ตอนที่ 1749 นักบวชฝึกหัด

Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ

“เป็นขั้นยอดเยี่ยมจริงๆ ด้วย ท่านนักบวชเองก็คงไม่ได้เก่งกาจไปกว่านี้ใช่ไหม?”

“ท่านกงหลินนั้นบอกว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาหลอม…ข้าไม่อยากจะเชื่อจริงๆ”

“ใช่แล้ว ดูอย่างไรก็ไม่ใช่! เราฝึกฝนบ่มเพาะกันมาเป็นพันๆ ปีแต่ยังหลอมได้ไม่ถึงขั้นต่ำด้วยซ้ำ จะบอกว่ามันคนนี้หลอมขั้นยอดเยี่ยมได้ตั้งแต่คราแรก ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ยอมเชื่อ”

ขั้นยอดเยี่ยมนั้นเป็นเรื่องที่เย่หยวนอับอายใจ

ตั้งแต่เข้าอาณาจักรพระเจ้ามา เขาไม่เคยที่จะหลอมโอสถใดได้ต่ำกว่าขั้นเทวะมาก่อนเลย

โอสถขั้นยอดเยี่ยม ปกติแล้วต่อให้เย่หยวนหลับตาหลอมมันก็ยังไม่แย่ขนาดนี้

แต่ในสายตาของผู้อื่นแล้วเรื่องมันไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย

ทุกคนรู้มาจากปากของกงหลินแล้วว่านี่เป็นครั้งแรกที่เย่หยวนได้หลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ แต่เขาคนนี้กลับหลอมได้คุณภาพถึงขั้นยอดเยี่ยม!

พรสวรรค์นี้มันทำให้ผู้คนสิ้นหวังจริงๆ

กล้ามเนื้อบนใบหน้าของมู่หยวนชุนกระตุกสั่น เขาคิดว่าตัวเองน่าจะแสดงความเหนือล้ำกว่าเย่หยวนออกมาได้ในการหลอมจริง แต่ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าจะต้องมาพ่ายแพ้ลงอีก

ขั้นสูงปะทะขั้นยอดเยี่ยม มันเป็นความพ่ายแพ้ที่ราบคาบ!

สำหรับนักหลอมโอสถแล้วการจะหลอมให้ได้คุณภาพเหนือขั้นสูงนั้นเป็นอะไรที่แสนยากเย็น

กับนักหลอมโอสถทั่วๆ ไปแล้วการจะหลอมโอสถขั้นสูงขึ้นไปได้ไหมนั้นล้วนแล้วแต่ต้องพึ่งดวงชะตา

แต่นี่เป็นครั้งแรกของเย่หยวน!

“อืม ดูเหมือนข้าจะผ่านสินะ” เย่หยวนบอกออกมาอย่างโล่งใจ

เรื่องที่ผ่านการทดสอบนี้มันย่อมไม่ได้สร้างความตื่นเต้นดีใจให้เย่หยวนเหมือนคนอื่นๆ แต่ตอนนี้เขาได้รู้แน่แล้วว่าพวกผู้อาวุโสกำลังจับตามองตัวเขาอยู่

ฉีหยูพยักหน้าบอก “ในการทดสอบครั้งนี้มีผู้ที่ผ่านคือเย่หยวน มู่หยวนชุน และกู่หง คนทั้งสามนี้จะผ่านเข้าไปเป็นนักบวชฝึกหัดแห่งเมืองจักรพรรดิต้นทรราชเรา คนอื่นๆ ก็จงพยายามกันต่อไป ประตูวิหารเราเปิดต้อนรับผู้คนเสมอ”

แม้ว่าคนอื่นๆ จะผิดหวังแต่พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมรับมัน

การทดสอบนักบวชนั้นมันไม่ได้เป็นเรื่องง่ายๆ เลย

หลังจากทุกคนแยกย้ายกันไป ฉีหยูก็บอกกงหลิน “กงหลิน เจ้าพามู่หยวนชุนกับกู่หงไปก่อน เย่หยวนเจ้าอยู่ต่อ หลังเจ้าจัดการเรื่องใดๆ แล้วจงกลับมาอีกครั้ง”

กงหลินนั้นตื่นตกใจอย่างมากแต่ก็ตอบรับคำไป “ขอรับ!”

มู่หยวนชุนมีสีหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดี จิตใจของเขาปั่นป่วนไปจนถึงที่สุด

เดิมทีเกียรติต่างๆ เหล่านี้มันควรจะตกเป็นของเขา

แต่ตอนนี้ทุกสิ่งอย่างกลับไปลงที่เย่หยวนจนหมด

หลังจากคนทั้งสามจากไป ฉีหยูก็หันไปบอกเย่หยวนด้วยสีหน้านิ่งเฉย “เย่หยวน ข้าอยากเห็นฝีมือของเจ้าตอนหลอมโอสถศักดิ์สิทธิ์ดู!”

เย่หยวนยิ้มตอบ “ขอรับท่านผู้อาวุโส!”

