อวิ๋นเยี่ยรับหมวกมาจากมือเซี่ยวชังเซิง ในหมวกใส่ยางไม้สีน้ำตาลไว้เจ็ดแปดก้อน มีกลิ่นหอมจางๆ โชยออกมา ยังไม่ทันได้สกัดออกมาก็ทำให้คนมึนเมาได้ หากสกัดเป็นน้ำมันออกมาคาดว่ากลิ่นคงจะเข้มข้นกว่านี้
“ท่านโหว นี่คือกำยานชั้นดีที่สุด ของแบบนี้มีผลิตแค่ที่ประเทศของคนผิวสีดำเท่านั้น”
“ก้อนจี้คริสตัลหนึ่งอันจะสามารถใช้แลกม้าชั้นดีห้าตัวได้หรือไม่?”
เซี่ยวชังเซิงชะงักไปครู่หนึ่ง เขาส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่มีทาง ท่านโหว ก้อนจี้คริสตัลหนึ่งอันแลกม้าดีมากสุดได้เพียงแค่หนึ่งตัว พวกม้าชั้นดีที่ใช้ในศึกสงครามนั้นไม่มีทางแลกมาได้”
อวิ๋นเยี่ยคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดกับเซี่ยวชังเซิงว่า “เจ้าไปนำเครื่องประดับข้ากลับมา จากนั้นให้จูงม้าศึกที่เหลืออีกเจ็ดตัวกลับมาด้วย บอกพวกพ่อค้าเหล่านั้นว่าข้าจะรออยู่ที่ข้างก้อนหิน พวกเขามีเวลาเพียงหนึ่งก้านธูปในการพูดเกลี้ยกล่อมข้า”
อู๋เสอหัวเราะเสียงดังเหมือนอีกา หงเฉิงรู้สึกเหมือนตัวเองพึ่งจะรู้จักอวิ๋นเยี่ยเป็นครั้งแรก ชี้ไปที่เซี่ยวชังเซิงที่เดินจากไปไกล จากนั้นก็กลับมาชี้อวิ๋นเยี่ย แล้วลูบหัวตัวเองอย่างงงๆ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมอวิ๋นเยี่ยถึงทำเรื่องไร้ยางอายได้อย่างเปิดเผยเช่นนี้ ทำเหมือนว่าพวกชาวหูเหล่านั้นเป็นคนเอาเปรียบพวกเรา
อู๋เสอตบที่บ่าของเขาเบาๆ แล้วพูดว่า “ตอนนี้เข้าใจแล้วใช่ไหมว่าทำไมเขาถึงได้เป็นท่านโหว ส่วนเจ้าเป็นได้แค่ขุนนาง แล้วยังมักจะถูกฝ่าบาทสั่งให้ไปที่โน่นทีที่นี่ที ต้องฆ่าคนอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเพื่อล่าแต้ม เทียบไม่ได้กับท่านโหวที่ได้รับทั้งรางวัลและทั้งซื้อใจคนได้ สุดท้ายราชสำนักก็ได้ผลประโยชน์ด้วยเช่นกัน คนแบบนี้มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้บังคับบัญชาโดยกำเนิด เจ้ากับข้าทำหน้าที่ทาสรับใช้ให้ดีก็พอ อย่าไปคิดอะไรซับซ้อนวุ่นวาย โลกใบนี้เป็นของพวกเขา ไม่เกี่ยวกับข้าและเจ้า”
วั่งไฉรีบเดินวนรอบๆ ม้าตัวเมียทั้งห้าตัว แต่ม้าตัวเมียเหล่านั้นดูเหมือนจะไม่สนใจมัน พึ่งจะวิ่งเข้าไปหา ม้าตัวเมียก็พากันวิ่งหนี วั่งไฉร้องเสียงดังอย่างกระวนกระวายใจ
“ท่านโหว เนื่องจากว่าม้าเหล่านี้เหนื่อยล้าจากการเดินทาง จนถึงตอนนี้ยังไม่ติดสัตว์ คาดว่าวั่งไฉน่าจะเสียแรงเปล่าแล้ว” ตระกูลอวิ๋นมีคนชำนาญการเลี้ยงม้า เพียงแค่สังเกตม้าตัวเมียพวกนั้นก็เข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
