บทที่ 439.5 ใจคนเหมือนน้ำที่ไหลลงสู่ที่ต่ำ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

คู่สามีภรรยาตระกูลฟ่านที่เป็นเจ้านครน้ำบ่อ เป็นเจ้าของหอสูงแห่งนี้ รวมถึงบุตรชายคนโง่ฟ่านเหยี่ยนทยอยกันเดินเข้ามาในห้อง

ฟ่านเหยี่ยนก้มหน้าค้อมเอว ยืนอยู่ด้านหลังพ่อแม่ด้วยเนื้อตัวสั่นเทา ในห้องไม่มีเก้าอี้หรือม้านั่ง

ขนาดชุยตงซานยังนั่งอยู่กับพื้น พวกเขาสามคนจะเอาแต่ยืนพูดค้ำหัวอีกฝ่ายคงไม่ดี จึงได้แต่เขยิบมานั่งอยู่ห่างจากชุยตงซาน แน่นอนว่าต้องนั่งอยู่ในท่าคุกเข่า

ชุยตงซานอ้าปากหาวหวอด

เมื่อก่อนสกุลฟ่านของนครน้ำบ่อคือสายลับสองหน้า คอยขายข่าวให้กับทั้งสกุลซ่งต้าหลีและราชวงศ์จูอิ๋ง ส่วนความจริงเท็จในรายงานข่าวแต่ละฉบับมีมากน้อยเท่าไหร่ ก็ต้องดูที่ว่าหัวหน้าสายลับของศาลาคลื่นมรกตต้าหลีที่ปักหลักอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนให้ราคาสูงกว่า มีวิธีการผูกมัดใจคนที่สูงกว่า หรือเป็นพวกโง่เง่าราชวงศ์จูอิ๋งที่ร้ายกาจกว่า และเรื่องจริงก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เจ้าเกาะลี่ซู่มีไหวพริบกว่าคนที่ทำหน้าที่เป็นสายลับรายงานสถานการณ์ในพื้นที่นี้ให้แก่ราชวงศ์จูอิ๋งอยู่มาก สุดท้ายสกุลฟ่านแห่งนครน้ำบ่อจึงเลือกที่จะสวามิภักดิ์ต่อกองทัพม้าเหล็กต้าหลีอย่างเต็มตัว

บุรุษผู้เป็นเจ้านครน้ำบ่อไม่ได้เอ่ยอะไร

กลับเป็นนายหญิงสกุลฟ่านที่ว่ากันว่าดีแต่ใช้เงินและเลี้ยงบุตรชายให้เสียคนที่พูดจ้อ เล่าสถานการณ์ของทะเลสาบซูเจี่ยนและสถานการณ์ของกองทัพชายแดนราชวงศ์จูอิ๋งช่วงล่าสุดอย่างมีขั้นมีตอน

ชุยตงซานสีหน้าไร้อารมณ์

สตรีผู้นั้นไม่กล้าเพิกเฉยแม้แต่น้อย

เพราะก่อนที่ราชครูต้าหลีจะจากไปได้เอ่ยประโยคหนึ่งที่มีน้ำหนักสำคัญอย่างยิ่งว่า ให้ปฏิบัติต่อคนหนุ่มที่อยู่ชั้นบนสุดของหอเรือนเฉกเช่นปฏิบัติต่อรองเจ้ากรมซ้ายขวาที่ทำหน้าที่อยู่ในที่ว่าการของหกกรมต้าหลี

หลังจากที่สตรีปรึกษากับบุรุษของตัวเองแล้วก็ได้ข้อสรุปอย่างหนึ่งว่า คนที่อยู่ชั้นบน อย่างน้อยก็น่าจะเป็นผู้ฝึกตนเซียนดินของต้าหลี หรือไม่ก็เป็นลูกหลานสายตรงของแซ่สกุลที่เป็นนายพลพิทักษ์แคว้นท่านใดท่านหนึ่ง

