ตอนที่ 1194 คำขอเพียงหนึ่งเดียว โดย Ink Stone_Fantasy
หลังกินอาหารเย็นเสร็จ โรแลนด์ก็ได้ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากปากทิลลี
“เพราะ…ความรู้สึกเหรอ?” ในตอนที่อีกฝ่ายพูดถึงเหตุผลที่เปลี่ยนความคิด เขาพลันรู้สึกงุนงงขึ้นมา
“ทำไม ไม่ได้เหรอ?” ทิลลีพูดกอดอก
“เปล่า กฎในโรงเรียนอัศวินอากาศเจ้าเป็นคนตั้ง เจ้าว่ายังไงก็ต้องว่ายังไง” โรแลนด์รีบโบกมือพูดปฏิเสธ “ข้าเพียงแค่สงสัย ความรู้สึก…นี่มันแสดงให้เห็นถึงอะไร?”
“ความสามารถไง ท่านนี่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการบินจริงๆ ด้วย” ทิลลียักไหล่ “สำหรับคนทั่วไปแล้ว การฝึกซ้อมก็เป็นแค่เพียงการทำภารกิจให้สำเร็จด้วยการปฏิบัติความสิ่งที่เขียนอยู่ในคู่มือเท่านั้น นอกจากควบคุมการเคลื่อนไหวแล้ว มันก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นเลย ต่อให้ขึ้นไปบนฟ้ามันก็เหมือนกัน แต่บางคนกลับคิดถึงภาพการเคลื่อนไหวทุกๆ การเคลื่อนไหวได้ ในตอนที่ร่างกายเขายังไม่ทันจะได้เคลื่อนออกมา แต่ภายในหัวเขากลับเห็นภาพผลของการเคลื่อนไหวแล้ว”
“เอ่อ…มันสุดยอดขนาดนั้นเลยเหรอ?” มุมปากของโรแลนด์กระตุกขึ้นมา เขาไม่ปฏิเสธว่าตัวเองไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับการบินเลย ถ้าไม่เป็นเพราะมีทิลลีคอยช่วยเหลือ แผนการอัศวินอากาศคงไม่มีทางเป็นจริงได้ การจะสร้างเครื่องบินที่ดีขึ้นมาจากแบบแปลนที่เอามาจากโลกแห่งความฝันเพียงอย่างเดียวนั้นไม่ได้ต่างอะไรกับเรื่องเพ้อฝันเลย ไม่ว่าจะเป็นการทดลองสร้าง ปรับปรุง กำหนดรูปร่างสุดท้าย การฝึกซ้อน ทุกอย่างล้วนแต่มีทิลลีเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งหมด หากเปลี่ยนเป็นคนธรรมดา การจะเอาแปลนเหล่านั้นมาทำให้กลายเป็นเครื่องบินจริงๆ แล้วเอาเครื่องบินเหล่านั้นไปใช้ในการรบจริงๆ อีกที เกรงว่าขั้นตอนเหล่านี้คงต้องใช้เวลาหลายสิบปี เพียงแต่สุดท้ายแล้วเครื่องบินมันก็เป็นเครื่องจักรเครื่องหนึ่ง การจะควบคุมเครื่องบินมันก็ควรจะฝึกซ้อมซ้ำๆ ตามที่เขียนเอาไว้ในคู่มือไม่ใช่เหรอ?
