ตอนที่ 1192 ผู้ไล่ตามลม (1) โดย Ink Stone_Fantasy
เราสามารถมองตัวกำเนิดนิวตรอนเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาการแตกตัวได้ เมื่อมีมันคอยจ่ายนิวตรอน ถึงแม้จะเป็นยูเรเนียม 235 ที่มีมวลน้อยกว่ามวลวิกฤตก็สามารถแตกตัวต่อไปได้
ตามหลักแล้ว โพโลเนียมกับเรเดียมที่แยกออกมาจากแร่ยูเรเนียมล้วนแต่สามารถรวมตัวกับเบริลเลียมและกลายเป็นแหล่งกำเนิดนิวตรอนได้ ในจุดนี้ไม่ได้ปัญหาในเรื่องของเทคโนโลยีอะไร เขาก็แค่ใช้คุณสมบัติพิเศษของเบริลเลียมที่จะปล่อยนิวตรอนออกมาเป็นจำนวนมากหลังจากที่ถูกยิงอนุภาคแอลฟาใส่ ที่จริงแล้วขอเพียงเอาพวกมันมาอยู่ด้วยกันก็ถือว่าใช้ได้แล้ว ทั้งสามธาตุนี้ล้วนแต่เป็นธาตุที่มีอยู่ในธรรมชาติ เมื่อเทียบกับธาตุสังเคราะห์ที่ต้องใช้เวลาและกระบวนการที่ซับซ้อนแล้ว มันถือว่ามีความเป็นไปได้ที่มากกว่า
ส่วนที่โรแลนด์เลือกโพโลเนียมแทนที่จะเป็นเรเดียมก็เพราะคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัย ถึงแม้โพโลเนียม 210 จะมีครึ่งชีวิตที่สั้น แต่ส่วนใหญ่มันจะให้รังสีแอลฟาและมีรังสีแกมมาที่ต่ำมาก พูดอีกอย่างก็คือขอเพียงไม่กินมันเข้าไป มันก็แทบจะปลอดภัยเหมือนกับยูเรเนียม แต่เรเดียมนั้นไม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นแก็สเรดอนที่ปล่อยออกมาจากการสลายตัว หรือว่ารังสีแกมม่าที่ปล่อยออกมาจากตัวมันก็ล้วนแต่เป็นอันตรายที่ไม่สามารถมองข้ามได้ เพื่อป้องกันไม่ใช่การทดลองเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน แหล่งกำเนิดนิวตรอนโพโลเนียม – เบริลเลียมจึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด
นอกจากนี้ ธาตุเบริลเลียมยังมีคุณสมบัติเป็นตัวสะท้อนนิวตรอนด้วย ถ้าเอามันไปทำเป็นเปลือกนอกของระเบิดล่ะก็ มันก็จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของนิวตรอนได้ ถ้าเอาทั้งสองอย่างมาใช้ด้วยกัน พวกมันมีปริมาณยูเรเนียม 235 ที่มากพอ เช่นนั้นต่อให้เป็นโครงสร้างปืนแบบที่เรียบง่ายที่สุดก็ยังสามารถแสดงประสิทธิภาพของมันออกมาได้
อีกทั้งเบริลเลียมก็มีอยู่มากในมรกต แร่ที่มีลักษณะเด่นแบบนี้ทำให้อาซีม่าประหยัดแรงในการออกไปค้นพา แค่เขากระจายข่าวผ่านทางพ่อค้าไป แล้วรับซื้อจากมรกตจากสี่อาณาจักรใหญ่มาก็พอ
โรแลนด์รู้ดีว่าเทคโนโลยีของเมืองเนเวอร์วินเทอร์อยู่ในระดับไหน หลักการทำงานของอาวุธนิวเคลียร์นั้นฟังดูแล้วง่าย แต่การจะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของมันทุกๆ 10% ล้วนแต่จำเป็นต้องใช้การคำนวณทางทฤษฎีและการทดลองในปริมาณที่มหาศาลมาก ถ้าสามารถปล่อยพลังงานออกมาได้ถึงระดับที่มีประสิทธิภาพสูง มันก็ไม่สามารถลดขนาดอาวุธให้เล็กลงได้ แล้วก็จะทำให้อาวุธกับยูเรเนียมที่เก็บสะสมมาได้อย่างยากลำบากต้องเสียไปเปล่าๆ หากไม่มีลูเซีย เกรงว่าแค่ปัญหาการสูญเสียแร่ไประหว่างที่ทำการสกัดก็เป็นเหมือนยอดเขาที่ไม่มีทางก้าวข้ามไปได้แล้ว