สตรีชำเลืองตามองสามีที่อยู่ข้างกาย

เจ้านครน้ำบ่อรีบลุกขึ้นยืน ค้อมตัวเดินมาหยุดอยู่ริมขอบบ่อสายฟ้าสีทองที่แปลกประหลาดและมหัศจรรย์ ก้มหน้ายื่นมือออกไป ส่งจดหมายลับฉบับหนึ่งที่ราชครูต้าหลีมอบให้สกุลฟ่านด้วยสองมือ พูดเบาๆ ว่า “ใต้เท้าราชครูสั่งความข้าน้อยไว้ว่า หากวันนี้คุณชายยังไม่เดินออกจากชั้นบน ให้นำจดหมายฉบับนี้มามอบให้ท่าน”

ชุยตงซานกวักมือหนึ่งครั้ง จดหมายลับก็เข้ามาอยู่ในมือ เขาฉีกซองจดหมายแล้วโยนทิ้งอย่างไม่ใส่ใจ พอเปิดจดหมายลับฉบับนั้นออกอ่าน สีหน้าก็มืดทะมึนในฉับพลัน

ภาพนี้ทำให้คู่สามีภรรยาสกุลฟ่านที่มองอยู่หนังตากระตุก

เขาถึงขั้นกล้าปฏิบัติต่อจดหมายลับของราชครูต้าหลีเช่นนี้?

หากพวกเขาสองสามีภรรยาได้รับเกียรตินี้ ป่านนี้คงยกมันขึ้นบูชาดั่งพระราชโองการแล้ว

ชุยตงซานขยำจดหมายลับเป็นก้อนกลม กำไว้กลางฝ่ามือแน่น ปากก็สบถด่าดังลั่น

เนื้อความในจดหมายบอกว่า ‘ก่อนหน้านี้บอกไว้ว่าเจ้าขี้หลงขี้ลืม แต่เจ้าคงไม่ยอมรับ แล้วตอนนี้ล่ะ?’

‘วงกลมนี้เจ้าชุยตงซานเป็นคนวาดเอง ข้าเคยงัดข้อกับเจ้าเรื่องนี้ไหม? สุดท้ายข้าบอกกับเจ้าว่า ‘ข้ามบ่อสายฟ้า ไม่รักษากฎ’ ถึงจะเล่นงานเจ้า ถ้าหากเจ้าออกจากวงกลม แต่รักษากฎ ข้าจะทำอะไรเจ้าได้? เป็นเจ้าที่ดื้อดึงดัน กำหนดพื้นที่เป็นกรงขังกักกันตัวเองแต่กลับไม่รู้ตัว ต่างจากเฉินผิงอันตรงไหน? เฉินผิงอันก้าวเดินออกไปไม่ได้ เจ้าที่เป็นลูกศิษย์ของเขาก็ไม่เสียแรงเปล่าจริงๆ ไม่ใช่คนบ้านเดียวกันก็ไม่เข้าบ้านหลังเดียวกัน ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เจ้ากลายเป็นคนที่จำเป็นต้องอยู่ในบ่อสายฟ้าถึงจะรักษากฎเช่นนี้?’

‘ในเมื่อน่าสงสารขนาดนี้ ข้าก็เลยทิ้งจดหมายฉบับนี้ไว้ให้เจ้า เจ้ากินมันลงไปซะเถอะ หากกินแล้วยังไม่อิ่ม สามารถขอจากสกุลฟ่านได้อีก”

ชุยตงซานยัดกระดาษกำนั้นเข้าปาก เคี้ยวหยับๆ จนละเอียดแล้วกลืนลงไปจริงๆ

โอ้โห รสชาติของกระดาษเซวียนจื่อก็อร่อยเหมือนกันนะเนี่ย

ชุยตงซานโคลงศีรษะ ชี้ไปยังด้านหลังของสองสามีภรรยาที่นั่งคุกเข่าเคียงข้างกันอยู่บนพื้น “ฟ่านเหยี่ยนใช่ไหม ไสหัวออกมา แสร้งทำเป็นแกล้งโง่สนุกนักหรือ? ไหนลองว่ามาสิว่าเจ้าเห็นเจ้าโง่กู้ช่านผู้นั้นเป็นคนอย่างไร”