“เพราะว่าข้าเองก็เป็นแบบนี้” ทิลลีทำสีหน้าเสียใจออกมา “ท่านคิดไม่ออก แสดงว่าท่านไม่มีความสามารถด้านนี้ ท่านพี่ ถ้าท่านอยู่ในโรงเรียนอัศวินอากาศ ท่านคงจะต้องอยู่ในกลุ่มที่ต้องถูกเขี่ยทิ้งแน่”
“แค่กๆ…” โรแลนด์เกือบสำลักน้ำลายตัวเอง ส่วนด้านหลังเขาก็มีเสียงหัวเราะเบาๆ ของไนติงเกลดังขึ้นมา
“ท่านกำลังคิดว่าแต่ฝึกซ้อมก็จะสามารถควบคุมเครื่องบินได้ใช่ไหม?” ทิลลีเหมือนจะมองเห็นความคิดของเขา “จริงอยู่ที่คนบางส่วนจะสามารถเชื่อมโยงการเคลื่อนไหวเข้ากับความรู้สึกได้หลังจากที่ฝึกซ้อมมานับร้อยนับพันครั้ง แต่อย่าลืมว่าแท้ที่จริงแล้วนี่ก็เป็นความสามารถอย่างหนึ่งเหมือนกัน เพียงแต่จะด้อยกว่าพวกแรกหน่อยเท่านั้น แต่ก็มีคนอีกมากที่ชั่วชีวิตนี้ก็ไม่สามารถก้าวมาถึงขั้นนี้ได้ แค่บินขึ้นมาได้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายแล้ว ท่านคิดว่าใครจะมีโอกาสรอดในสงครามมากกว่ากันล่ะ?”
โรแลนด์พูดไม่ออกไปทันที
คำตอบนั้นย่อมต้องเป็นคนที่มีพรสวรรค์อย่างแน่นอน เสียเวลาในการฝึกซ้อมเหมือนกัน แต่คนเหล่านี้มักจะก้าวไปอยู่ในระดับที่สูงกว่า แถมยังเก็บสะสมประสบการณ์ในการทำสงครามได้อย่างรวดเร็ว ส่วนคนที่ความสามารถธรรมดานั้นแม้แต่จะปกป้องตัวเองก็ยังทำได้ลำบาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะก้าวหน้าขึ้นเลย
“แต่เพียงแค่คำพูดมันก็ระบุอะไรไม่ได้เหมือนกันนี่นา?” เขานิ่งเงียบไปครู่ก่อนจะพูดออกมา “เขาอาจจะบังเอิญพูดมันออกมาก็ได้”
“ดังนั้นถึงต้องให้บินดูไง” ทิลลีพูดอย่างไม่สนใจ
“…อย่างนั้นอีกสองคนล่ะ?”
“พวกเขาเลือกที่จะลองบินเหมือนกัน”
“โอ้?” โรแลนด์กะพริบตาอย่างประหลาดใจ สำหรับยุคสมัยนี้แล้ว การโดนไล่ออกจากโรงเรียนอัศวินอากาศนั้นไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นโรงเรียนที่เจ้าหญิงเป็นผู้ดูแลด้วยแล้ว มันหมายความว่าเขาจะมีประวัติด่างพร้อยติดตัวเขาไปตลอดชีวิต หลังจากนี้ถ้าจะไปสมัครงานอื่นก็จะทำได้บาก อีกอย่างถ้าทำงานอยู่ในโรงเรียนต่อก็จะได้เงินเดือนที่ไม่น้อย ขณะเดียวกันยังเป็นงานที่มีความมั่นคงด้วย ยิ่งไปกว่านั้นยังจะได้รับสวัสดิการพิเศษบางอย่างจากทางโรงเรียน อย่างเช่นการซื้อบ้าน การรักษาพยาบาล เมื่อเทียบอย่างแรกกับอย่างหลังแล้วเรียกได้ว่าแตกต่างกันอย่างมาก “ถือว่ามีความกล้าทีเดียวเลยนะ…ถ้าไล่ออกไปแบบนี้ เจ้าไม่เสียดายบ้างเหรอ?”
