บทที่ 970 มิติวิหคโลกันตร์

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰

บทที่ 970 มิติวิหคโลกันตร์

มหาพันภพกว้างใหญ่ไพศาล

สิ่งมีชีวิตมากมายล้วนอาศัยอยู่มาชั่วลูกชั่วหลาน เผ่าสัตว์อสูรก็เป็นส่วนหนึ่งในนี้ด้วย นั่นเป็นเพราะสัตว์อสูรส่วนใหญ่มีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมและความได้เปรียบในช่วงชีวิต ด้วยอายุขัยที่ยาวนานก็เพียงพอสำหรับพวกเขาที่จะวางรากฐานทรงพลัง ซึ่งทำให้เผ่ามนุษย์หวาดกลัวอย่างยิ่ง

เผ่าสัตว์อสูรมีสายเลือดที่ซับซ้อนที่สุดในบรรดาสิ่งมีชีวิตในมหาพันภพ พลังของพวกเขามาจากสายเลือด ดังนั้นเผ่าที่มีสายเลือดทรงพลังจึงรู้จักกันในนามเผ่าเทพอสูร ใครก็ตามที่มีสายเลือดนี้จะทรงพลังตั้งแต่แรกเกิด ทำให้ทุกชีวิตล้วนหวาดกลัว

ทว่าก็มีเผ่าสัตว์อสูรบางเผ่าที่มีศักยภาพคล้ายกันที่ไม่ได้อยู่ในเผ่าเทพอสูรและเผ่าวิหคโลกันตร์ก็เป็นหนึ่งในนั้น…

นี่เป็นเผ่าที่มีต้นกำเนิดเดียวกันกับเผ่าหงส์ฟ้า พวกเขาสืบสายเลือดจากวิหคอมตะโบราณ เมื่อใดที่สายเลือดตื่นขึ้นมาก็จะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตสุดยอดแม้แต่ในเผ่าหงส์ฟ้า

ดังนั้นนั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมเผ่านี้ถึงให้ความสำคัญกับสายเลือด เมื่อใดที่มีสายเลือดบริสุทธิ์ของวิหคอมตะปรากฏขึ้นในเผ่า คนคนนั้นจะได้รับการคุ้มครองเข้มข้น ใครก็ตามที่คิดทำลายจะถูกมองว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจ

ดินแดนวิหคโลกันตร์

แม้จะถูกขนานนามว่าดินแดนแต่มีขนาดใกล้เคียงกับภูมิภาคทางเหนือเท่านั้น ทว่าดินแดนขนาดเล็กนี้กลับมีชื่อเสียงมากในมหาพันภพ

ชื่อเสียงที่สั่งสมมาของผู้นำสูงสุดของดินแดนนี้ ก็มาจากเผ่าวิหคโลกันตร์นั่นเอง

ในฐานะเผ่าสัตว์อสูรที่มีชื่อเสียงลือเลื่อง รากฐานและความแข็งแกร่งของเผ่าวิหคโลกันตร์ถือได้ว่าอยู่ในระดับสูงของมหาพันภพ

ต้องรู้ว่าถึงอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะถือเป็นขั้วอำนาจสูงสุดในภูมิภาคทางเหนือ แต่ถ้าในมหาพันภพที่กว้างใหญ่ พวกเขาไม่สามารถนับเป็นขั้วอำนาจระดับสูงได้เลย

ขั้วอำนาจดังกล่าวไม่ใช่สิ่งที่จะสนับสนุนได้โดยจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนคนเดียว ถึงมั่นถัวหลัวจะบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายแล้ว แต่ขั้วอำนาจชั้นสูงที่แท้จริงให้ความสำคัญกับรากฐานมากกว่า อย่างน้อยต้องมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนปรากฏตัวขึ้นอีกคนในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ สำนักนี้ถึงจะสามารถถูกจัดอยู่ในกลุ่มขั้วอำนาจชั้นสูงในมหาพันภพได้