พ่อค้าที่บนหัวมีผ้าโพกหัวสามคนเดินตามเซี่ยวชังเซิงมาเจออวิ๋นเยี่ย เอามือทาบอกเพื่อแสดงความเคารพ แล้วยังพูดออกมาหนึ่งประโยคอย่างรวดเร็ว
เซี่ยวชังเซิงฟังสักครู่แล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ท่านโหวที่เคารพ อาลาดินเพื่อนที่ซื่อสัตย์ของท่านขอแสดงความทักทายต่อท่าน ได้เจอกับท่านที่ริมทะเลแสนสวยงามแห่งนี้ นี่คือสิ่งที่อัลลอฮ์กำหนดไว้”
อาลาดินอ้วนมาก อ้วนมากจริงๆ เพียงแค่โค้งตัวลงคำนับก็สามารถทำให้เขาหอบได้แล้วไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน อวิ๋นเยี่ยมักจะรู้สึกดีต่อพ่อค้าที่อ้วนท้วนสมบูรณ์อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเหอเซ่าหรือพวกพ่อค้าคนอื่นๆ เพราะมักจะรู้สึกว่าท้องอันใหญ่โตของพวกเขาแสดงถึงทรัพย์สินเงินทองจำนวนมาก
“ท่านโหวที่เคารพ แม่น้ำทั้งสองสายนี้เป็นของขวัญจากอัลลอฮ์ที่มอบให้แก่ชาวทะเลทราย ทุกปีหลังจากน้ำท่วมข้าวบาร์เลย์ก็จะงอกขึ้นมา ที่นั่นเป็นสวรรค์ที่เต็มไปด้วยน้ำผึ้งและนม และก็เป็นบ้านเกิดของอาลาดิน”
“อาลาดิน เจ้าเดินทางมาไกลนับหมื่นลี้จนมาถึงประเทศของพวกเรา เจ้าอยากได้อะไร? ตามที่ข้ารู้มาพ่อค้าจะไม่ลงทุนโดยไม่หวังผลตอบแทน เจ้าบอกมาเถอะ หากไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรข้าก็จะช่วยอำนวยความสะดวกให้เจ้า แต่แน่นอนว่าทุกอย่างจะต้องอยู่ภายในขอบเขตอำนาจของข้าเท่านั้น”
อาลาดินนั่งลงคำนับแทบเท้าของอวิ๋นเยี่ย จูบรองเท้าบูธของอวิ๋นเยี่ยอย่างสิ้นหวัง พูดติดๆ ขัดๆ ดูเหมือนจะเสียใจเป็นอย่างมาก
“ท่านโหวที่เคารพ ขอท่านได้โปรดช่วยอาลาดินผู้น่าสงสาร โจรสลัดได้ขโมยเรือของข้าไปสามลำ ลูกชายตัวน้อยที่น่ารักของข้าก็ถูกพวกเขาจับตัวไปเช่นกัน พวกเขาอยู่ในทะเลไม่ไกลจากที่นี่ พวกเขากำลังรอกองทัพเรือของท่านออกเดินทาง จากนั้นก็เตรียมปล้นกองทัพเรือของท่านในมหาสุมทร ตอนนี้ลมพายุของอัลลอฮ์ได้พัดขึ้นแล้ว ข้าได้นำเรือเพียงหนึ่งลำฝ่าฟันลมมรสุมของทะเลอย่างยากลำบากจนถูกพัดมาถึงที่นี่ นี่คือสิ่งที่อัลลอฮ์ได้กำหนดไว้ เพื่อให้ข้าได้มาบอกแด่ท่านว่ามีภัยที่น่ากลัวรออยู่”
อวิ๋นเยี่ยขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว โจรสลัดอาหรับมาถึงที่นี่แล้ว? หรือว่าเส้นทางแอฟริกาตะวันออกได้เปิดออกแล้ว มุฮัมมัดน่าจะเสียชีวิตลงแล้ว ตอนนี้เคาะลีฟะฮ์คงจะเป็นบุคคลที่โดดเด่นมากที่สุด หรือว่าพวกเขาต้องการจะสืบทอดความปรารถนาที่จะครอบครองที่ดินของมุฮัมมัด จึงได้ริเริ่มกระบวนการมือหนึ่งถือคัมภีร์อัลกุรอานอีกมือหนึ่งถือดาบตามปรัชญาของมิชชันนารีเพื่อเผยแผ่พระประสงค์ของอัลลอฮ์ไปทั่วโลก? เปอร์เซียยังไม่ดับสลาย พวกเขามีสิทธิ์อะไรกล้าคิดมาโจมตีต้าถัง