แต่ในทางเดียวกัน เมื่อไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงเรื่องการสูญเสีย อาวุธนิวเคลียร์แบบมือถือก็ไม่ใช่แค่ความฝันอีกต่อไป ประตูแห่งเทคโนโลยีนั้นมีร้อยแปดพันเก้า แต่หลักการของมันกลับมีแค่หนึ่งเดียว ต่อให้มียูเรเนียมแค่ 1% ที่แตกตัว แต่อานุภาพของมันก็ยังรุนแรงพอที่จะพลิกสถานการณ์ได้
เมื่ออยู่ต่อหน้าสงครามที่ตัดสินชะตาชีวิตของมนุษย์ เขาจำเป็นต้องพยายามเต็มที่
ยิ่งไปกว่านั้นการขโมยไฟศักดิ์สิทธิ์ในยุคสมัยที่ป่าเถื่อนล้าหลัง และทำให้มนุษย์ได้เข้าใกล้พระอาทิตย์มากขึ้นแบบนี้มันก็เป็นความโรแมนติกอย่างหนึ่งเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?
ขอเพียงมีความเป็นไปได้ เขาก็พร้อมที่จะลองดู
“ดีมาก ทำแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ” โรแลนด์ตบหัวลูเซียเบาๆ “เอาไว้ตู้ตะกั่วทั้งหมดเต็มเมื่อไร เราก็เริ่มการทดลองอย่างเป็นทางการได้”
“เพคะ ฝ่าบาท!” ลูเซียตอบอย่างกระตือรือร้น
……
ขณะเดียวกัน เมืองเนเวอร์วินเทอร์ โรงเรียนอัศวินอากาศ
ในพื้นที่อันกว้างใหญ่ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของศูนย์วิจัยแห่งใหม่นี้อยู่ในความเงียบสงบ วันนี้คือวันหยุดพักผ่อนของนักเรียน หลายคนออกไปจากโรงเรียนเพื่อกลับไปอยู่กับครอบครัวแต่เช้าแล้ว แต่กู๊ดกลับเป็นข้อยกเว้น
“บินตามลม ดึงคันบังคับลง!”
“บินขวางลม หมุน!”
เขานั่งอยู่บนแท่นจำลองการบิน ด้านหนึ่งก็กำหนดทิศทางลมด้วยตัวเอง อีกด้านหนึ่งก็ทำการตอบสนองออกมาตามสิ่งที่เขียนเอาไว้ใน ‘คู่มือการบิน’ คันบังคับไม้ส่งเสียงครืดๆ ออกมาเหมือนกับกังหันไม้เก่าๆ ที่ไม่ได้รับการซ่อมแซม อุณหภูมิภายในห้องฝึกซ้อมค่อนข้างร้อนอบอ้าว หลังฝึกอยู่เป็นเวลานาน ด้านหลังเขาก็เปียกเหงื่อจนชุ่มไปหมด ใต้คางของเขามีเม็ดเหงื่อหยดลงมาตลอดเวลา
กระทั่งมือเขาเปียกจนเลื่อนแล้ว กู๊ดจึงหยุดการเคลื่อนไหว ก่อนจะนั่งพิงไปบนเก้าอี้พร้อมถอนหายใจออกมา
หลังผ่านการเรียนรู้มาครึ่งปี เขาก็ไม่ใช่มือใหม่ที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยคนนั้นอีก เขาไม่เพียงแต่จะท่องจำ ‘คู่มือการบิน’ ที่องค์หญิงเขียนขึ้นมาจนขึ้นใจ การควบคุมส่วนใหญ่ก็เรียกได้ว่าฝังอยู่ในหัวสมองทั้งหมด จากตอนที่ขึ้นมาอยู่บนแท่นจำลองครั้งแรกด้วยความเก้ๆ กังๆ จนตอนนี้ต่อให้หลับตาเขาก็ยังทำการควบคุมตามคำสั่งได้ ถ้าเขาออกคำสั่งให้ตัวเอง ขอเพียงแค่คิดอยู่ในหัว ร่างกายเขาก็จะตอบสนองออกมาทันทีโดยไม่ต้องพูดอะไรเลย
แต่การทำแบบนี้จะทำให้ตัวเองบินได้จริงๆ เหรอ?