ดังนั้นชื่อเสียงของเผ่าวิหคโลกันตร์จึงยิ่งใหญ่กว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์ในมหาพันภพมาก… ชื่อเสียงของดินแดนวิหคโลกันตร์ก็ไม่ใช่สิ่งที่อาณากงเวทสวรรค์จะเทียบได้

ทว่าในดินแดนวิหคโลกันตร์ สถานที่ที่ถูกมองว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งในสายตาขั้วอำนาจมากมายของมหาพันภพ คือมิติวิหคโลกันตร์ซึ่งอยู่ในกลางดินแดน

ที่นั่นเป็นมิติที่แยกออกจากมหาพันภพ เป็นดินแดนบรรพบุรุษของเผ่าวิหคโลกันตร์

ตามตำราโบราณเผ่าวิหคโลกันตร์ก็มาจากพิภพเขตล่าง แม้ว่าพวกเขาจะไม่โดดเด่นในช่วงเริ่มต้น แต่เมื่อมีบรรพบุรุษที่โดดเด่นปรากฏขึ้นมากก็ทำให้เผ่าวิหคโลกันตร์ยืนหยัดอยู่ท่ามกลางเผ่าสัตว์อสูรนับไม่ถ้วนในโลกอันยิ่งใหญ่นี้ได้

ในช่วงที่เผ่าวิหคโลกันตร์แข็งแกร่งที่สุด พวกเขามีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนในสามชั่วอายุคน ในเวลานั้นแม้แต่เผ่าหงส์ฟ้าก็ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับเผ่าวิหคโลกันตร์และมีฐานะในระดับเดียวกัน

มิติวิหคโลกันตร์ว่ากันว่าเป็นพิภพเขตล่างที่เผ่าวิหคโลกันตร์ครอบครองมาตั้งแต่โบราณกาล ซึ่งถูกเชื่อมโยงกับมหาพันภพในภายหลังด้วยพลังอันยิ่งใหญ่ของเผ่าทำให้กลายเป็นดินแดนบรรพบุรุษของเผ่า

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก มหาพันภพเชื่อมโยงกับพิภพเขตล่างมากมาย ยอดยุทธ์ที่สามารถมาถึงมหาพันภพได้โดยการทำลายขอบเขตพิภพ นอกจากบางคนที่โชคดีเกือบทั้งหมดล้วนมีพรสวรรค์ที่น่าอัศจรรย์ ตราบใดที่สามารถเอาชีวิตรอดในมหาพันภพได้ พวกเขาก็จะเปล่งประกายยิ่งใหญ่ในอนาคตอย่างแน่นอน

ในช่วงหลายพันปีที่ผ่านมาดาวจรัสแสงที่สุดก็คือเทพจักรพรรดิอัคคีแห่งแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและเทพจักรพรรดิสงครามแห่งแคว้นหวู

ตอนนี้ไม่เพียงแต่ทั้งสองยืนอยู่ที่จุดสูงสุดของมหาพันภพ ขุมกำลังที่อยู่ภายใต้บัญชาการของพวกเขาก็ก้าวเข้าสู่ระดับสุดยอดอีกด้วย พวกเขาครอบครองดินแดนและชื่อเสียงที่มีก็ข่มขวัญผู้คนนับไม่ถ้วน

นอกจากนี้ยังมีการกล่าวขานอีกว่าเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามได้ทำการเชื่อมโยงกับพิภพเขตล่างของตนเองไว้แล้วด้วย ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังได้ตั้งทางเชื่อมไว้ในแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูเพื่อปกป้องไม่ให้ขั้วอำนาจอื่นแสดงความโลภเข้ายึดครองพิภพของพวกเขาได้