“อาลาดิน คนที่มาเป็นกองทัพทหารหรือว่าเป็นโจรสลัด”
“ท่านโหวที่เคารพ คนพวกนั้นเป็นทั้งกองทัพทหารแล้วก็เป็นโจรสลัด พวกเขายอมรับการปกครองของเคาะลีฟะฮ์ แต่กลับไม่ยอมรับการเกณฑ์ไพร่พลของเคาะลีฟะฮ์ อาศัยที่ว่าตัวเองมีพรรคพวกมากจึงทำการปิดกั้นช่องแคบ อาลาดินข้ามช่องแคบทะเลออกมาได้อย่างไม่คิดชีวิตจนถูกพวกเขาตามฆ่าตลอดทาง แต่เพราะมีอัลลอฮ์อวยพรทำให้มาถึงดินแดนจงหยวนอย่างปลอดภัย ทว่าเดิมทีเรือทั้งหมดมีสี่ลำเวลานี้เหลือเพียงลำเดียว ตอนนี้ลูกชายที่น่าสงสารของข้าต้องถูกนำไปขายเป็นทาสแน่แล้ว อัลลอฮ์ไม่มีทางจะปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรมกับข้า ขอให้ท่านโหวผู้ยิ่งใหญ่ช่วยลูกข้าด้วย ข้ายอมมอบสินค้าทั้งหมดที่ข้านำมาให้แด่ท่าน”
“พวกเขามีทั้งหมดกี่คน มีเรือกี่ลำ แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน”
“ท่านโหวที่เคารพ โจรสลัดพวกนั้นมีเรือทั้งหมดสิบห้าลำ บนเรือทุกลำมีคนทั้งหมดแปดสิบคน แล้วยังมีทาสรับใช้บนเรืออีกด้วย รวมกันเป็นหนึ่งร้อยสิบคน พวกเขาเฝ้าอยู่ที่ทางออกของอ่าว ที่นั่นมีเกาะเล็กๆ อยู่แห่งหนึ่ง คอยเฝ้าปากอ่าวไว้ไม่ให้พวกเราออกมา”
อวิ๋นเยี่ยรู้สึกโมโห พูดกับหลิวจิ้นเป่าว่า “เฝ้าพวกเขาไว้ให้ดี ไม่อนุญาตให้พวกเขาไปไหนทั้งนั้น หากใครออกไปโดยไม่ได้รับอนุญาตให้ตัดหัวทันที!”
เรียกขุนนางระดับผู้บัญชาการขึ้นไปมารวมตัวกันที่กระโจมเพื่อประชุม เตรียมคิดหากลยุทธ์ที่จะใช้ในการสังหารโจรสลัดเหล่านี้เพื่อกำจัดอุปสรรคในการเข้าอ่าว แต่ว่าพึ่งจะพูดจบในกระโจมก็เริ่มเกิดความวุ่นวาย
พอได้ยินข่าวว่ามีโจรสลัด เหล่าทหารก็รู้สึกครึกครื้นขึ้นมา มีหลายคนที่พากันขอบคุณเซี่ยวชังเซิงที่ส่งโจรสลัดมาให้พวกเขาจัดการ จากนั้นก็พากันรีบวิ่งไปยังเรือรบของตัวเอง เตรียมพร้อมเดินเรือ สวรรค์ทรงโปรด นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่ได้ยินข่าวว่ามีโจรสลัด