เมื่อเขาได้โอกาสแสดงฝีมือ เย่หยวนก็ไม่คิดจะปิดบังใดๆ อีก

จากนั้นเย่หยวนก็เริ่มทำการหลอมโอสถที่มีระดับความยากเดียวกันกับโอสถเมฆานิลฝนมายา

เมื่อเขาหลอมมันจนเสร็จ เขาก็ได้พบว่าพวกฉีหยูทั้งสามคนนั้นมองมายังเขาราวกับว่าเขานั้นเป็นสัตว์ประหลาด

ชื่อเสียงด้านโอสถของเย่หยวนนั้นมันเลื่องลือไปทั่วทั้งสันเขาใต้แล้ว

แต่ในดินแดนอาณาจักรเทพอสูรอันห่างไกลนี้มันย่อมไม่มีใครเคยพบเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อน

เมื่อเย่หยวนคิดลงมือ เขาก็ทำให้นักบวชห้าดาวทั้งสามคนต้องตื่นตะลึงอย่างถึงที่สุด

“ไม่แปลกใจเลยจริงๆ! ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าจะเริ่มได้เร็วขนาดนี้! ที่แท้เจ้าก็มีฝีมือด้านโอสถที่สูงล้ำมาก่อนแล้ว!” ฉีหยูบอก

“ด้วยอายุเท่านี้กลับมีความเข้าใจศาสตร์แห่งโอสถถึงระดับปรมาจารย์ ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ!” ผู้อาวุโสอีกคนพูดเสริม

คนทั้งสามนั้นย่อมมองออกมานานแล้วว่าเย่หยวนมีพลังฝีมือที่เหนือล้ำ แต่พวกเขาก็ไม่ได้คิดได้ฝันเลยว่ามันจะสูงส่งได้ถึงขนาดนี้

แม้แต่พวกเขาเหล่านักบวชห้าดาวเองก็ไม่มีปัญญาจะไปเทียบเคียงกับฝีมือของเย่หยวนได้เลย!

เย่หยวนยิ้มตอบ “ผู้อาวุโสทั้งสามชมข้าเกินไปแล้ว เย่หยวนผู้นี้ไม่ได้รู้เรื่องราวใดๆ เกี่ยวกับโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์เลยแต่คิดอยากรู้ถึงมัน เพื่อการนั้นข้าถึงได้เดินทางมายังอาณาจักรเทพอสูรนี้จากแดนไกล ทั้งหมดนี้ก็เพื่อจะได้เรียนรู้การหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์จากท่านผู้อาวุโสทั้งหลาย!”

ฉีหยูพยักหน้ารับ “เอาล่ะ เช่นนั้นเจ้าก็จงอยู่เรียนรู้ไปพร้อมๆ กับนักบวชฝึกหัดคนอื่นๆ”

เย่หยวนตอบกลับไป “ขอรับผู้อาวุโส!”

หลังจากเย่หยวนเดินออกไปแล้วคนทั้งสามก็มีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นทันที

“ผู้อาวุโสฉีหยู ท่านคิดอะไรอยู่?” ผู้อาวุโสนามคูมู่ถามขึ้น

ผู้อาวุโสอีกคนนามนิคุนจึงเสริม “ผู้อาวุโสฉีหยู ท่านจะมาทำตัวอ่อนแอเช่นนี้ไม่ได้นา ต่อให้เด็กหนุ่มคนนี้มันจะมีสายเลือดอสูรแต่มันก็คงอยู่ในดินแดนมนุษย์มานานและวางแผนร้ายบางอย่างไว้แน่ ของเช่นนี้สังหารให้มันจบๆ ไปจะไม่ดีกว่ารึ?”

ฉีหยูหยุดไปนิดก่อนจะตอบ “การสังหารย่อมจัดการมันลงได้ง่ายดาย แต่มันจะมีประโยชน์ใดกับเรา? เมื่อเทียบกับมนุษย์แล้วอสูรเรามียอดนักหลอมโอสถอยู่แค่หยิบมือ! ด้วยความสามารถของเจ้าเด็กคนนี้หากเราใช้ประโยชน์จากมันได้ มันก็ย่อมจะกลายเป็นยอดคนในเผ่าอสูรในวันหน้าแน่! เรื่องใดที่สำคัญกว่ากันพวกเจ้าคิดไม่ออกหรือ?”

เมื่อคำพูดเหล่านั้นถูกกล่าวออกมา ผู้อาวุโสทั้งสองก็เงียบปากไปทันที

หากเปรียบกับมนุษย์แล้ว ศาสตร์ด้านโอสถของอสูรนั้นตามหลังอย่างเทียบไม่ได้

เรื่องทั้งหลายนี้มันตัดสินโดยผู้มีพรสวรรค์ เผ่าอสูรไม่มีทางพัฒนาใดๆ ไปได้นอกจากนี้

และในด้านการจัดการและทำเรื่องละเอียดอ่อนเช่นนี้ มนุษย์นั้นเก่งกาจกว่าอสูรทั้งหลายมากนัก

นี่จึงทำให้คุณภาพของโอสถนั้นแตกต่างกันออกไปอีก

เมื่อตอนนี้เมื่อมีเย่หยวนผู้มีพรสวรรค์จนทำให้ผู้คนสิ้นหวังปรากฏตัวออกมา มีหรือที่ฉีหยูจะปล่อยมันผ่านไป?

