บทที่ 2502 ใครหลอกใคร / บทที่ 2503 ใครหลอกใคร 3

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 2502 ใครหลอกใคร

ถึงแม้เขาจะไม่ใช่รัชทายาท แต่สองคนนี้ก็ปฏิบัติต่อเขาไม่ต่างไปจากรัชทายาทเลย ให้ความสำคัญอย่างยิ่ง

ปีนั้นอวิ๋นเยียนหลีฝ่าด่านเคราะห์บาดเจ็บสาหัส เป็นเสด็จพ่อ เสด็จแม่ของเขาที่คอยเฝ้าอยู่หน้าเตียงเขาสิบวันสิบคืน ทันทีที่เขาฟื้นขึ้นมา ได้มองเห็นน้ำตาแห่งความปลาบปลื้มของเสด็จพ่อ เสด็จแม่อย่างชัดเจน…

นับแต่นั้นมาเขาได้ตัดสินใจแล้วว่า ต่อให้ไม่ได้เป็นรัชทายาท ก็จะปกป้องคุ้มครองดินแดนเบื้องบนแทนเสด็จพ่อให้ดี พิทักษ์แผ่นดินด้วยโลหิตอันเร่าร้อน

เขาทุ่มเทฝึกฝนบำเพ็ญ พยายามแข็งแกร่งขึ้น ร่ำเรียนพิชัยยุทธ์ศาสตร์สงคราม ในที่สุดก็ได้กลายเป็นจอมพลทหารม้าแห่งดินแดนเบื้องบน บัญชาการแม่ทัพนายทหารสวรรค์หนึ่งแสนนาย

กลายเป็นบุตรชายที่น่าภาคภูมิใจที่สุดของเสด็จพ่อของเขา เป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุด

สิ่งที่เขาคิดไม่ถึงก็คือ ยามที่ยกทัพออกรบกับภพมารจะโดนลอบทำร้ายเข้า ร่วงหล่นลงสู่แดนอสุราที่มืดมิดไร้แสงตะวันแห่งนี้…ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะออกจากที่นี่ได้ กลับสู่ดินแดนเบื้องบน ทว่าท้องฟ้ากลับแปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว…

แผ่นดินผลัดผู้ถือครอง เสด็จพ่อ เสด็จแม่ของเขาหายสาบสูญ…

หลายปีมานี้เขาคิดหาวิธีตามหาที่อยู่ของสองคนนี้มาโดยตลอด เขาไม่เชื่อว่าเขาจะประสบเคราะห์กรรมไปแล้ว เพียงแต่ไม่ว่าจะตามหาอย่างไรก็หาไม่พบเลย

เขาตามหาจนแทบจะกลายเป็นความหมกหมุ่นไปแล้ว ไม่นึกเลยว่ายามนี้จะได้พบพวกเขาที่นี่!

ขณะนี้ในใจเขาดุจมีระลอกคลื่นซัดโหม คุกเข่าลงเบื้องพวกเขา น้ำตาอุ่นร้อนหยาดหยดแล้ว!

หากมิใช่ว่าเขาสำรวมตนอยู่เสมอมา เขาก็เกือบจะโผเข้ากอดพวกเขาแล้ว…

จักพรรดิเซียนยื่นแขนมาพยุงเขา

“หลีเอ๋อร์ ลุกขึ้นเถิด”

อวิ๋นเยียนหลีราวกับตกอยู่ในภวังค์ฝัน ขณะที่กำลังจะลุกขึ้น พลันรู้สึกได้ว่าแขนของจักรพรรดิเซียนที่พยุงเขาเย็นเฉียบแข็งทื่อ ความหนักอึ้งกดทับลงบนท่อนแขนเขา เสมือนภูเขาลูกหนึ่งกดทับลงมา!

เขารู้สึกเหมือนถูกผีอำ ในใจพลันกระจ่างแจ้งขึ้นมา ลุกขึ้นทันที สะบัดแขนซัดออกไปอย่างรุนแรง!