เผ่าวิหคโลกันตร์ก็มีความคิดชัดเจนเช่นนี้ พวกเขาจึงเชื่อมโยงมิติวิหคโลกันตร์ไว้

และในครั้งนี้เป้าหมายสุดท้ายของมู่เฉินก็คือมิติวิหคโลกันตร์นั่นเอง

มิติวิหคโลกันตร์ ภูเขาเก้าโลกันตร์

ขนาดของภูเขานี้ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูด มันล่องลอยอยู่ในมิติราวกับแผ่นดินใหญ่ ภูเขาแห่งนี้คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของมิติทั้งหมด

ในเวลาเดียวที่นี่ก็เป็นดินแดนบรรพบุรุษของเผ่าวิหคโลกันตร์ว่ากันว่าเป็นสถานที่ที่วิหคโลกันตร์ตัวแรกถือกำเนิดในสมัยโบราณ

วันนี้บนภูเขาลูกใหญ่มีเสียงระฆังโบราณสะท้อนก้อง สั่นสะเทือนถึงฟ้าดิน

ที่ใจกลางของภูเขามีเสาสูงตระหง่านหมู่เมฆม้วนตัวอยู่จุดสูงสุด เผยให้เห็นจัตุรัสหินขนาดใหญ่สีฟ้าอมเขียว มีร่างเงานับไม่ถ้วนอยู่บนหน้าผาโดยรอบ ซึ่งทั้งหมดเปล่งคลื่นพลังผันผวนออกมา

จัตุรัสหันหน้าชนกับหน้าผาสูงชัน ทว่าหน้าผาเหล่านั้นเป็นแท่นหินขนาดใหญ่ที่มีร่างเงานั่งอยู่ รัศมีทรงกลดที่เล็ดลอดออกมา ทำให้แม้แต่มิติก็สั่นสะเทือน

พวกเขาก็คือเหล่าผู้อาวุโสของเผ่าวิหคโลกันตร์

มองไปที่จัตุรัสหินมีคนสองตัวนั่งเงียบๆ ที่นั่น พวกเขามีคลื่นหลิงทรงพลังรอบตัว สามารถมองเห็นความภาคภูมิใจที่หว่างคิ้วได้

นั่นไม่ใช่ความหยิ่งยโส แต่เป็นการมั่นใจในพลังของตัวเองมากจึงกำจายความภูมิใจออกมา

ขณะนี้ทั้งสองเงยหน้าขึ้นมองไปที่แท่นหินโบราณจำนวนมาก ที่นั่นเกิดการถกเถียงจนเสียงดังก้องไปทั่ว ชัดว่าตอนนี้ผู้อาวุโสของเผ่าต่างมีความเห็นแตกต่างกัน

ดังนั้นไม่เพียงแต่พวกเขาทั้งสองคนเท่านั้น แม้แต่สมาชิกนับไม่ถ้วนที่อยู่ที่นี่ก็ให้ความสนใจเช่นกัน

“ไร้สาระจริง! จิ่วโยวมีสายเลือดบริสุทธิ์ที่สุดของวิหคอมตะในรอบหลายพันปี นี่เป็นโอกาสสำหรับเผ่าพันธุ์เราที่จะฟื้นฟูความรุ่งโรจน์ จะปล่อยให้มนุษย์มาทำลายได้ยังไง!” ผู้อาวุโสที่สวมเสื้อคลุมสีฟ้าอมเขียวคนหนึ่งพูดอย่างโหดเหี้ยมด้วยใบหน้าถมึงทึง

“ถ้าให้ข้าพูด เราควรจับมู่เฉินคนนั้นมา ใช้ทักษะลับทำลายพันธะโลหิตนี่ซะ!”