คนหนุ่มร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นยืน ประสานมือคำนับ จากนั้นก็เดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าว นั่งลงเคียงข้างกับพ่อกับแม่ พ่อแม่ของเขามีท่าทางตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด ถึงขั้นยังแสดงความหวาดกลัวต่อบุตรชาย ‘โง่’ ผู้นี้ออกมาเสี้ยวหนึ่ง

ฟ่านเหยี่ยนสีหน้าเฉยชา จ้องเป๋งตรงไปที่เด็กหนุ่มชุดขาวที่มีใฝแดงกลางหว่างคิ้วผู้นั้นแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ อย่างไร้ซึ่งความหวาดเกรง “กู้ช่านผู้นั้นหรือ ง่ายมาก ก็แค่ต้องแสดงออกให้ดูเป็นคนโง่สักหน่อย ความรักที่มีต่อพ่อแม่ลึกซึ้งและบริสุทธิ์สักหน่อย ยอมทนรับความยากลำบาก นานวันเข้าก็ปิดบังได้เป็นอย่างดี พอกะแรงไฟได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ เจ้าเด็กนั่นก็เชื่อไปเอง ขายเขา ก็แค่เท่ากับว่าข้าเป็นคนที่จ่ายได้ไหวเท่านั้น นึกไม่ถึงว่าหลิวเหล่าเฉิงจะทำให้ข้าต้องเสียเงินเทพเซียนไปก้อนใหญ่ แถมยังไม่มีที่ให้ไปร้องทุกข์กับใครด้วย”

ชุยตงซานยิ้มกล่าว “คนฉลาด”

ฟ่านเหยี่ยนกลับเอ่ยว่า “น่าเสียดายที่ไม่ฉลาดมากพอ”

ชุยตงซานอารมณ์ดีขึ้นมาทันใด ถามว่า “เจ้าคิดแบบนี้จริงๆ หรือ?”

ฟ่านเหยี่ยนตกตะลึงไปเล็กน้อย

ชุยตงซานลุกขึ้นยืน เอาสองมือไพล่หลัง ยกเท้าก้าวออกมาจากริมขอบของบ่อสายฟ้าสีทอง ก้มมองคนหนุ่มผู้นั้นจากมุมสูง “คิดจะมีชีวิตอยู่สูงส่งเหนือผู้ใด ก็ต้องสามารถแบกรับความดีที่มากกว่าเดิมและความชั่วที่มากกว่าเดิมได้ในเวลาเดียวกัน”

“คิดจะมีชีวิตอย่างผ่อนคลาย อย่างแรกคือแสร้งทำเป็นเลอะเลือน อีกอย่างหนึ่งคือเลอะเลือนจริงๆ เจ้าฟ่านเหยี่ยนถือว่าเป็นประเภทไหน? ค่อยๆ คิดดู หากตอบผิด พรุ่งนี้จวนเจ้านครบ่อน้ำก็อาจจะได้จัดงานศพที่คนหัวขาวส่งคนหัวดำ อ้อ ขอโทษที ดูแล้วสองสามีภรรยาเจ้านครยังอ่อนเยาว์กันอยู่มาก”

ฟ่านเหยี่ยนหน้าซีดขาว

ชุยตงซานยิ้มบางๆ จ้องมองเขาอยู่ตลอดเวลา

คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ ฟ่านเหยี่ยนจะคลี่ยิ้ม ไม่เหลือความหวาดกลัวอีกแม้แต่นิดเดียว

ชุยตงซานเอียงศีรษะ จ้องมองฟ่านเหยี่ยนที่ปั่นหัวกู้ช่านเล่นอยู่ในกำมือด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าตะพาบเฒ่าผู้นั้นบอกเจ้าไว้ก่อนแล้วใช่ไหมว่า ไม่ต้องกลัวว่าข้าจะพานโกรธมาที่เจ้า? เจ้าไม่มีทางตาย? ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่า เขาคิดอย่างไรกันแน่? ขนาดเรื่องนี้ยังเดาไม่ได้ ขนาดข้าเป็นใครก็ยังไม่รู้ ใครมอบความกล้าให้เจ้ามาพูดจาเช่นนี้ใส่ข้า?”