สองปีหรือว่าสามปี? นี่คือแหล่งขุมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดของกองทัพเรือ ครั้งนี้มีเรือโจรสลัดถึงสิบห้าลำ และยังเป็นโจรสลัดที่พึ่งจะปล้นพ่อค้ารายใหญ่มา ในบรรดาพวกที่ถือหอกแทงปลาพากันกล้าที่จะโจมตีโจรสลัด ดูเหมือนว่าในสายตาของพวกเขามีเพียงเสบียงอาหารและประโยชน์ทางทหารอย่างนับไม่ถ้วนรออยู่ โจรสลัดพวกนี้เป็นสิ่งล้ำค่า เป็นผลประโยชน์ของกองทัพทหาร ราชสำนักเคยสรุปไว้ว่าจับหรือฆ่าโจรสลัดก็เท่ากับฆ่าศัตรู กองทัพเรือจะหาโอกาสทำผลงานได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งปีก็ได้แต่ล่องเรือไปตามแม่น้ำ ขนย้ายสิ่งของจากตะวันออกไปยังตะวันตก จากนั้นก็ขนสิ่งของจากตะวันตกไปตะวันออก อย่าว่าแต่ไม่ได้เจอโจรสลัดเลย แม้แต่โจรโง่ๆ ก็ยังเจอได้ไม่มากนัก ทหารที่มีอายุมากแล้วในกองทัพ เมื่อได้ยินข่าวครั้งนี้ก็เกิดความกระตือรือร้นขึ้นมา โอกาสเช่นนี้หาได้ยากยิ่ง
จนคนทั้งกระโจมวิ่งออกไปหมดแล้วอวิ๋นเยี่ยถึงนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองนั้นยังไม่ได้ออกคำสั่ง หลิวเหรินย่วนเดินเข้ามาในกระโจมแล้วลากอวิ๋นเยี่ยวิ่งออกไปด้านนอกด้วยกัน “อาจารย์ ท่านยังรออะไรอยู่ พวกเราต้องรีบออกเดินทาง หากรอช้าจะไม่มีโอกาสแล้ว”
เดินขึ้นเรือด้วยความมึนงง อาศัยความมีสติออกคำสั่งให้ซุนเหรินซือพาทหารที่ชำนาญการทางน้ำจากแม่น้ำแยงซีเกียงมาเฝ้าสมบัติและเสบียงอาหารไว้ ส่วนตัวเองก็นั่งเรือของหลิวเหรินย่วนเพื่อออกเดินทาง มองดูซุนเหรินซือกำลังเกลี้ยกล่อมกัปตันเรือที่โกรธเกรี้ยวอยู่ไกลๆ
กองทัพเรือทั้งหมดในทะเลแล่นต่อตัวกันเป็นลูกศรสามดอกอย่างเป็นธรรมชาติ บนเรือกางใบเต็มลำ หัวเรือแหวกคลื่นพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว นี่เป็นกลยุทธหรือ อวิ๋นเยี่ยมองไม่ออกเลยแม้แต่น้อย
“หลิวเหรินย่วน พวกเราบุกไปอย่างกลับผึ้งทั้งรัง หากติดกับจะทำเช่นไร”
“อาจารย์ ในทะเลไม่มีอะไรกั้นขวางได้ หากต้องการซุ่มโจมตีก็ต้องดูลักษณะของน่านน้ำ ผู้บังคับบัญชาการเหล่านี้แทบจะอยู่กินบนเรือเป็นเวลาหลายช่วงชีวิต พวกเขาคุ้นเคยกับการปกครองน่านน้ำมานานแล้ว ท่านไม่เห็นหรือว่าพวกเขาเตรียมการบุกโจมตีศัตรูไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว มีทั้งหน่วยสนับสนุนและกองปฐมพยาบาล ในการสู้รบกันบนน้ำมักจะเปรียบเทียบว่าเรือใครใหญ่กว่า เรือใครเยอะกว่า เป็นไปไม่ได้ที่ชาวหูจะส่งกองทัพเรือขนาดใหญ่มาที่ประตูของเรา เส้นทางไกลเกินไป จากที่นี่ไปถึงต้าสือ หากแล่นไปตามลมและสายน้ำก็ต้องใช้เวลาถึงเก้าสิบวัน ตอนนี้มีลมมรสุมถือว่าเป็นประโยชน์สำหรับพวกเรา หากพวกเขาจะหนีก็ต้องล่องไปตามลม เนื้อก้อนใหญ่ขนาดนี้หากไม่กินพระเจ้าจะโกรธเอาได้”
“แต่ว่าพวกเขาได้ฟังข่าวของศัตรูเท่านั้น ไม่ได้รับคำสั่งก็ออกกระทำการโดยพละการนี่ถือเป็นโทษใหญ่” อวิ๋นเยี่ยไม่ชอบพฤติกรรมที่ไร้ระเบียบวินัยของพวกเขา