เกิดเสียงดังตูม จักรพรรดิเซียนถูกเขาซัดกระเด็นออกไป เกิดเสียงดังตึงไม่ทราบว่ากระแทกถูกสิ่งใดเข้า เกิดเสียงดัง เสียงดังโครมครามสลายเป็นเศษซากธุลี

อวิ๋นเยียนหลีตะลึงอยู่แวบหนึ่ง ท้องพระโรงเรืองรองผ่องอำไพสลายหายไปในพริบตา เสด็จพ่อ เสด็จแม่ของเขาย่อมเลือนหายไปด้วย เขายังคงยืนอยู่ในค่ายกล มีศิลาก้อนหนึ่งแหลกเป็นผุยผงอยู่ไม่ไกล…

เป็นภาพลวงตาจริงๆ ด้วย!

สีหน้าอวิ๋นเยียนหลีเขียวคล้ำแล้ว สายตามองตรงเข้าไปในค่ายกล นัยน์ตาฉายแววโกรธขึ้ง ซ้ำยังแฝงความโศกศัลย์เอาไวรางๆ ด้วย

“กู้ซีจิ่ว ข้าถามตนเองแล้วว่าปฏิบัติต่อเจ้าอย่างดี ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าจะปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้”

ใช้ค่ายกลเผยความเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของจิตใจเขาออกมา…

นางจะต่อสู้กับเขาก็ไม่ว่า แต่เหตุใดต้องใช้วิธีการน่ารังเกียจเช่นนี้ด้วย?

กู้ซีจิ่วเงียบงัน

ส่วนที่ร้ายกาจที่สุดของค่ายกลนี้คือ ค้นหาความหมกหมุ่นที่แรงกล้าที่สุด ในส่วนลึกของจิตใจมนุษย์ออกมา ผนวกกับมนต์ล่อลวง ทำให้คนถลำลึกอยู่ในค่ายกล ยิ่งหมกหมุ่นลึกล้ำเท่าใด ก็อยากจะหลุดออกมาได้เท่านั้น

ถึงแม้กู้ซีจิ่วกับคุนเสวี่ยอี๋จะมองไม่เห็นว่า ภาพลวงตาของเขาคือสิ่งใด แต่ก็มองปฏิกิริยาท่าทางของเขาออก…

กู้ซีจิ่วนึกมาโดยตลอดว่า ความหมกหมุ่นที่ลึกล้ำที่สุดของอวิ๋นเยียนหลี คือพลังอำนาจ นึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นพระบิดา พระมารดาของเขา ในใจหนึบชาอยู่รางๆ รู้สึกผิดอยู่เล็กน้อย

ถึงแม้เธอจะเคยเป็นมนุษย์โคลนนิ่งมาก่อน แต่เธอก็เคยได้ลิ้มรสชาติความรักจากบุพการีอยู่สามสี่ปี อบอุ่นและอ่อนโยนมากจริงๆ…

เธอมองคุนเสวี่ยอี๋แวบหนึ่ง คุนเสวี่ยอี๋นั่งพิงโขดหินก้อนหนึ่งอยู่ เท้าคางมองอวิ๋นเยียนหลีที่อยู่ด้านนอก ราวกับเขามีจิตสัมผัสได้ เอ่ยตอบโดยไม่หันมาเลย

‘ไม่ต้องมองข้าเลย คุนอย่างพวกเราโดดเดี่ยวตั้งแต่กำเนิด ทันทีที่ถือกำเนิดก็ถูกพ่อแม่เตะส่ง ออกมาเผชิญชีวิตตามยถากรรมแล้ว ข้าไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าพ่อแม่ข้าอ้วนหรือผอม ยิ่งไม่รู้ด้วยว่าความรักของบุพการีคือสิ่งใด ดังนั้นไม่เข้าใจเขาหรอก’

จู่ๆ ก็ส่ายหน้าขึ้นมา

‘ข้านึกว่าความหมกหมุ่นของอดีตองค์ชายผู้นี้จะเป็นเจ้าเสียอีก…ไม่นึกเลย…’

กู้ซีจิ่วมองเขาอย่างยิ้มมิเชิงยิ้มแวบหนึ่ง

‘ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าจะคิดว่าความหมกหมุ่นของอวิ๋นเยียนหลีคือข้า…บางทีรอจนได้พบหน้าองค์ราชันของบ้านเจ้าแล้ว ข้าจะขอให้เขาตรวจสอบดูสักหน่อย…’

