[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื่อน] ตอนที่ 47 ผู้ลงนามแทน

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

เมืองหมิงโจวเป็นเมืองท่าเรือน้ำลึกขนาดเล็ก หากจะบอกว่าเป็นท่าเรือน้ำลึกไม่สู้บอกว่าเป็นท่าเรือของชาวประมงจะถูกต้องกว่า กองทัพเรือทั้งหมดไม่สามารถเข้าสู่ท่าเรือได้ มีเพียงเรือเล็กไม่กี่ลำที่จอดเทียบท่าได้และเตรียมจะนำสินค้าของโจรสลัดที่ยึดได้จากที่นี่ไปขายที่เมืองหมิงโจว

 

ตอนอยู่ที่หลิ่งหนาน อวิ๋นเยี่ยได้ส่งผู้ดูแลตระกูลอวิ๋นไปแจ้งพ่อค้ารายใหญ่ที่รวมตัวกันอยู่นอกแคว้นอู่หลิ่ง ให้พวกเขาย้ายมารวมตัวกันที่หมิงโจว ตัวเองมีสินค้าที่ต้องการจะขาย พวกเขาไม่ต้องกังวลว่าจะมีสินค้าไม่เพียงพอ กังวลแค่เรื่องที่ว่าตัวเองจะมีเงินมากพอจะทำให้ท่านโหวพอใจหรือไม่ก็พอ

 

เพื่อเงินแล้ว พวกพ่อค้ารีบเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เมื่อกลุ่มพ่อค้าที่เต็มไปด้วยความหวังเหล่านั้นยืนอยู่บนชายฝั่งมองเห็นใบเรือลอยมาเหมือนเมฆแต่ไกลก็พากันตะโกนร้องเสียงดังด้วยความดีใจ นี่คือเรือเดินสมุทรที่อลังการที่สุด

 

เห็นได้ชัดว่าของที่โจรสลัดปล้นมานั้นตอบสนองความต้องการของพ่อค้าเป็นอย่างมาก เพียงแค่หนึ่งชั่วโมงของที่ปล้นมาก็กลายเป็นเหรียญทองแดงและเงิน อวิ๋นเยี่ยไม่อยากได้ทองคำ สิ่งที่พวกทหารต้องการคือเหรียญทองแดงและเหรียญเงิน แต่ว่าพวกทองคำนั้นกลับไม่มีประโยชน์สำหรับพวกเขา

 

ขายของที่ปล้นมาเสร็จ บรรยากาศก็เริ่มเงียบสงบลง พ่อค้ารายใหญ่หลายสิบคนจ้องไปที่ผู้ดูแลตระกูลอวิ๋นอย่างติงเฉียวและเถ้าแก่คนอื่นๆ ของตระกูลอวิ๋นด้วยท่าทางไม่พอใจ ติงเฉียวยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบเล็กน้อย จากนั้นค่อยๆ วางถ้วยน้ำชาลง เขาหัวเราะแล้วพูดกับพ่อค้าเหล่านั้นว่า “เถ้าแก่ทุกท่านเมื่อครู่ท่านโหวของข้าเพียงแค่อยากจะให้ผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ แก่เหล่าทหาร สิ่งของเหล่านี้ถูกยึดได้หลังจากที่เหล่าทหารเอาชนะโจรสลัด ดังนั้นจึงไม่ได้จัดเตรียมของไว้ขายมากนัก ต้องขออภัยที่ข้าไม่ได้พูดไว้ชัดเจน ข้าต้องขออภัยทุกท่านด้วย” พูดจบก็ทำท่าโค้งคำนับทุกๆ คน

 

“เถ้าแก่ติง พวกเราเห็นแก่หน้าของตระกูลอวิ๋นที่เดินทางนับพันลี้จนมาถึงเมืองเล็กๆ แห่งนี้ เจ้าไม่ได้บอกไปว่าอวิ๋นโหวกล้านำของที่ต้องมอบให้แด่ฝ่าบาทมาขาย แม้ว่าตระกูลของพวกเจ้ากล้าขาย แต่ว่าพวกข้าไม่กล้าซื้อหรอก ถึงแม้เงินจะเป็นสิ่งที่ดี แต่ข้าไม่พร้อมจะเอาชีวิตของคนทั้งตระกูลมาชดใช้ให้กับเงิน”

 

บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงเอะอะโวยวายอยู่ชั่วขณะหนึ่ง มีเสียงตกลงเป็นเอกฉันท์ว่าตระกูลอวิ๋นจะต้องให้คำอธิบายแก่พวกพ่อค้า เพราะพวกเขาไม่มีทางแตะต้องของที่ต้องมอบให้แด่ฝ่าบาท

 

