ตอนที่ 1034 ต้นปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 17

องครักษ์เสื้อแพร

ตอนที่ 1034 ต้นปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 17 โดย Ink Stone_Fantasy

คนตระกูลเจิ้งตอนนี้ล้วนสามารถใช้คำว่า ‘ไม่มีผู้ใดในสายตา’ ได้ เหิมเกริมไปทั่วทุกแห่ง ทุกคนไว้หน้าหลายส่วน เหิมเกริมกันจนชิน พอถูกหักหน้าก็รู้สึกยากจะรับได้อย่างมาก ต้องหาทางเอาคืนให้ได้จึงจะยอมเลิกรา

ข่าวเมืองซงเจียงมาถึงเมืองหลวง คนตระกูลเจิ้งทุกคนล้วนโมโหอย่างมาก ในสายตาพวกเขา เจ้าก็แค่กั๋วกงที่สูญเสียอำนาจ กล้ามาหาเรื่องคนตระกูลเจิ้งเรา ช่างไม่รู้ที่ตายเสียแล้ว หากไม่ตอบโต้เสียบ้าง ใช่ว่าทำให้บารมีตระกูลเจิ้งอ่อนแอลงหรือ เสียเกียรติตระกูลเจิ้ง ยิ่งทำให้ฮองเฮาเสียพระเกียรติ

กลุ่มคนพากันโมโหไม่พอใจ เจิ้งกั๋วไทเองนั้นรู้หนักเบา แต่เขาเองอายุก็ยังไม่มาก อย่างไรก็อายุยังน้อย กำลังอยู่ในวัยฉกรรจ์ มีอำนาจวาสนายังไม่นานนัก ถูกคนมาเสี้ยมมากเข้า ก็ยากที่จะไม่ร้อนใจ

เจิ้งกั๋วไทเองไม่ได้มีรากฐานอันใดในเมืองหลวง ตอนตระกูลเจิ้งแย่งชิงอำนาจกับขุนนางบุ๋นและชนชั้นสูงในเมืองหลวงรุนแรงครั้งนั้น เขาคิดจะทำอะไรยังต้องพึ่งฮองเฮาเจิ้ง

พวกคนในวงตระกูลที่พากันเหิมเกริมกับน้องชายที่ร้อนใจนั้น ฮองเฮาเจิ้งเองก็เข้าใจอย่างมาก ตรัสเพียงว่า

“ตอนนี้ เจ้าอยู่เมืองหลวงมาพอควรแล้ว คนสามารถใช้งานได้คือตระกูลใดกัน?”

เจิ้งกั๋วไทจึงพบว่า ขุนนางและชนชั้นสูงเมืองหลวงที่สามารถช่วยเหลือตระกูลเจิ้งล้วนมีสายสัมพันธ์กับหวังทง คนเหล่านี้ยังช่วยวางรากฐานอีกด้วย

“…หวังทงหากอยู่เมืองหลวงลงมือกับคนของเรา เรียกว่าเหิมเกริม แต่ทำที่เมืองซงเจียงเช่นนั้น เรียกว่านิสัยคงเดิม ฝ่าบาทก็ทรงเห็นชอบ…”

กล่าวถึงสุดท้าย สีพระพักตร์ฮองเฮาเจิ้งก็เคร่งเครียด ตรัสสุรเสียงเยียบเย็นว่า

“ตระกูลเจิ้งกว่าจะมีวันนี้ได้ไม่ง่ายนัก ฝ่าบาททรงพระเมตตามาก เราต้องรู้จักทะนุถนอมวาสนาให้ดี คนพวกนั้นอาศัยบารมีเรากระทำการเหิมเกริม คิดจริงหรือว่าไม่มีผู้ใดกล้าจัดการ? สำนักบูรพากับองครักษ์เสื้อแพรล้วนจับตาดูอยู่ เรื่องแย่งบุตรชายผู้อื่นครั้งนี้ ยังสมคบคิดโจรสลัดค้ามนุษย์ คนเช่นนี้เลี้ยงไว้ก็ไม่รู้คุณ กลับเป็นดังหายนะ…”