จนกระทั่งบัดนี้ ฟ่านเหยี่ยนถึงได้เริ่มตึงเครียดขึ้นมาจริงๆ

ชุยตงซานเอ่ยเย้ยหยัน “ต้าหลีต้องได้เขมือบกลืนทะเลสาบซูเจี่ยนอย่างแน่นอน สายลับที่ซื้อข่าวมาแล้วขายต่อเพื่อเก็งกำไรอย่างเจ้า ก่อนหน้านี้มีประโยชน์ต่อต้าหลีของพวกเราจริง และคุณความชอบก็มีไม่น้อย แต่ผลประโยชน์ที่ควรให้ก็ไม่เคยให้พวกเจ้าขาดไปแม้แต่เหรียญทองแดงเดียว คิดจริงๆ หรือว่าเรื่องที่สกุลฟ่านของพวกเจ้าสมคบคิดกับราชวงศ์จูอิ๋งเป็นการส่วนตัว ศาลาคลื่นมรกตของต้าหลีจะไม่มีบันทึกไว้เลย? เจ้าอาศัยอะไรมารู้สึกว่าตัวเองมียันต์คุ้มครองชีวิต? อาศัยหน้าตัวเองหรือ? หา?!”

หนึ่งก้าวที่ออกมาจากบ่อสายฟ้าสีทอง ตลอดทั้งหอสูงก็สั่นสะเทือนครืนครั่น

ผู้ฝึกตนก่อกำเนิด!

ชุยตงซานเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าฟ่านเหยี่ยน ยื่นสองนิ้วประกบเข้าด้วยกัน ก้มมองจากจุดสูง หัวเราะเสียงหยัน “บีบให้เศษสวะอย่างเจ้าตาย ข้ายังรังเกียจว่ามือจะสกปรก มารดาเจ้าเถอะ นี่เจ้ายังกล้ามาทำตัวอวดฉลาดต่อหน้าข้าอีกรึ?”

ชุยตงซานหันหน้าไปทางประตูห้องแล้วถ่มน้ำลายหนึ่งที “เจ้าตะพาบเฒ่า ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ ให้เจ้าเศษสวะน้อยผู้นี้มากระตุ้นไฟโทสะเทียมฟ้าที่สะสมอยู่ในท้องของข้า จะได้ช่วยเจ้าสังหารผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเก้าของราชวงศ์จูอิ๋งผู้นั้น ใช่ไหม?”

ชุยตงซานตวาดใส่สองสามีภรรยาที่นั่งตัวสั่นเทิ้มอยู่ด้านข้าง “สอนเศษสวะแบบนี้ออกมาได้ยังไง ไป พวกเจ้าที่เป็นพ่อแม่ไปอบรมสั่งสอนลูกชายให้ดี วัวหายแล้วก็ต้องล้อมคอก ยังไม่สายไป ตบบ้องหูเขาก่อนสักสิบยี่สิบที จำไว้ว่าตบให้ดังหน่อย ไม่อย่างนั้นข้านี่แหละที่จะตบพวกเจ้าสามคนให้ตายด้วยฝ่ามือเดียว ทะเลสาบซูเจี่ยนห่าเหวนี่ชอบให้คนทั้งครอบครัวได้กลับไปพบหน้ากันในปรโลกนักไม่ใช่หรือ? กฎเกณฑ์โสมมที่เอาออกหน้าออกตาไม่ได้พวกนี้ พวกเจ้าคงติดใจกันมากสินะ”