ไม่ว่าจะจินตนาการอย่างไร เขาก็ไม่สามารถนึกภาพตัวเองบินขึ้นไปบนฟ้าได้เลย ‘จับขนาดและทิศทางของลม รับรู้ถึงการสั่นสะเทือนและท่าทางของเครื่องบิน จากนั้นก็ทำการควบคุมเพื่อสอดประสานกับมัน’ — นี่คือสิ่งที่เขียนเอาไว้บนคู่มือ แต่เขาไม่รู้เลยว่ามันเป็นความรู้สึกแบบไหน ไม่ว่าจะเป็นการดึงคันบังคับครึ่งหนึ่งหรือดึงลงมาจนสุด เครื่องจำลองการบินก็ไม่เคยทำให้เขารู้สึกอะไร ส่วน ‘หน้าปัด’ ที่ใช้หมุกวาดขึ้นมาก็ยิ่งคล้ายกับว่ากำลังหัวเราะเยาะความพยายามของเขาอยู่อย่างไรอย่างนั้น
ยิ่งฝึกจนชำนาญ กู๊ดกลับยิ่งรู้สึกทรมาน
ในขณะที่เขากำลังหงุดหงิดอยู่นั้น จู่ๆ ประตูห้องฝึกซ้อมพลันมีเสียงเปิดดังขึ้นมา
“เจ้าอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย…”
“เป็นไง ข้าเดาไม่ผิดใช่ไหมล่ะ?”
กู๊ดหันหน้ากลับมา ก่อนจะมองดูสองคนที่เดินเข้ามาในห้องอย่างแปลกใจ พวกเขาคือฟินกิ้นกับฮายส์ที่อยู่ในทีมเดียวกัน
“ทำไมพวกเจ้า…”
“ไม่ใช้วันหยุดออกไปหาความสุขใช่ไหม?” ฟินกิ้นผิวปากขึ้นมา “เพราะว่าความสุขมันอยู่ในโรงเรียนไงล่ะ”
“ว่าแต่เจ้านั่นแหละ ไม่มีครอบครัวก็ว่าไปอย่าง แต่ว่าเจ้ามีน้องสาวที่น่ารักอยู่อีกคนไม่ใช่เหรอ?” ฮายส์เดินเข้ามาล็อกคอของเขาไว้ “นางยังให้ข้ามาบอกเจ้าว่าอย่าเหนื่อยเกินไปนะ จุ๊ๆ…ดีจริงๆ เลย”
กู๊ดหน้าเปลี่ยนสีทันที “เดี๋ยวๆ พวกเจ้าไปบ้านข้ามาเหรอ?”
“ไม่งั้นพวกข้าจะไปหาเจ้าที่ไหนล่ะ” ฟินกิ้นเลิกคิ้วขึ้นมา “นางชื่อเรเชลใช่ไหม แนะนำให้พวกข้าหน่อยสิ”
“อย่าแม้แต่จะคิดเชียว” กู๊ดถลึงตาใส่
“เจ้ากลัวพวกข้าไม่ดีพอเหรอ” ฟินกิ้นพูดอย่างไม่ยอมแพ้ “อย่างน้อยข้าก็มีบ้านอยู่ในเขตแม่น้ำแดงนะ!”
