บทที่ 622 ข้าชอบคนเดียว

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 622 ข้าชอบคนเดียว

“ไม่มีทางหรอกขอรับ”

หลินเป่ยเฉินพูด “ข้าน้อยปากดีมาโดยกำเนิด แต่ฝีมือการต่อสู้นั้นต้องผ่านการฝึกฝน จะอย่างไรก็คงไล่กันไม่ทันอยู่แล้ว”

เด็กหนุ่มยันตัวลุกขึ้นนั่งและรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่แล่นพล่านไปทั่วร่างกาย ทว่า สุดท้ายก็อดกัดฟันยิ้มออกมาไม่ได้ “โอ๊ย เจ็บจังเลยขอรับ… รบกวนท่านนักพรตช่วยรักษาอาการบาดเจ็บให้ข้าน้อยสักหน่อยได้หรือไม่ ข้าน้อยเกรงว่ากระดูกคงแตกหักไปหลายส่วนแล้ว”

“เจ้าเยียวยาตัวเองไปเถิด”

นักพรตหญิงชินตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงไร้ความรู้สึก “ที่นี่เป็นอาณาเขตที่อยู่ในการปกครองของชาวทะเล ข้าไม่สามารถใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ของเทพีกระบี่”

หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้ว “แต่เมื่อสักครู่นี้ ท่านเพิ่งใช้พลังศักดิ์สิทธิ์เอาชนะคนที่ชื่อว่าหยวนหลิวเฟิงไม่ใช่หรือขอรับ?”

นักพรตหญิงชินยังคงตอบด้วยสีหน้าเฉยเมย “นั่นเป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ชุดสุดท้าย บัดนี้ ข้าไม่เหลือพลังอยู่ในร่างกายอีกแล้ว”

หลินเป่ยเฉินเบิกตาโต

ทำไมเขาถึงรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังโดนหลอกอยู่อย่างไรชอบกล

เด็กหนุ่มอดทนข่มความเจ็บปวดจากกระดูกที่แตกหักหลายท่อนในร่างกาย ล้วงมือหยิบโอสถหกสวรรค์ออกมายัดใส่ปากแล้วกลืนลงคอ

ทันใดนั้น มวลพลังงานสายหนึ่งก็ไหลเวียนไปทั่วร่างกาย

พลังลมปราณที่แห้งเหือดไปพลันฟื้นฟูกลับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

หลินเป่ยเฉินโคจรพลังลมปราณไปตามส่วนที่เกิดความเสียหายในร่างกาย และอาการบาดเจ็บของเขาก็ทุเลาขึ้นอย่างช้าๆ

การต่อสู้กับไป๋ชินหยุนเมื่อสักครู่นี้ ทำให้หลินเป่ยเฉินได้รู้ซึ้งถึงคำว่าขีดจำกัดที่แท้จริง

จังหวะสุดท้ายตอนลอยตัวอยู่ในอากาศนั้น เขาอาศัยแรงถีบจากปืน 98k ส่งตัวเองมุดลงไปใต้ดิน เพราะไม้ตายทุกอย่างที่มีอยู่ในมือ หลินเป่ยเฉินก็ใช้ออกมาหมดสิ้น โชคดีที่เขามีพลังปราณธาตุดินจึงสามารถหยิบยืมพลังขึ้นมาจากพื้นดินได้สำเร็จ มิเช่นนั้น หลินเป่ยเฉินก็คงไม่มีทางสามารถต้านทานการโจมตีจากเพลงกระบี่สยบโลกาได้เด็ดขาด

แต่มันก็ทำให้เขาต้องใช้พลังลมปราณเป็นจำนวนมหาศาลเช่นกัน

มิหนำซ้ำ ร่างกายยังได้รับความบอบช้ำอย่างหนัก

ท้ายที่สุดเกือบเอาชีวิตไม่รอด

แต่บัดนี้ ด้วยความช่วยเหลือของโอสถหกสวรรค์ พลังลมปราณและอาการบาดเจ็บในร่างกายจึงบรรเทาเบาบางขึ้น ในเวลาเพียงหนึ่งก้านธูป สภาพร่างกายของหลินเป่ยเฉินก็แทบจะกลับมาเป็นปกติดังเดิม

“ข้าน้อยไม่เป็นไรแล้วขอรับ”

หลินเป่ยเฉินผุดลุกขึ้นยืน

นักพรตหญิงชินเพียงพยักหน้าและหมุนตัว ทำท่าจะเดินจากไป

“เอ๋?”