“ข้ากับฉางลั่วมีวันนี้ได้ ล้วนอาศัยผู้ใด หรือว่าเป็นญาติเราพวกนั้น ไม่ใช่เพราะฝ่าบาททรงพระเมตตา และความภักดีของหวังทงหรือ ตอนนี้หวังทงแม้ว่าอยู่เมืองซงเจียง แต่คนของเขาแต่ละคนสถานะใด เจ้าลองคิดถึงวันหน้า…”

สารรายงานจากองครักษ์เสื้อแพรความจริงนั้นเร็วกว่าข่าวตระกูลเจิ้งมาเมืองหลวง เจิ้งกั๋วไทถูกพี่สาวเรียกไปตำหนิเสร็จกลับถึงจวน สอบเรื่องราวพักหนึ่ง ก็รู้ความเป็นมาเป็นไปทั้งหมด

เขาเป็นเจ้าบ้านสอบเรื่องราวลูกน้องในบ้านย่อมง่ายดาย จากนั้นคนงานในบ้านหลายคนก็ถูกจัดการหักขาทิ้งหมด จับไล่ออกจากจวน บางคนถึงกับส่งไปลงโทษที่ศาลซุ่นเทียน

เจิ้งกั๋วไทคิดไปคิดมา อย่าให้คนระดับล่างพวกนี้มาทำให้ต้องห่างเหิน เมืองซงเจียงตอนนี้กำลังรุ่ง ส่งคนไปทำการค้าต่อไม่ผิดแน่ จึงได้ส่งคนสนิทนำเงินก้อนโตไปยังเมืองซงเจียง

เช่นนี้ก็แสดงให้เห็นถึงการกระทำที่ยอมลงให้ ทำเอาวงการขุนนางผู้มากอำนาจวาสนาแดนใต้ตกใจอย่างมาก แม้แต่ตระกูลเจิ้งยังต้องก้มหัวให้ หวังทงย่อมเป็นหวังทง

เรื่องมาถึงขั้นนี้ อะไรก็ไม่ต้องกล่าวอีก มีหวังทงปกป้อง เมืองซงเจียงเปิดท่าการค้าไม่ใช่เรื่องว่าดีหรือไม่ แต่เป็นเรื่องที่ว่าจะดีขึ้นอย่างมากมายเพียงใดต่างหาก ทุกคนต้องรีบตามให้ทัน อย่าได้สายไปไม่ทันการณ์ ตัวอย่างจากเทียนจินก็เห็นอยู่ เมืองซงเจียงใกล้จะกลายเป็นภูเขาทองคำแล้ว

ปลายเดือนสิบสอง หยางซือเฉินย้ายครอบครัวไปเมืองซงเจียง นับว่ามารับตำแหน่ง หวังทงย่อมจัดเลี้ยงต้อนรับ หยางซือเฉินยิ้มกล่าววาจาชมว่า

“กั๋วกง มากบารมียิ่ง พริบตาก็จัดการแดนใต้ได้ มากความสามารถยิ่งนัก”

ตอนแรกที่เสนอความคิดให้หวังทงหาทางสร้างเรื่องให้ความเป็นธรรมราษฎร ให้จัดการพวกไม่มีตามองให้ดีบนท้องถนน คิดไม่ถึงตระกูลเจิ้งมาให้จัดการถึงที่เอง เป็นการสร้างโอกาสให้หวังทง  สร้างชื่อเสียงเกรียงไกร พริบตาก็จัดการเมืองซงเจียงได้ ทุกอย่างล้วนเริ่มพัฒนาไปตามกระบวนการ

ร้านเงินร้านประกันภัย โรงต่อเรือกับโรงช่าง ต่างๆ ที่เทียนจิน ล้วนส่งคนมาเตรียมการที่เมืองซงเจียง พวกเขามาตั้งร้านสาขากัน ล้วนต้องการการขนส่งทางคลองส่งน้ำ ตอนนี้เทียนจินกำลังปิดทะเลหน้าหนาว มาไม่ได้