เพราะตอนนี้เมืองเนเวอร์วินเทอร์มีนักบินฝึกหัดอยู่ไม่ถึง 200 คน นักบินทุกคนจึงเรียกได้ว่ามีค่าอย่างมาก
“โรงเรียนอัศวินอากาศไม่ต้องการคนที่ไม่มีความสามารถ การที่มีแค่ความกล้ามันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับการวิ่งเข้าไปหาความตายเมื่อต้องเจอกับปีศาจ การที่ให้พวกเขาออกไปซะก่อนกลับจะเป็นทางเลือกที่ดีมากกว่า” ทิลลีพูดเสียงเบา
เมื่อพูดถึงตรงนี้ บรรยากาศภายในห้องทำงานพลันดูเคร่งเครียดขึ้นมา ในขณะที่โรแลนด์เตรียมจะรินชาเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศ อีกฝ่ายพลันชิงพูดเปลี่ยนประเด็นขึ้นมาว่า “เออใช่ ที่ข้ามาหาท่านก็เพราะอยากจะถามเรื่องก่อนหน้านี้ เครื่องบินใหม่ของข้ามีความคืบหน้าบ้างไหม?”
เป็นอย่างที่คิดจริงๆ ด้วย เธอมาหาเขาที่ห้องทำงานไม่ใช่เพื่อพูดคุยเรื่องงานเท่านั้น โรแลนด์รู้สึกตกใจขึ้นมา “ข้าคิดว่าเรื่องนี้เราต้องค่อยๆ คุยกันนะ…การสร้างกองทัพอัศวินอากาศนั้นต้องอาศัยเจ้า ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเจ้าอยู่ที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ก็จะสร้างความเสียหายให้กับปีศาจได้มากกว่า….”
ทิลลีไม่ได้ตอบ หากแต่ใช้สายตาในการบอกท่าทีของเธอ
โรแลนด์แอบถอนใจ
เครื่องบินใหม่ที่เธอว่านั้นไม่ได้หมายถึงยูนิคอร์น หากแต่เป็นอาวุธบินได้ที่ทรงพลังและเหมาะสำหรับการรบมากกว่า หลังแอชเชสเสียสละตัวเองไปแล้ว ทิลลีก็ร้องไห้อยู่ในอ้อมอกเขาอย่างเจ็บปวดเหมือนเด็กน้อยที่อ่อนแออยู่เป็นเวลานาน แต่นั้นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่เขาได้เป็นด้านที่อ่อนแอของอีกฝ่าย หลังจากที่เธอตื่นขึ้นมา ประโยคแรกที่เธอมาพูดกับเขาก็คือ ‘ข้าต้องการเครื่องบินที่ฆ่าปีศาจได้’
เธออยากจะแก้แค้นปีศาจ
ถึงแม้ตอนนั้นโรแลนด์จะพยายามหาข้ออ้างมาบอกปัดไป แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้มีท่าทีที่จะเปลี่ยนแปลงความคิดเลย
“เจ้าจะทำแบบนี้จริงๆ เหรอ?”
“ตอนที่ซุ่มโจมตีอุรูคไม่เห็นท่านคิดเยอะขนาดนี้เลย”
“นั่นมันเป็นการขนส่ง มันไม่เหมือนกับการต่อสู้แบบซึ่งๆ หน้าเลย”
“ความจริงแล้วมันไม่ได้มีอะไรต่างกันมาก ทั้งคู่ต่างก็เป็นการเอาความสามารถของข้าไปใช้ในที่ๆ จำเป็น” ทิลลีส่ายหัว “เป็นเพราะข้าเห็นด้วยกับความคิดนี้ ข้าถึงได้กล่อมให้แอชเชสไปแนวหน้า ท่านเองก็รู้ดี ถ้าอยากจะยึดเอาท้องฟ้ากลับมาจากปีศาจ อาศัยแค่อัศวินอากาศนั้นยังไม่แน่ว่าเราจะเอาชนะได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจำนวนหรือว่าความแข็งแกร่ง เมืองเนเวอร์วินเทอร์ก็ล้วนแต่เป็นฝ่ายเสียเปรียบ มีเพียงข้าเท่านั้นที่จะเปลี่ยนสถานการณ์ตรงนี้ได้!”