หลินเป่ยเฉินรีบเดินไปหาพร้อมกับพูดว่า “ไม่ทราบท่านนักพรตจะไปที่ใด?”

“ไปในที่ที่ข้าควรไป”

นักพรตหญิงชินตอบกลับมา น้ำเสียงเย็นชา

หลินเป่ยเฉินยิงฟันยิ้มกว้าง “ท่านเพิ่งสูญเสียพลังไปเป็นจำนวนมากระหว่างต่อสู้และเอาชนะหยวนหลิวเฟิง บัดนี้ คงไม่หลงเหลือพลังอยู่ในร่างกายสักเท่าไหร่ ให้ข้าน้อยได้มีโอกาสช่วยปกป้องท่านนักพรตบ้างนะขอรับ”

“ไม่ต้อง”

นักพรตหญิงชินพูดโดยไม่เหลียวหน้ากลับมามองด้วยซ้ำ…

“ไม่ทราบว่าท่านนักพรตจะไปที่นครเจาฮุยใช่หรือไม่?”

หลินเป่ยเฉินเปลี่ยนเสียงพูดเป็นจริงจังมากขึ้น “หากใช่ พวกเราเดินทางไปด้วยกันก็ย่อมได้ อย่างไรเสียเดินทางสองคน ก็ดีกว่าคนเดียวนะขอรับ”

“ข้าชอบคนเดียว”

นักพรตหญิงชินตอบกลับมา

“หืม? มันเป็นใครขอรับ? นักพรตหญิงชินชอบใครอยู่ขอรับ?”

หลินเป่ยเฉินเผลอหลุดปากถามกลับไปโดยไม่รู้ตัว

นักพรตหญิงชินถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง

“ข้าหมายความว่าข้าชอบเดินทางคนเดียว”

จังหวะนั้น หัวหน้านักบวชสาวก็หมุนตัวกลับมามองหน้าหลินเป่ยเฉินและพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนลงเล็กน้อย “เจ้าเองก็หยุดสร้างความวุ่นวายได้แล้ว ไม่ต้องติดตามข้ามาหรอก ข้าไม่เป็นไร ยังมีชาวเมืองหยุนเมิ่งรอคอยเจ้าอยู่ เส้นทางสู่นครเจาฮุยหลังจากนี้จะไม่มีอะไรรบกวนพวกเจ้าอีก รีบกลับไปรักษาอาการบาดเจ็บของเจ้าเถิด… แล้วพวกเราจะได้พบกันใหม่”

พูดจบ นักพรตหญิงชินก็สะกิดปลายเท้าลงบนพื้นดิน

ร่างของนางพลิ้วไปข้างหน้าหลายร้อยวา

เพียงไม่กี่ลมหายใจ นักพรตหญิงชินก็หายลับไปจากสายตาแล้ว

หลินเป่ยเฉินได้แต่ยกมือบ๊ายบายด้วยความเศร้า ก่อนถอนหายใจออกมาอย่างสุดแสนจะเสียดาย

นักพรตหญิงชินไม่ยอมเดินทางไปพร้อมกับเขา

สงสัยคงจะอาย

แต่ไม่เป็นไรหรอก

เพราะในเวลาที่ชีวิตของหลินเป่ยเฉินตกอยู่ในอันตราย นักพรตหญิงชินก็ปรากฏตัวออกมาช่วยเหลือโดยทันที นี่แสดงให้เห็นว่านางก็ห่วงใยเขาอยู่ไม่ใช่น้อย ดีไม่ดีคงแอบติดตามเขามาตลอดเวลาเลยด้วยซ้ำ เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว นางคงไม่สามารถปรากฏตัวออกมาช่วยเหลือเขาได้ถูกที่ถูกเวลาเช่นนี้แน่