————————————————————————————-

บทที่ 2503 ใครหลอกใคร 3

คุนเสวี่ยอี๋สะดุ้งโหยง รีบค้อมตัว

‘อย่านะ! แม่นางกู้ ถือเสียว่าผู้น้อยกล่าวผิดไปแล้ว ผู้น้อยขอถอนคำพูดเหลวไหลประโยคนั้น…’

เดิมทีเขานั่งเหมือนไม่มีกระดูก ยามนี้ทั้งร่างกลับเคร่งขึงขึ้นมา เอ่ยถาม

‘แม่นางกู้ ค่ายกลนี้ของท่านจะกักขังเขาไว้ได้นานแค่ไหน?

กู้ซีจิ่วคาดเดา

‘ประมาณหนึ่งวัน’

แววตาคุนเสวี่ยอี๋ทอแสงแวบหนึ่ง

‘เช่นนั้นพวกเราฉวยโอกาสจากไปเลยไหม?’

กู้ซีจิ่วส่ายหน้า

‘ข้าต้องนั่งบัญชาการอยู่ที่นี่ก่อน หากว่าข้าจากไป ค่ายกลนี้จะกักเขาไว้ได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม’

มิเช่นนั้นเธอคงพาคุนเสวี่ยอี๋เผ่นหนีไปนานแล้ว ทำไมต้องรอให้อวิ๋นเยียนหลีไล่มาถึงนี่ด้วยล่ะ?

คุนเสวี่ยอี๋ก็ฉลาดเฉลียวเช่นกัน

‘ท่านจะอาศัยจังหวะนี้ให้สององครักษ์จินหวาส่งองค์ราชันกลับไปหรือ?’

‘อืม ดังนั้นพวกเราคือตัวรั้งท้าย ขอเพียงถ่วงอวิ๋นเยียนหลีไว้ที่นี่ได้หนึ่งวันก็ไม่เลวแล้ว’

‘ตอนนี้พวกองค์ราชันอยู่ที่ไหนกันแล้ว?’

คุนเสวี่ยอี๋ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

กู้ซีจิ่วชะงักไปเล็กน้อยแล้วเอ่ยตอบ

‘น่าจะใกล้ถึงเมืองเฟิ่งผิงแล้ว พวกเราต้องพยายามถ่วงรั้งอวิ๋นเยียนหลีไว้ เจ้าก็รู้นี่ นอกจากอวิ๋นเยียนหลีแล้ว คนอื่นนั้นไม่มีทางสกัดพวกเขาไว้ได้’

‘ได้ เช่นนั้นพวกเราก็ใช้ค่ายกลนี้ถ่วงรั้งเขาไว้เถิด!’

ทั้งสองคนส่งกระแสเสียงพูดคุยกันอย่างลับๆ ภายใต้สถานการณ์ทั่วไป คนนอกไม่มีทางได้ยิน

แต่อวิ๋นเยียนหลีไหนเลยจะใช่คนทั่วไป?

ถึงอย่างไรพลังวิญญาณของเขาก็บำเพ็ญบรรลุขั้นซ่างเสินแล้ว การฟังกระแสเสียงประเภทนี้สำหรับเขาแล้วเป็นเรื่องง่ายดายยิ่ง

เขาหลุบตานิดๆ อยู่ในค่ายกล ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาพลันยิ้มมุมปาก สายตาวนสำรวจภายในค่ายกลรอบหนึ่ง

ขอเพียงเขาไม่เคลื่อนไหว ค่ายกลศิลาก็จะไม่ถูกกระตุ้น และถึงอย่างไรเขาก็เพิ่งย่างเข้ามาในค่ายกลได้กว่าสิบก้าวเท่านั้น การบุกทะลวงเข้าไปอาจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การฝ่าออกไปน่าจะไม่ยากจนเกินไป…