“แล้วท่านจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเขาจะปล่อยให้เราใช้? อย่าได้ลืมไปเล่าว่านี่คือการหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ครั้งแรกของเขา มันหมายความว่าเขาอยู่ในดินแดนมนุษย์มาตลอดชีวิต!” นิคุนบอก

ฉีหยูเองก็พยักหน้ารับ “ในสายตาข้านั้นเขาคนนี้ไม่ได้มาที่อาณาจักรเทพอสูรเราเพื่อตามหาความรู้แน่ๆ อย่างน้อยๆ มันก็ต้องไม่ใช่เพราะความกระหายอยากได้ความรู้ เขาต้องมีเป้าหมายอื่น! แต่เรื่องราวเหล่านี้เราควรไปรายงานท่านหัวหน้านักบวชและให้เขาตัดสินใจอีกที”

แน่นอนว่าคนทั้งสองไม่คิดที่จะคัดค้านใดๆ อีก

เย่หยวนย่อมรู้ดีว่าฉีหยูนั้นไม่เชื่อคำของเขาแน่ๆ เรื่องที่ว่าสนใจโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์จนอยากเรียนรู้อะไรนั่น เด็กสามขวบก็ยังมองออก

ก่อนที่เขาจะมานั้นเย่หยวนได้คำนวณถึงเรื่องราวความอันตรายต่างๆ ไว้จนสิ้น

สถานการณ์ของเหล่านักบวชอสูรนี้เย่หยวนเองก็พอจะเข้าใจได้เช่นกัน

เพราะฉะนั้นเขาจึงทิ้งวิธีการเดิมและพยายามแสดงฝีมือของตัวเองออกมาอย่างถึงที่สุดแทนเพื่อที่จะให้ทางวิหารเห็นคุณค่าของตัวเขา

และแน่นอนว่าเป้าหมายนี้มันสำเร็จ

กงหลินพาเย่หยวนมายังตึกใหญ่แห่งหนึ่งด้านหลังวิหาร “นี่คือสถานที่ที่เหล่านักบวชฝึกหัดพักอาศัย เจ้าเพิ่งเข้าวิหารมาและยังเป็นแค่นักบวชฝึกหัดคนหนึ่ง นี่คือชุดนักบวชฝึกหัดของเจ้า ข้าคิดว่าเจ้าเองก็น่าจะรู้ดีแต่วิหารนักบวชเราไม่เลี้ยงขยะหรอกนะ เหล่าทรัพยากรต่างๆ ที่เจ้าต้องการจึงต้องแลกมาด้วยคะแนนความดีทั้งสิ้น”

เย่หยวนรับชุดนักบวชฝึกหัดมาด้วยรอยยิ้ม “ขอบพระคุณศิษย์พี่กง!”

กงหลินพยักหน้ารับและเดินจากไป

เขานั้นมึนงงอยู่ในหัวมาก ด้วยพลังฝีมือระดับเย่หยวน เขาคิดไปเสียว่าผู้อาวุโสทั้งสามน่าจะรับเขาคนนี้ไปเป็นศิษย์โดยตรง

แต่เมื่อเรื่องกลายเป็นเช่นนี้มันก็ย่อมหมายความว่าพวกเขาไม่รับ

ฉีหยูถึงขั้นบอกให้เขาพาเย่หยวนมายังที่พักและไม่ได้สั่งใดๆ อีก

หมายความว่าอาจารย์ของเขาอยากให้เจ้าหนุ่มคนนี้ทำเรื่องราวตามปกติธรรมดา?

เรื่องที่ฉีหยูคิด เขานั้นไม่มีทางคาดเดาออกได้ เขาจึงพาเย่หยวนมายังที่พักตามปกติ

“หึ มากพรสวรรค์แล้วทำไม? ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าเจ้าจะอยู่รอดในนี้ได้นานแค่ไหน” กงหลินบ่นออกมา

เขานั้นเป็นนักบวชที่อายุน้อยที่สุดแต่กลับต้องเสียหน้าไปเพราะเย่หยวน มีหรือที่เขาจะไม่เก็บเรื่องนี้มาคิดแค้นในใจได้?

เมื่อได้เห็นว่าเหล่าผู้อาวุโสไม่คิดจะรับเย่หยวนเป็นศิษย์โดยตรง มันก็น่าจะหมายความว่าพวกเขานั้นยังไม่ไว้ใจเย่หยวน

เช่นนั้นหากปล่อยให้เขาได้เจอความลำบากหรือถึงขั้นสูญเสียตัวตนไปบ้างมันก็คงไม่ผิดอะไร

ในหมู่นักบวชฝึกหัดนั้นมันมีจิ้งจอกเฒ่าอยู่หลายต่อหลายคน เย่หยวนย่อมไม่มีทางหาประโยชน์ใดๆ ได้จากที่นี่

เพราะอย่างไรเสียเย่หยวนก็เป็นเพียงแค่นักยุทธอาณาจักรราชันพระเจ้าสี่ดาวเท่านั้น

…………………………