“พูดถูก ถึงแม้ว่าประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะมีความสามารถอยู่บ้าง แต่ตาแก่คนนี้ก็ไม่เชื่อว่านางจะกล้าเผชิญหน้ากับเผ่าเราเพื่อไอ้เด็กคนเดียว!” ผู้อาวุโสอีกคนพูดอย่างเคร่งขรึม

อีกฝั่งเทียนเช่อก็ขมวดคิ้วแน่น “พรสวรรค์ของมู่เฉินไม่ธรรมดา ซ้ำเขายังมีร่องรอยแรงกดดันหงส์ฟ้าแท้จริง ดังนั้นเขาต้องเป็นคนที่โชคดีและมีโอกาส ข้าให้คำมั่นกับเขาว่าถ้าสามารถเอาชนะเจียงย่าและฉิงเฉวียนก็จะอนุญาตให้เขาเข้าสู่ดินแดนเสินโซ่ในฐานะตัวแทนเผ่าวิหคโลกันตร์ เพื่อช่วยเหลือจิ่วโยวให้ได้รับแก่นเลือดศักดิ์สิทธิ์ของวิหคอมตะโบราณ!”

เมื่อได้ยินคำพูดนี่ ผู้อาวุโสสวมชุดสีฟ้าอมเขียวก็เค้นเสียงเย้ยหยัน “เทียนเช่อตามที่เจ้าพูดไอ้หนูนั่นอยู่ในขุมพลังจื้อจุนขั้นห้า เจียงย่าและฉิงเฉวียนสามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย หากเขาเป็นตัวแทนเผ่าเข้าไป ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเขาจะได้รับโอกาสหรือเปล่า แต่คงจะลากกันลงนรกซะมากกว่า ถึงตอนนั้นใครจะเป็นคนรับผิดชอบในเรื่องนี้?”

“นอกจากนี้นี่ก็ใกล้ถึงสองเดือนแล้ว ไอ้หนูนั่นก็ยังไม่มีวี่แววมาที่เผ่าเรา ดังนั้นอย่างหนึ่งที่เห็นก็คือเขากลัวแค่ไหน คนที่ขี้ขลาดแบบเขาจะทำให้สายเลือดบริสุทธิ์ของจิ่วโยวแปดเปื้อนแน่นอน!”

เมื่อเทียนเช่อได้ยินคำพูดที่ร้ายกาจจากผู้อาวุโสชุดสีฟ้าอมเขียว ใบหน้าก็ไม่สู้ดีนัก แต่เขาก็ขี้เกียจทะเลาะ สายตาของเขาพุ่งไปยังศูนย์กลางของบริเวณนี้ บนแท่นหินสีทองที่มีชายวัยกลางคนนั่งอยู่ที่นั่นด้วยความสงบ แม้ว่าเขาจะไม่เคลื่อนไหวใดๆ แต่แรงกดดันน่ากลัวที่เกิดขึ้นก็ทำให้โดยรอบหยุดนิ่ง

เขาก็คือประมุขเผ่าคนปัจจุบัน—เทียนฮวง

ข้างๆ เขาเป็นร่างบอบบางของจิ่วโยว ยามนี้นางมองเหล่าผู้อาวุโสปะทะฝีปากกันในเรื่องนี้ ใบหน้าก็ค่อนข้างซีดขาวพลางกำมือแน่น

“ท่านประมุขขอโปรดตัดสินใจให้รวดเร็วและเลือกคนสุดท้ายระหว่างเจียงย่าและฉิงเฉวียนด้วย อีกไม่นานดินแดนเสินโซ่ก็จะปรากฏ เราไม่สามารถรอเจ้ามนุษย์ขี้ขลาดนั่นได้…” ผู้อาวุโสชุดสีฟ้าอมเขียวมองเทียนหวงและเอ่ยขึ้น

สมาชิกเผ่าทุกคนส่งสายตาไปยังเทียนฮวง พวกเขารอประมุขพูดและจัดการกับเรื่องนี้ที่ล่าช้ามานานเกือบสองเดือนแล้ว

