วนของเมืองอัคคีโชติเริ่มเคลื่อนที่ในพริบตาล่าถอยไปทันที กองกำลังมารร้ายขั้นรวมเป็นหนึ่งเหล่านี้เคลื่อนที่ในพริบตาเป็นระยะทางค่อนข้างสั้น การถอนกำลังย่อมช้ากว่าบ้างเป็นธรรมดา
เมื่อประมุขมารเมฆาขาวหยุดมือลง
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็หยุดมือลงเช่นกัน เขายืนกุมหอกยาวอยู่เหนือกองซากปรักหักพังอันยุ่งเหยิง
“อิงซานเสวี่ยอิง คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าการบูชาโลหิตที่ข้าเป็นผู้ดำเนินการในครั้งนี้จะล้มเหลวด้วยน้ำมือเจ้า” ประมุขมารเมฆาขาวยิ้ม “มียอดฝีมือขั้นอลวนชั้นที่สิบคนหนึ่งสอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยว การบูชาโลหิตจะล้มเหลวก็สมควรแล้ว”
ในประวัติศาสตร์ ทะเลสาบมารทมิฬกวาดล้างตัวเมืองต่างๆ เพื่อบูชาโลหิตครั้งแล้วครั้งเล่า
เมื่อจำนวนครั้งเพิ่มมากขึ้น บางครั้งก็พบความยุ่งยากอยู่บ้าง เช่นยอดฝีมือขั้นอลวนชั้นที่สิบบางคนพำนักอยู่ในเมืองนั้นชั่วคราวพอดี หรือเทพจักรวาลของหกรัฐโบราณบางคนผ่านมาพอดี เพื่อรักษาหน้าตนเองจึงไม่ยอมก้มหัว ย่อมต้องสอดมือเข้ายุ่งเกี่ยวเป็นธรรมดา
ดังนั้นบางครั้งการบูชาโลหิตก็ล้มเหลว
“เจ้าเป็นคนของสี่รัฐมารทมิฬ ข้าเป็นคนของทะเลสาบมารทมิฬ ในภายหน้าต้องมีโอกาสประมือกันอีก” ประมุขมารเมฆาขาวพูดยิ้มๆ
ฟิ้ว
ร่างกายของเขาพลันอันตรธานไป
จากนั้นเมฆหมอกจำนวนนับไม่ถ้วนบนกำแพงเมืองอัคคีโชติก็พลันรวมตัวกัน เงาร่างของประมุขมารเมฆาขาวปรากฏขึ้นอีกครา กองกำลังมารร้ายขั้นรวมเป็นหนึ่งทั้งหลายก็ไปรวมตัวกันที่นั่นอย่างรวดเร็ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูอยู่ห่างๆ ส่วนที่สำคัญที่สุดที่ยังหลงเหลืออยู่ของตำหนักทิพย์เมฆทักษิณาด้านข้างก็คือโถงตำหนักนั้นเปิดออก ฉุนอวี้เว่ยอีและคนอื่นๆ เดินออกมาจากในนั้น พวกเขาก็ทอดสายตามองออกไปไกล ความกลัวยังคงหลงเหลืออยู่
“ยังดีที่มิได้คลุ้มคลั่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ
หากอีกฝ่ายกวาดล้างเพื่อระบายอารมณ์โกรธแล้วล่ะก็ เกรงว่าชาวเมืองอัคคีโชติคงต้องตายไปกว่าครึ่ง แม้ตนจะสามารถสังหารกองกำลังมารร้ายขั้นรวมเป็นหนึ่งไปได้หลายคนเช่นเดียวกัน แต่เห็นได้ชัดว่าตงป๋อเสวี่ยอิงมิชอบผลเช่นนี้สักเท่าใดนัก
……
ภายในพระราชวังอันโอ่โถงแห่งหนึ่งของทะเลสาบมารทมิฬ
เจ้าลัทธิทั้งสามนั่งอยู่บนตำแหน่งอันสูงส่ง
“ฮ่าฮ่า น้องสาม การบูชาโลหิตที่เจ้ารับผิดชอบล้มเหลวเสียแล้ว” บุรุษชุดดำวัยกลางคนพูดพลางหัวเราะเสียงเบา ด้วยสถานะของพวกเขาแล้ว ก็ดูเหมือนจะไม่สนใจการได้เสียเล็กๆ น้อยๆ สักเท่าใดนัก เพราะมียอดฝีมือขั้นอลวนชั้นที่สิบคนหนึ่งสอดมือยุ่งเกี่ยวจนนำไปสู่ความล้มเหลว ก็ไม่นับว่าเสียหน้าสักเท่าใดนัก
“น้องสามอารมณ์เย็นนัก มิได้ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาลงมือกวาดล้างเลยหรือนี่” ชายชราที่ยิ้มจนตาหยีทางด้านซ้ายก็พูดยิ้มๆ
“พี่ใหญ่ พี่รอง”
บุรุษอาภรณ์เขียวที่ซีดเซียวเหมือนคนป่วยก็พูดพลางยิ้มเจื่อนๆ ว่า “ในเมื่อล้มเหลวแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องทำการกวาดล้างนั่นอีก”
“น้องสามช่างเมตตา” บุรุษชุดดำวัยกลางคนพูดประโยคหนึ่ง เขาเข้าใจดีว่าความเมตตาของน้องสามของตนนั้นมิได้พุ่งเป้าไปที่ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนเหล่านั้น หากแต่เป็นกองกำลังมารร้ายขั้นรวมเป็นหนึ่งทั้งหลายต่างหาก
แม้พวกเขาเจ้าลัทธิทั้งสามจะชอบให้ท้าย เพราะต้องให้ท้ายจึงจะทำให้เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชายินดีติดตาม
แต่ระดับการให้ท้ายก็แตกต่างกันออกไป ในบรรดาเจ้าลัทธิทั้งสาม ‘เจ้าลัทธิมารโลหิต’ นั้นชอบให้ท้ายที่สุด
“อิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้มีบริเวณที่ร้ายกาจมากอย่างนั้นหรือ”
“ิวิถีหอกก็ร้ายกาจ จนสามารถทำลายค่ายกลรบได้อย่างนั้นหรือ”
ภายในโถงตำหนักแห่งนี้ เทพจักรวาลและบรรดาประมุขมารคนอื่นๆ พากันวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา
……
ภายในวังหลวงแห่งรัฐเมฆทักษิณา
ประมุขรัฐเมฆทักษิณามองดูความเป็นไปของการต่อสู้ มองดูมารร้ายทางฝ่ายประมุขรัฐเมฆาขาวพากันล่าถอยไป ใบหน้าก็ฉายรอยยิ้มออกมา “ฮ่าฮ่าฮ่า ชาวบ้านจำนวนนับไม่ถ้วนของเมืองอัคคีโชติแห่งนี้ ต้องขอบคุณอิงซานเสวี่ยอิงแล้ว เขาช่วยเหลือเมืองแห่งนี้เอาไว้ และรักษาหน้าของรัฐเมฆทักษิณาเราเอาไว้ได้”
………………………………………….