เสียงตบหน้าดังขึ้นต่อเนื่องอยู่ในห้อง

ฟังแล้วไพเราะกว่าเสียงเม็ดหมากเสียดสีกันเสียอีก

ในที่สุดชุยตงซานก็อารมณ์ดีขึ้นมาก

เขาเดินออกจากห้องมาที่รั้วระเบียง สีหน้าว้าเหว่ “กู้ช่านเอ๋ยกู้ช่าน เจ้าคิดว่าตัวเองร้ายกาจมากจริงๆ หรือ? เจ้ารู้จริงๆ หรือว่าโลกใบนี้โหดร้ายมากแค่ไหน? เจ้ารู้จริงๆ หรือว่าเฉินผิงอันอาศัยอะไรถึงมีชีวิตอยู่มาจนถึงทุกวันนี้? เจ้ามีหนีชิวน้อยตัวหนึ่งก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อในทะเลสาบซูเจี่ยนได้อีก ใครกันที่มอบความกล้าให้เจ้า ทำให้เจ้ารู้สึกว่าเส้นทางสายนั้นของตัวเองสามารถเดินไปได้ไกลมาก? เป็นหลิวจื้อเม่าอาจารย์ของเจ้าที่สอนเจ้า? หรือเป็นมารดาผู้นั้นที่สอนเจ้า? เจ้ารู้หรือไม่ว่าอาจารย์ของข้าทุ่มเทเพื่อเจ้าไปมากน้อยแค่ไหน?”

……

ยามสนธยา

เฉินผิงอันหิ้วเหล้าหวงเถิงที่เก็บไว้ในวัตถุจื่อชื่อตลอดเวลาเดินเตร็ดเตร่มาถึงนอกประตูใหญ่ของจวนจูเสียน

หงซูเดินยิ้มออกมาจากห้องด้านข้าง โบกมือเอ่ยทักทาย “ท่านเฉิน!”

เฉินผิงอันนั่งอยู่บนธรณีประตูเคียงข้างนางเหมือนวันนั้นที่รับฟังเรื่องเล่าและบันทึกเรื่องราวของนางลงไป

ดวงตาของหงซูฉายประกายวิบวับ หันตัวมายกนิ้วโป้งให้ “ท่านเฉิน เอานี่ไป!”

ดวงตาเฉินผิงอันหม่นหมอง ริมฝีปากขยับเบาๆ ยังคงทำใจบอกความจริงที่จะทำให้สตรีผู้นี้รู้สึกปานมีดกรีดดวงใจไม่ลง

เรื่องราวบนโลกไม่เคยง่ายดาย

ไม่ใช่ว่าแค่พูดความจริง ทำความดีแล้วจะต้องได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุดเสมอ

อย่างน้อยที่สุดหงซูที่เป็นคนเฝ้าประตูในเวลานี้ก็มีชีวิตอย่างไร้ทุกข์ไร้กังวล

เมื่อรู้ความจริงแล้ว จะมีชีวิตที่ดีกว่าเดิมหรือไม่? หรือจะกลายเป็นว่ามีชีวิตอย่างตื่นตระหนกอยู่ทุกวัน?

ถึงอย่างไรชาตินี้หงซูก็คือสตรีที่มีจิตใจดีงาม ความคิดละเอียดรอบคอบ พอเห็นว่านักบัญชีท่านนี้คล้ายจะเสียใจ นางก็เลยคิดไปไกล เข้าใจผิดคิดว่าการเข่นฆ่าสังหารที่น่าหวาดเสียว น่าตื่นตะลึงครั้งนั้นทำให้ท่านเฉินบาดเจ็บไม่เบา ดังนั้นเมื่อเทียบกับครั้งก่อนที่พบหน้ากัน สีหน้าจึงดูอิดโรยขึ้นอีกหลายส่วน อีกอย่างมีศัตรูที่กำเริบเสิบสาน ไร้ผู้ใดทัดเทียมอยู่อย่างนั้น แถมตอนนี้ยังอยู่บนเกาะกงหลิ่ว คอยจับจ้องมาที่เกาะชิงเสีย ท่านเฉินก็ย่อมต้องเป็นกังวลต่ออนาคตของตัวเองหลังจากนี้

เฉินผิงอันชูเหล้าหวงเถิงที่หงซูมอบให้ในมือขึ้นมา เค้นรอยยิ้มส่งไปให้นาง “ก่อนหน้านี้ยังไม่ทันได้ดื่ม ที่เจ้ามีถ้วยสักใบไหม? พวกเรามาดื่มเหล้า…เหล้าเติมอาหารของบ้านเกิดเจ้ากัน?”