“แต่ว่าโรงเรียน….”
“ข้าย่อมต้องรับผิดชอบอย่างเต็มที่ ก่อนที่สงครามจะมาถึง ขอเพียงข้าฝึกครูฝึกที่ยอดเยี่ยมขึ้นมาซักกลุ่มหนึ่ง พวกเขาก็จะทำให้กองทัพอัศวินขยายใหญ่ไปได้เรื่อยๆ และรับหน้าที่นี้ต่อจากข้า” ทิลลีนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนจะจ้องมาที่โรแลนด์แล้วพูดช้าๆ ว่า “ข้ารู้ว่าข้าค่อนข้างเอาแต่ใจไปหน่อย แต่ว่านี่เป็นคำขอเพียงหนึ่งเดียวของข้า ท่านพี่”
โรแลนด์สบตากับเธอ ก่อนจะถอนหายใจออกมา “ข้าเข้าใจแล้ว”
สองมือที่กำแน่นของทิลลีคลายออก “ขอบคุณ”
“เออใช่ สีของตัวเครื่องบิน เจ้าต้องการสีอะไรเป็นพิเศษไหม?” ในขณะที่เธอกำลังจะเดินออกมา โรแลนด์พลันถามขึ้นมา
ทิลลีหยุดฝีเท้าอย่างสงสัย “ไม่ อันนี้…”
“ในเมื่อไม่ได้คิดเอาไว้ อย่างนั้นสีแดงเป็นยังไง?”
“มันต่างกันยังไงเหรอ?”
“ปกติตัวเอกที่ปกครองท้องฟ้ามักจะใช้สีแดง” โรแลนด์พูดเบาๆ
“อย่างนั้นเหรอ?” ทิลลียิ้มมุมปากขึ้นมา “อย่างนั้นก็เอาสีแดง…อย่างที่ท่านว่าแล้วกัน”
หลังประตูปิดลง ไนติงเกลพลันพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าสับสน “องค์หญิงทรง…เอาจริงเหรอเพคะ”
โรแลนด์นวดขมับอย่างปวดหัว “เพราะแบบนี้แหละถึงได้ยุ่งยาก” ในตอนที่ทิลลีพูดว่า ‘คำขอเพียงหนึ่งเดียว’ ขึ้นมา เขาก็รับรู้ได้ถึงความหวังและความหมกมุ่นของอีกฝ่าย คนที่จะช่วยให้เธอสมหวังในการแก้แค้นได้ นอกจากเขาแล้วก็ไม่มีใครอื่นอีก ถ้าหากเขาปฏิเสธไป มันอาจจะทำให้ความหวังนี้กลายเป็นความสิ้นหวังได้ เขาแอบรู้สึกว่าหากเป็นเช่นนั้น ตัวเองอาจจะเสียอีกฝ่ายไป
“นางเปลี่ยนไปแล้วเพคะ” ไนติงเกลทอดถอนใจออกมา “แต่หม่อมฉันเข้าใจนางนะเพคะ ถ้าคนที่เกิดเรื่องเป็นพระองค์….” เธอชะงักไปครู่ใหญ่ ก่อนจะส่ายหัวออกมาอย่างยอมแพ้ “ไม่ได้ แม้แต่จะคิดหม่อมฉันยังไม่กล้าคิดเลยเพคะ”
โรแลนด์นิ่งเงียบไป…ในหัวเขาพลันคิดถึงคำพูดประโยคหนึ่งขึ้นมา สงครามนั้นเปลี่ยนแปลงผู้คนและเรื่องราวมากมาย แต่สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนก็คือตัวสงคราม
ถ้าไม่อยากให้เรื่องน่าเศร้าแบบนี้เกิดขึ้นต่อไปเรื่อยๆ ก็มีแต่ต้องรีบจบสงครามแห่งโชคชะตานี้โดยเร็ว
………………………………………………………………………..