หนังสัตว์กับผงฟูที่ตระกูลลี่กับตระกูลหม่าร่วมทุนล้วนอยู่เทียนจิน อย่าว่าแต่เรื่องนี้ ซุนโส่วเหลียนกับหลี่หรูป๋อเมืองเหลียวโจวเองก็ยังมาตั้งร้านสาขาที่นี่ จากทะเลส่งไปเมืองเหลียวโจวกับนอกกำแพงเมือง แม้แต่พ่อค้าโปรตุเกสเทียนจินก็ยังมาดูลาดเลา

เรื่องพวกนี้มีเรื่องต้องให้หวังทงจัดการไม่มากนัก คนงานมีมากทำกันจนชำนาญงาน นับประสาอันใดกับเมืองซงเจียงเปิดท่าการค้าใช้ขุนนางจากเทียนจิน ชำนาญการอย่างยิ่ง

จางหงอิงกับหลูรั่วเหมยล้วนมีอาการแพ้ท้อง ทั้งครอบครัวเริ่มวุ่นกับการจัดการเตรียมการในเรื่องพวกนี้ ข่าวชนชั้นสูงเมืองหนานจิงไวมาก พวกเขาเป็นตระกูลใหญ่ ย่อมมีความสามารถในเรื่องพวกนี้ ยาดีหมอดี สตรีรู้การบำรุงครรภ์ล้วนมากันหมด

อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญก็คือ หวังเซี่ยบุตรชายหวังทงแม้ว่าอายุยังน้อย แต่ก็ได้เวลาเริ่มเรียนรู้ ตามความคิดหานเสีย อยากให้หวังเซี่ยมีอิสระอีกสองสามปีค่อยเรียนก็ไม่สาย แต่หวังทงไม่ยอมในเรื่องนี้

แต่ทว่าก็มิได้มีความต้องการเคร่งครัดนัก ขอแค่ให้หยางซือเฉินสอนเขียนอักษร จากนั้นให้ซาตงหนิงนำออกกำลังกาย แน่นอนแล้วว่าเด็กน้อยนี้ จะได้เรียนเล็กน้อยและฝึกท่าไม่กี่กระบวนท่าให้คุ้นเคยก่อน แต่เรื่องนี้กลับไม่ใช่เช่นนี้

หยางซือเฉินกับซาตงหนิงล้วนให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ถึงกับจริงจังมากกว่าการทำงานราชการของพวกเขาเองเสียอีก ตามความคิดพวกเขา หวังทงมอบความไว้วางใจให้พวกเขาได้อบรมบุตรชายคนโตทั้งบุ๋นและบู๊ เป็นเพราะไว้ใจพวกเขา เห็นความสำคัญพวกเขา ให้ได้ใกล้ชิดมากกว่าผู้ใด

พอเรื่องนี้แพร่ออกไป หลี่หู่โถวกับหลี่ว์วั่นไฉล้วนเขียนจดหมายมาบ่น บอกว่าเรื่องนี้พวกเขาเหมาะสมกว่า

เข้าสู่ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 17 อย่างรวดเร็ว เมืองซงเจียงค่อยๆ เป็นระบบทีละก้าว หวังทงเองก็มีชีวิตที่ว่างงานสบาย บรรดาภรรยาก็พอใจกับชีวิตเช่นนี้ เพราะหวังทงมีเวลาเฉลิมฉลองปีใหม่กับพวกนางมากที่สุดในหลายปีนี้ ครอบครัวล้วนเต็มไปด้วยบรรยากาศ