กู๊ดนิ่งเงียบไปครู่ สุดท้ายจึงส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจแล้วพูดว่า “มันไม่เกี่ยวกับพวกเจ้า ยิ่งไปกว่านั้นน้องสาวของข้า…เรเชลนางมีปัญหา พวกเจ้าไม่อยากจะอยู่กับนางหรอก”
“อะไร? ข้าคิดว่านางดีมากเลยนะ” ฮายส์ถามอย่างไม่เข้าใจ
“ลองมาว่าสิ?” ฟินกิ้นเองก็ทำหน้าสงสัยเหมือนกัน
“อย่าถามเรื่องนี้เลย” กู๊ดพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “พูดเรื่องอื่นเถอะ — ความสุขที่เจ้าพูดถึงก่อนหน้านี้มันหมายความว่าไงกันแน่?”
ฟินกิ้นเองก็ไม่ได้เซ้าซี้ต่อ เขาพูดเสียงเบาๆ พร้อมทำหน้าเหมือนมีลับลมคมใน “เจ้าอยากจะเห็นเครื่องบินจริงๆ ไหม?”
กู๊ดตกตะลึง “เจ้าว่าอะไรนะ?”
“เมื่อสองสามวันก่อนข้าปีนกำแพงแล้วไปเห็นเข้า” ฟินกิ้นยิ้มอย่างภูมิใจออกมา “ในโรงเก็บเครื่องบินตรงลานบินมีเครื่องบินลำใหม่ถูกขนเข้าไปตั้งหลายลำ ถึงแม้มันจะมีผ้าคลุมเอาไว้ แต่ดูจากขนาดแล้ว มันน่าจะพอๆ กับยูนิคอร์นขององค์หญิงทิลลีเลย ก็หมายความว่านั้นคือเครื่องบินที่เตรียมเอาไว้ให้พวกเรา!”
“หลายวันก่อน? แล้วทำไมตอนนั้นถึงไม่บอกข้า?”
“ข้ากลัวเจ้าจะตื่นเต้นมากเกินไปจนเผลอพูดออกไป” เขายักไหล่ “แต่วันนี้เป็นวันหยุด ในโรงเรียนแทบจะไม่มีใครอยู่ ดังนั้นนี่จึงเป็นโอกาสดีที่จะแอบเข้าไปดูโฉมหน้าที่แท้จริงของเครื่องบิน!”
“เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ!” กู๊ดพูดเหมือนไม่อยากจะเชื่อ “ถ้าไม่ได้รับอนุญาต พวกเราเข้าไปในลานบินโดยพลการไม่ได้!”
“ถึงอยากจะเข้า ทหารพวกนั้นก็ไม่มีทางปล่อยให้เจ้าเข้าไปหรอก” ฟินกิ้นกรอกตา “เราจะไปเข้าไปทางอื่น แถมยังไม่ผ่านลานบินด้วย”
“แต่ว่า…”
“พวกเราแค่เข้าไปดูเท่านั้น” ฮายส์เองก็พูดช่วย “เจ้าน่าจะรู้สึกเหมือนกันใช่ไหม่ล่ะ ช่วงนี้องค์หญิงทิลลีทรงไม่ค่อยยิ้มเลย การฝึกซ้อมก็เข้มงวดขึ้นกว่าเดิมตั้งเยอะ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ไม่แน่อาจต้องรออีก 1 – 2 เดือนถึงจะได้จับมันจริงๆ เทียบกับแท่นไม้นี่แล้ว หรือว่าเจ้าไม่อยากเห็นว่าเครื่องบินที่พวกเราจะขับมันหน้าตาเป็นยังไง?”
“ถ้าเจ้าไม่ไป อย่างนั้นพวกเราไปก่อนก็แล้วกัน” ฟินกิ้นขมวดคิ้วขึ้นมา
กู๊ดลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ภายในหัวมีเสียงครืดๆ ของแท่งควบคุมไม้กับความรู้สึกสับสนที่ไม่ว่าจะฝึกฝนยังไงก็สัมผัสไม่ได้ถึงความก้าวหน้าปรากฏขึ้นมา สุดท้ายเขาจึงกัดฟันแล้วพยักหน้า “ข้าไปด้วย”
………………………………………………………………….