น่าซึ้งใจเหลือเกิน

อยากจะร้องไห้แล้วเนี่ย

นักพรตหญิงชินขอรับ ข้ายอมตายเพื่อท่านได้จริงๆ นะ

หลินเป่ยเฉินยืนจมอยู่ในภวังค์ของตนเองตรงนั้นอีกพักใหญ่ แต่สุดท้ายเขาก็หมุนตัวกลับมา และย่างสามขุมเข้าไปค้นตามตัวหยวนหลิวเฟิงผู้บาดเจ็บสาหัสและนอนสลบไม่ได้สติด้วยความตื่นเต้น

“นี่เจ้า…”

ทันใดนั้น หยวนหลิวเฟิงลืมตาตื่นขึ้นมาพอดี นายทหารหนุ่มรู้สึกเย็นเยียบไปถึงขั้วหัวใจขณะพูดว่า “เจ้ากำลังทำอะไร ปล่อยข้าไปเดี๋ยวนี้…”

ผลั่ก!

หลินเป่ยเฉินกระแทกหมัดต่อยใบหน้าฝ่ายตรงข้ามสร้างความมึนงง

หลังจากนั้น เขาก็ดึงวัตถุเก็บของวิเศษออกมาจากตัวของหยวนหลิวเฟิงครบหมดทุกชิ้น

“ในเมื่อเจ้าเป็นคนสนิทของเว่ยหมิงเฉิน ก็คงมีของดีพกติดตัวอยู่ไม่ใช่น้อย”

หลินเป่ยเฉินพูดออกมาด้วยความพึงพอใจ

ถึงแม้วัตถุเก็บของวิเศษเหล่านี้จะมีค่ายอาคมคุ้มกันแน่นหนา กว่าจะเปิดดูของที่อยู่ด้านในได้ คงต้องเสียเวลาไม่ใช่น้อย แต่เด็กหนุ่มก็มั่นใจว่ามันต้องคุ้มค่ากับเวลาที่เขาเสียไปแน่นอน

“ว่าแต่เราจะเอายังไงกับหมอนี่ดีวะเนี่ย ฆ่าทิ้งซะเลยดีไหม?”

หลินเป่ยเฉินก้มหน้ามองหยวนหลิวเฟิงที่หมดสติลงไปอีกครั้ง

หลังจากเสียเวลาขบคิดอยู่ชั่วครู่หนึ่ง สุดท้ายหลินเป่ยเฉินก็ไม่ได้ลงมือสังหาร แต่เขาเลือกที่จะปิดจุดพลังลมปราณของฝ่ายตรงข้าม ก่อนจะจับมัดมือมัดเท้าและยกขึ้นหลัง แบกหยวนหลิวเฟิงกลับไปยังค่ายพักแรมของชาวเมืองหยุนเมิ่ง

ตลอดระยะเวลา 10 วันหลังจากนั้น เหตุการณ์ดำเนินไปอย่างที่นักพรตหญิงชินบอกเอาไว้จริงๆ เส้นทางการอพยพของชาวเมืองหยุนเมิ่งปราศจากอุปสรรคขัดขวาง ไม่มีสัตว์ประหลาด ไม่มีวิญญาณร้าย ไม่มีแม้แต่สัตว์ป่าปรากฏตัวขึ้นมาสักครั้งเดียว

ทางด้านนักบวชหรงก็ยังคงเดินทางตามติดมาตลอดและช่วยอำนวยความสะดวกด้านการจัดหาที่พักแรมในอาณาเขตของชาวทะเลอย่างจริงจัง โดยที่นางก็ไม่เข้ามารบกวนการพักผ่อนของกลุ่มผู้อพยพแม้แต่น้อย

แต่เมื่อหลุดพ้นอาณาเขตของชาวทะเล และเข้าสู่ดินแดนซึ่งอยู่ภายใต้การครอบครองของจักรวรรดิเป่ยไห่เมื่อไหร่ โดยเฉพาะตอนที่ผ่านเมืองเฉียนเกา หลินเป่ยเฉินกลับถูกผู้คนส่งมือสังหารมาลอบฆ่าหลายครั้งหลายครา โชคดีที่เขาระมัดระวังตัวอยู่ก่อน เหตุการณ์ทุกอย่างจึงคลี่คลายลงด้วยดี