****************

ตั้งแต่สมัยฮ่องเต้หมิงเสี้ยวจง หรืออาจเร็วกว่านั้น ชาวเลริมทะเลตะวันออกเฉียงใต้แผ่นดินหมิงก็เริ่มอพยพลงทะเลใต้ สำหรับชาวนาจีนแล้ว ทิ้งบ้านเกิดไปยังประเทศที่ไม่คุ้นเคยเพื่อหาทางรอด เป็นเรื่องที่ตัดสินใจยากลำบากมาก แต่การบีบคั้นของเจ้าของที่ดิน ภัยธรรมชาติต่างๆ ทำให้ชาวนาเหล่านี้ไร้บ้านไร้อาชีพ ถึงกับไม่อาจดำรงชีพต่อไปได้ ได้แต่ออกทะเลไกลเพื่อหาทางรอดชีวิต

สมัยฮ่องเต้หมิงอู่จง การค้าทางทะเลเจริญรุ่งเรือง การคมนาคมสะดวก แน่นอนมีชาวนาจำนวนมากลงทะเลใต้ บ้างก็ไปเป็นโจรสลัด หลายคนไปยังประเทศตะวันออกเฉียงใต้เพื่อทำนาเพาะปลูกต่อ เปิดเส้นทางการค้า

ในยุคสมัยนี้ พวกยุโรปผิวขาวเริ่มมาตั้งอาณานิคมในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้หลายปีแล้ว ตอนเข้ามาก็พัฒนามาก การค้าจะรุ่งเรืองมากก็ต้องการเครื่องเทศยิ่งมาก ต้องการแร่ยิ่งมาก  จากนั้นก็ต้องการแรงงานยิ่งมาก และยังต้องเป็นแรงงานที่ขยันขันแข็ง

เจ้าของพื้นที่เดิมความจริงนั้นยังคงรักษาความเป็นท้องถิ่นเดิมๆ เอาไว้ ไม่สามารถให้สิ่งของสินค้าที่ชาวยุโรปผิวขาวต้องการ ของเหล่านี้ต้องแผ่นดินหมิงเท่านั้นที่มี ชาวฮั่นเท่านั้นมีขายและผลิต

ชาวท้องถิ่นประเทศตะวันออกเฉียงใต้ค่อนข้างมาก แต่คนเหล่านี้ไม่มีใช่แรงงานที่ดี พวกเขาถูกสภาพอากาศร้อนและทรัพยากรสิ่งแวดล้อมอันอุดมสมบูรณ์ทำให้เสียคนไปหมดแล้ว

สภาพอากาศร้อน ไม่จำเป็นต้องใส่เสื้อผ้าให้ความอุ่นก็อุ่นได้ ไม่จำเป็นต้องทำงานอันใด ก็สามารถไปหาผักผลไม้กินได้ พวกเขายอมใช้ชีวิตเรียบง่ายค่อนไปทางลำบากมากกว่าไปใช้แรงงาน ถึงกับยอมหิวตายก็ยังไม่ยอมไปทำงานใช้แรงงาน คนเหล่านี้มักยอมศิโรราบ ไม่ก็ล้วนเป็นทาสในปกครองของชนชั้นสูง หากชาวยุโรปผิวขาวยังต้องการให้พวกเขาดำรงระบบนี้เอาไว้ ดังนั้นจึงไม่คิดทำให้เป็นเรื่องใหญ่ กอปรกับชาวท้องถิ่นพวกนี้เดิมก็เป็นพวกใช้การไม่ได้ เอาแต่กิน เอาแต่ขี้เกียจ ไม่อยากต้องสิ้นเปลืองแรงไปกับพวกเขามากนัก

ในสถานการณ์เช่นนี้ ทางเลือกที่เหลือมีไม่มากนัก มาเก๊าความจริงนั้นก็มีชาวญี่ปุ่นที่นับถือคริสต์มาใช้แรงงานกันอยู่ส่วนหนึ่ง แต่ก็ไม่มากนัก ญี่ปุ่นห่างจากทะเลใต้ไกล ดังนั้นราษฎรแผ่นดินหมิงทางแถบทะเลตะวันออกเฉียงใต้จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