ใบหน้าของเทียนฮวงไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เขาทำตัวเสมือนรูปปั้นหิน ดวงตาหรี่ลงก่อนที่จะมองจิ่วโยวที่อยู่ข้างๆ และครุ่นคิดสั้นๆ พูดว่า “คนผู้นั้นมีบุญคุณอย่างมากกับจิ่วโยว ในเมื่อเทียนเช่อได้ให้สัญญาไว้ เผ่าเราก็ต้องรักษาสัญญาเอาไว้ อีกหนึ่งวันถ้าเขาปรากฏตัวที่เผ่าและเอาชนะเจียงย่าและฉิงเฉวียนได้ ตำแหน่งที่สี่จะเป็นของเขา”

พูดถึงตรงนี้ เขาก็หยุดเสียงลงชั่วครู่ ก่อนที่สายตาจะเฉียบคมขึ้น “แต่ถ้าเขากล้าหนีไปด้วยความขี้ขลาด เผ่าวิหคโลกันตร์ก็จะไม่ปล่อยให้คนขี้ขลาดมาแปดเปื้อนสายเลือดแน่ เวลานั้นพวกเราจะออกตามจับเขา หากอาณาเขตกงเวทสวรรค์กล้าขัดขวาง เราก็จะประกาศสงครามกับพวกเขา!”

เสียงพูดประโยคดังกล่าวสั่นสะท้อนไปทั่วภูเขาเก้าโลกันตร์ราวกับฟ้าร้อง สมาชิกหลายคนถึงกับสั่นไหวเมื่อได้ยินไอสังหารแฝงมาในคำพูดของประมุข

ดวงตาของเหล่าผู้อาวุโสกะพริบวาบ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เห็นได้ชัดว่าทุกคนยอมรับการตัดสินใจของเทียนฮวงแล้ว

จิ่วโยวซึ่งยืนอยู่ด้านข้างเทียนฮวงเปล่งแสงวูบไหวในดวงตาจากนั้นก็กัดฟัน ตราบใดที่มู่เฉินออกจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ไปแล้ว แม้แต่เผ่าวิหคโลกันตร์ก็ยังลำบากในการตามหาเขาในมหาพันภพ ในอนาคตเมื่อมู่เฉินมีพลังแข็งแกร่งขึ้น เผ่าก็คงจะหวาดเกรงเขาบ้าง เมื่อถึงเวลานั้นพวกเขาก็จะไม่กล้าทำอะไรอย่างประมาท

แค่คิดนางก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง ตอนนี้มู่เฉินน่าจะอยู่ไกลจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์แล้วมั้ง…

ทว่าขณะที่ความคิดเพิ่งแล่นขึ้นในใจนาง เทียนฮวงที่อยู่ข้างๆ ก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่ท้องฟ้า แสงพริบพราวอยู่ในดวงตาของเขา

เมื่อเขามองไปที่ท้องฟ้า มิติจุดหนึ่งก็เกิดการบิดเบี้ยว กลายเป็นอุโมงค์มิติขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ร่างสองร่างจะย่างกรายออกมาช้าๆ

การเปลี่ยนแปลงฉับพลัน ทำให้สายตานับไม่ถ้วนจ้องมองไปด้วยความประหลาดใจ พวกเขามองดูคนสองคนที่ปรากฏตัวขึ้น

เมื่อทั้งสองเผยตัวขึ้น เสียงคมชัดที่ทุกคนสามารถได้ยินก็ดังกึกก้องทั่วภูเขาเก้าโลกันตร์

“ข้ามู่เฉินกล่าวทักทายผู้อาวุโสทุกท่านที่นี่”

ทันใดนั้นร่างสองร่างที่นั่งอยู่ตรงกลางจัตุรัสก็ลืมตาขึ้น แววเย็นยะเยือกวูบไหวในดวงตา ความเยาะเย้ยบางเบาปรากฏที่มุมริมฝีปาก

ไอ้มนุษย์ขี้ขลาดในที่สุดก็มีความกล้าที่จะปรากฏตัวแล้ว…