เขาหัวเราะคราหนึ่ง น้ำเสียงอ่อนโยน

“ซีจิ่ว ถึงแม้เจ้าจะผิดต่อข้า แต่ข้าก็ไม่คิดจะสร้างความลำบากให้เจ้าจริงๆ ในเมื่อเจ้าปกป้องคุนตัวนั้น…เช่นนั้นก็แล้วไปเถิด! ข้าจะเห็นแก่เจ้าสักครั้ง ครั้งนี้ปล่อยพวกเจ้าไปก่อนสักครั้ง”

พอเอ่ยประโยคนี้จบ เขาก็หันหลังพุ่งออกไปนอกค่ายกลแล้ว สิ่งที่เขานึกไม่ถึงคือการบุกเข้ามาไม่ง่ายดาย การฝ่าออกไปก็ไม่ง่ายดายเช่นกัน!

ขอเพียงเขาขยับสักก้าว ก็จะตกสู่ห้วงมายาอีกครั้ง เสด็จพ่อ เสด็จแม่ของเขาจะปรากฏตัวขึ้นมาอีก…

โชคดีที่ครั้งนี้เขาเตรียมใจไว้แล้ว ซัด ‘เสด็จพ่อ’ ของเขากระเด็นกลับไปอีกครั้ง…

กู้ซีจิ่วที่อยู่ในค่ายกลคล้ายจะสังเกตเห็นอะไรแล้ว ร้องตะโกนขึ้นมา

“อวิ๋นเยียนหลี พวกเราอยู่นี่ ถ้าเจ้ามีฝีมือก็เข้ามาสิ!”

เรือนกายไหววูบ ไม่น่าเชื่อว่าจะปรากฏขึ้นนอกค่ายกลในชั่วพริบตา ขวางทางอวิ๋นเยียนหลีไว้

ในที่สุดสายตาของอวิ๋นเยียนหลีก็ร่อนลงที่ใบหน้านางแล้ว แววตาบอกไม่ถูกว่าโศกหมองหรือเศร้าสร้อย ยิ้มแวบหนึ่ง

“ดีมาก! กู้ซีจิ่ว เช่นนั้นเจ้าก็ตามข้ากลับไปซะเถอะ!”

ถีบกายหมายจะเข้ามาคว้าเธอ!

กู้ซีจิ่วไม่อยากทำศึก พลันหมุนคว้าง ถอยหลังเข้าไปในค่ายกล…

อวิ๋นเยียนหลีถูกบีบต้อนอย่างหนัก สุดท้ายก็ลงมือรุนแรงกับนางไม่ได้

ถึงแม้พลังวิญญาณของนางจะสู้เขาไม่ได้ แต่แผนการชั้นเชิงในการต่อสู้มีมากมายนัก ลื่นดุจปลาไหล หากว่าอวิ๋นเยียนหลีไม่ลงมืออย่างรุนแรง ไม่มีทางจับตัวนางได้…

ระหว่างที่ต่อสู้อยู่ กู้ซีจิ่วก้าวสะดุดคราหนึ่ง เกิดเสียงดังกลุกๆ หมุนกลับเข้าสู่ค่ายกลอีกครั้ง…

อวิ๋นเยียนหลีหยักมุมปากนิดๆ นางใช้กลยุทธ์แสดงความอ่อนแอออกมาอย่างไม่นึกเสียดายเลย หลอกล่อให้เขาเข้าสู่ใจกลางค่ายกลอีกครั้ง…เห็นทีว่านางจะสัมผัสถึงเจตนาของเขาได้แล้ว!

แรกเริ่มอวิ๋นเยียนหลีไม่ค่อยเชื่อถือบทสนทนาของสองคนนี้เท่าไหร่ คลางแคลงว่าพวกเขาจะจงใจพูดให้ตนได้ยิน

ยามนี้พอได้เห็นท่าทีเช่นนี้ของกู้ซีจิ่ว ถึงแม้ในใจเขาจะราวกับได้ลิ้มรสองุ่นเปรี้ยว แต่เขาก็ไม่คลางแคลงอีกต่อไปแล้ว!

เขาจงใจโผเข้าใส่ใจกลางค่ายกล แต่ยามที่ไปถึงชายขอบของค่ายกลก็ชะงักฝีเท้าทันที