หงซูกล่าวอย่างเขินอาย “มีแค่ใบเดียว”

นางถามว่า “ไม่อย่างนั้นให้ข้าไปขอถ้วยมาจากคนในจวนดีไหม?”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ไม่ต้องหรอก เจ้าใช้ถ้วยก็แล้วกัน ส่วนข้าจะดื่มจากกาเหล้าโดยตรงเลย”

ใบหน้าหงซูเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เดินไปยังห้องมืดมิดด้านข้างด้วยฝีเท้าว่องไวเพื่อหยิบถ้วยขาวใบหนึ่งมา พอนางนั่งลงแล้ว เฉินผิงอันก็แกะกระดาษเหลืองและผนึกดินออก เบี่ยงตัวรินเหล้าส่วนหนึ่งให้หงซู

หงซูกลั้นยิ้ม สีหน้าแปลกประหลาด

ท่านเฉินก็จริงๆ เลย รินเหล้าให้นางแค่นี้เองหรือ? ถ้วยขาวที่หนักหนึ่งตำลึง รินเหล้าเข้าไปแล้วก็หนักแค่หนึ่งตำลึงครึ่งเท่านั้น?

เหล้านี้นางเป็นคนมอบให้เขานะ

เขามองนาง แล้วก็มองถ้วยเหล้า ก่อนจะรินเหล้าเพิ่มอีกนิด

ในที่สุดหงซูก็กลั้นไม่อยู่ มือหนึ่งถือถ้วย อีกมือหนึ่งปิดปาก เสียงหัวเราะเพราะกลั้นไม่ไหวจึงดังลอดร่องนิ้วออกมา

เฉินผิงอันก็หัวเราะตามนางไปด้วย ในที่สุดครั้งนี้ก็รินเหล้าให้นางจนเต็มถ้วย

หงซูหัวเราะจนดวงตาคลอประกายน้ำมีชีวิตชีวาทั้งคู่โค้งลงเป็นจันทร์เสี้ยว สองมือถือถ้วยขาว จิบเหล้าคำเล็กๆ

เฉินผิงอันแหงนหน้าดื่มเหล้าหวงเถิง

คนทั้งสองไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากนัก

หงซูรู้สึกสงสัยเล็กน้อย ท่านเฉินที่เป็นคนดีขนาดนี้ แม่นางที่คราวก่อนนางแกล้งถามหยอกเขา แล้วเขาพยักหน้ายอมรับว่ามีอยู่คนนั้น ตอนนี้ไปอยู่ที่ไหนกันนะ?

หากได้มาเห็นท่านเฉินที่โดดเดี่ยวเดียวดายอย่างในตอนนี้ นางคงสงสารเขามากกระมัง?

เฉินผิงอันดื่มเหล้า มองไปทางทิศไกล ปากก็ถามเบาๆ ว่า “หงซู พวกเราเป็นเพื่อนกัน ใช่ไหม?”

หงซูพยักหน้ารับอย่างแรง

เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที คล้ายกำลังพูดกับนาง แต่ก็คล้ายกำลังบอกตัวเอง “ดังนั้น วันหน้าไม่ว่าพบเจอกับเรื่องอะไรก็อย่าเพิ่งกลัวไปก่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่แค่ไหนก็ให้รีบนึกถึงว่า ตรงหน้าประตูภูเขามีนักบัญชีแซ่เฉินอยู่คนหนึ่งที่เป็นเพื่อนของเจ้า”

หงซูรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่นางก็ยังดีใจมาก นางแอบหันหน้าไปมอง อากาศเริ่มหนาวขึ้นแล้ว และนักบัญชีข้างกายท่านนี้ก็เริ่มเปลี่ยนมาสวมชุดผ้าฝ้ายตัวยาวสีเขียวที่หนาหนักโดยไม่รู้ตัวแล้ว

—–