ฮกเกี้ยนกับกวางตุ้งเพาะปลูกน้อยกว่าพื้นที่มณฑลอื่นบนแผ่นดินหมิง  ราษฎรริมทะเลออกทะเลกันมาก ดังนั้นคนจีนอพยพไปประเทศตะวันออกเฉียงใต้จึงมีมาก พวกเขาก็ครองสัดส่วนถึงเก้าส่วนไปแล้ว

เพื่อจะดึงดูดชาวอพยพเหล่านี้ ชาวผิวขาวกับชนชั้นสูงในท้องถิ่นเสนอเงื่อนไขให้ไม่เลว เช่นว่าคนที่มาสามารถมีพื้นที่เพาะปลูก  ยังมีเวลาปลอดภาษีชั่วคราว ถึงกับยังมีข้าว มีเกลือให้ฟรี

เงื่อนไขเช่นนี้ ราษฎรยากจนริมทะเลแผ่นดินหมิงแน่นอนอยากไป  คนไปกันมากเข้า ก็เริ่มเกิดเป็นกลุ่มตระกูล เกิดพ่อค้าใหญ่ คหบดีใหญ่ หากส่วนใหญ่ก็ยังคงเป็นราษฎรใช้แรงงาน

เพราะพวกเขา  เหมืองเงิน เหมืองดีบุกและเหมืองทองในประเทศตะวันออกเฉียงใต้จึงได้รุ่งเรือง  การผลิตอาหารเกิดการพัฒนา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการค้าประเทศตะวันออกเฉียงใต้กับแผ่นดินหมิงก็เหมือนว่าจะขยายตัวใหญ่ ชาวผิวขาวอพยพมาก็ได้รับประโยชน์มาก ชนชั้นสูงพื้นเมืองกับระดับหัวหน้าก็ได้รับประโยชน์มากเช่นกัน

แต่มีวาจาโบราณหนึ่งกล่าวว่า  ไม่ใช่เผ่าพันธุ์เดียวกันก็ย่อมไม่เข้ากัน ชาวฮั่นยอมลำบากลงแรงพัฒนา ได้รับมาไม่ใช่ความขอบคุณหรือรู้คุณใดจากชาวผิวขาวและชาวพื้นเมืองหากเป็นความระแวงและเคียดแค้นของพวกเขา

ชาวฮั่นไปยังต่างบ้านต่างเมือง แน่นอนย่อมอยู่กันเป็นกลุ่มชาติเดิมตนเอง ส่งภาษาเดียวกัน ช่วยเหลือกัน  พักอยู่ด้วยกัน

องค์กรเช่นนี้นับวันยิ่งขยายใหญ่ เลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้ชาวผิวขาวกับชาวท้องถิ่นหวาดกลัว ชาวฮั่นเพาะปลูกชาญฉลาด ทำให้ชาวผิวขาวที่ภาคภูมิใจในการเพาะปลูกตนก็เริ่มหวั่นไหว เดิมทีพวกเขามองว่าตนเหนือกว่าพวกประเทศตะวันออกเฉียงใต้ คิดแต่ว่าตนเองสูงส่งกว่า สามารถควบคุมลิงกังเหล่านี้ได้  แต่พอได้เจอกับชาวฮั่นแผ่นดินหมิง พวกเขาถึงกับรู้สึกว่า ชาวฮั่นควรเป็นพวกมีอารยธรรมที่แท้จริง เทียบกันแล้ว ตนเองป่าเถื่อนยิ่ง

ชาวผิวขาวกลัวชาวฮั่น เริ่มขับไล่พวกเขา ชาวท้องถิ่นก็เริ่มอิจฉาและโกรธแค้นความร่ำรวยชาวฮั่น คิดว่ามาแย่งสมบัติเงินทองพวกเขาไป ชาวฮั่นก็ได้แต่พยายามอดกลั้นไม่ก่อเรื่องให้มากที่สุด พยายามกล้ำกลืน ปฏิบัติต่อด้วยดี

ทว่า หายนะก็ยังคงเกิดขึ้น