“ท่านโหว ท่านจะออกคำสั่งอะไร ต่อให้ท่านออกคำสั่งก็จะถูกพวกเขาเปลี่ยนแปลงคำสั่งทั้งหมด ต้าถังของพวกเราตอนนี้ไม่ไปหาเรื่องคนอื่น พวกเขาจะแอบหัวเราะเยาะเอาได้ ในเมื่อกล้าวิ่งมาที่ประตูบ้านของพวกเรา แล้วยังจะมาปิดล้อมอ่าว พวกเราควรเป็นคนทำเรื่องพวกนี้ คอยไปรบกวนหน้าประตูบ้านของคนอื่นอย่างเช่นเมืองเกาลี่ เมืองชิลลา แต่ตอนนี้กลับเป็นคนอื่นที่ล้อมปิดประตูพวกเรา ตอนนี้มีเรือรบขนาดกลางเกือบร้อยลำไม่ได้ใช้งาน ท่านคิดว่าคนเหล่านี้จะทนได้หรือไม่”
ช่างเถอะ อวิ๋นเยี่ยนั่งลงบนเก้าอี้อย่างหมดหนทาง ตงอวี๋ใส่ชุดของตัวเองเรียบร้อยแล้ว ที่จริงก็แค่เอาเชือกหนึ่งเส้นมาผูกไว้ที่เอว ที่เชือกผูกเอวมีตะขอขนาดใหญ่แขวนอยู่ และยังมีเชือกที่ทำจากหนังปลาฉลาม เห็นได้ชัดว่าเขาเอาไว้ใช้ปีนขึ้นเรือคนอื่น ในมือยังถือมีดอันแหลมคม คาบมีดสั้นไว้ในปาก มีอาวุธซ่อนไว้ทั้งตัว คนที่ทำแบบนี้ไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว ข้างหลังยังมีชายไม่ใส่เสื้ออีกหลายคนช่วยกันเร่งให้เรือแล่นเร็วขึ้น
หลิวเหรินย่วนเดินไปเดินมาไม่หยุด ตะโกนออกมาเสียงดังให้เอาผ้าคลุมหน้าไม้สามขาออก ชายฉกรรจ์ห้าคนส่งเสียงดังสร้างความฮึกเหิมระหว่างลากหน้าไม้ยักษ์ไปประจำที่ ทันใดนั้นก็มีผู้ชายตอกลิ่มเข้าไปที่แผ่นกั้น หอกเหล็กสามอันวางอยู่บนช่องใส่ลูกศร ที่ท้ายด้ามหอกยังมีเชือกขนาดใหญ่ผูกไว้ด้วย
ทันใดนั้นชายที่ยืนอยู่บนเสาเรือก็ตะโกนขึ้นมาว่า “มีเรือ อยู่ทางด้านซ้าย สามลำ” ตะโกนแต่ละคำออกมาอย่างชัดเจน นี่คือผลจากการถูกฝึกฝนมาหลายปี
เรือในกองทัพสิบลำแล่นแยกออกจากกองทัพอย่างรวดเร็ว มุ่งหน้าไปทางเรือสามลำของชาวหูและขนาบลำเรือเข้าใกล้ทันที เรือสามลำนั้นเห็นกองทัพเรือขนาดใหญ่เช่นนี้ก็วางแผนที่จะหันหัวเรือเตรียมถอยแต่ทิศทางลมไม่เข้าข้างคนเหล่านั้น เรือของต้าถังตีวงล้อมเป็นวงกลมวงใหญ่ หากต้องการถอยลำกลับไปก็ต้องฝ่าเรือทั้งกองทัพออกไป
“เรือชาวหูไม่เห็นจะใหญ่เลย” อวิ๋นเยี่ยหันไปพูดกับหลิวเหรินย่วน
“ท่านโหว ชาวหูมีเรือแล่นในทะเลได้ก็ถือว่าสุดยอดแล้ว หากจะหวังว่าต้องมีเรือลำใหญ่คงเป็นไปไม่ได้ เรือสามลำนี้พวกเราคงไม่ได้ส่วนแบ่งแล้ว” มองดูเรือสิบลำของตัวเองแล่นเข้าใกล้เรือของชาวหูมากขึ้นเรื่อยๆ หลิวเหรินย่วนก็ทุบขอบเรืออย่างไม่พอใจ
ทันใดนั้นก็มีก้อนสีดำพุ่งออกมาจากเรือของศัตรูไปยังเรือของต้าถัง ส่วนใหญ่ตกลงในทะเล มีเพียงหนึ่งถึงสองก้อนที่ตกลงบนเรือ หัวใจของอวิ๋นเยี่ยเต้นถี่เร็วขึ้นอย่างไม่รู้ตัว