ทันใดนั้นติงเฉียวได้หัวเราะขึ้นมา ชี้ไปที่เถ้าแก่ทุกคนในห้องโถงแล้วพูดว่า “ทุกท่านต่างก็เป็นคนที่เดินทางไปยังเมืองต่างๆ อยู่บ่อยๆ มีความรู้กว้างขวาง แต่เหตุใดวันนี้จึงกลายเป็นคนโง่เขลาเสียได้”

 

ห้องโถงเงียบสงบลงในทันที ทุกคนต่างรอให้ติงเฉียวพูดเหตุผลออกมา

 

“ทุกท่านโปรดฟัง ไม่ต้องพูดถึงที่ว่าฝ่าบาทออกราชโองการเอาเปรียบท่านโหวของข้า พวกเรามาคุยกันว่าราชวงศ์ต้องการอะไร ไม่ขอปิดบังทุกคน เรือท่านโหวของข้าคือเรือมู่หลานที่ทุกท่านเห็นอยู่ ในห้องโดยสารเรือเต็มไปด้วยทรัพย์สมบัติ ไม่จำเป็นต้องกลัวว่าทุกท่านจะหัวเราเยาะ ตัวข้าเองก็เคยเห็นของเหล่านั้นมาก่อน เมื่อข้าได้เห็นทรัพย์สมบัติเหล่านั้นก็ถึงกับฉี่รดกางเกง ขาก้าวไม่ออก จึงต้องให้พ่อบ้านพยุงข้าเดินดูสมบัติ พวกเจ้าลองคิดดูว่าทรัพย์สมบัติแบบไหนกันที่สามารถทำให้คนถึงกับตะลึง

 

ราชวงศ์ต้องการอะไรกันแน่ จะเป็นของที่มีมูลค่าสูงแต่กลับไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ แก่ราชสำนักน่ะหรือ หรือว่าราชวงศ์ต้องการทองแดง เงิน ทองคำ เสบียง แท่งเหล็ก แท่งทองแดง ผ้าไหม ผ้าฝ้าย และเกลือ ในบรรดาสิ่งของเหล่านี้ พวกเหล่าข้าราชการต้องการเงินและทองคำมาเป็นเงินเดือน เหล่าทหารต้องการเหรียญทองแดงและเงินเป็นรางวัล กองทัพต้องการอาวุธและเสบียง คงจะให้ฝ่าบาทให้เงินเดือนข้าราชการเป็นปะการังและไข่มุกไม่ได้ เมื่อทหารชนะสงครามแล้วจะให้มอบอัญมณีอย่างนั้นหรือ นี่เป็นธรรมเนียมแบบไหนกัน

 

ฝ่าบาทของพวกเราไม่ใช่ฮ่องเต้ที่เห็นแก่เงินทอง หากท่านโหวของข้านำเรือสมบัติกลับไปยังฉางอัน พวกเจ้าลองคิดดูขนาดเพียงครู่เดียวก็ขายสมบัติพวกนั้นออกไปจนหมดเกลี้ยง สิ่งเหล่านั้นจะยังคงเรียกว่าของล้ำค่าอยู่หรือ มันก็เป็นแค่กองก้อนหินเท่านั้น

 

ดังนั้นท่านโหวของข้าจึงคิดถึงกิจการของพวกเราเป็นอันดับแรก มีเพียงแค่การนำสมบัติของฝ่าบาทมาแลกเป็นเงิน อาวุธ เสบียงอาหาร และผ้าไหม สิ่งของเหล่านี้ถึงจะเป็นสิ่งที่ฝ่าบาทต้องการจริงๆ

 

เมื่อกี้ทุกท่านก็ได้พูดแล้วว่าหากนำของที่ต้องมอบให้แก่ฮ่องเต้มาขายตามอำเภอใจจะต้องถูกประหารทั้งครอบครัว พวกเจ้ามีคนในครอบครัวต้องดูแล หรือจะบอกว่าท่านโหวและข้าไม่มี?

 

พวกเจ้าก็ได้เห็นแล้วว่าเรื่องนี้ถูกดำเนินการอย่างเปิดเผย ไม่ได้ปิดบังทางการแต่อย่างใด ตอนนี้ผู้ตรวจราชการกำลังดื่มชาและพูดคุยกับท่านโหวของข้าอยู่บนเรือ ขันทีประจำตัวฝ่าบาทก็อยู่ที่นั่น แล้วยังมีทหารของกองทัพเรืออีกแปดพันนาย จะยังปิดบังใครได้อีก ต่อให้ท่านโหวของข้าซื้อคนเหล่านี้ไว้หมดแล้ว พวกเจ้าคิดว่าฝ่าบาทจะไม่มีทางรู้อย่างนั้นหรือ

อ่านนิยาย

ดังนั้นทุกท่านอย่างได้กังวล นำเงินและเสบียงของพวกเจ้าออกมาเพื่อเตรียมตัวเป็นเศรษฐีเถิด นี่จะเป็นการลงทุนที่ดีอย่างแน่นอน ตอนนี้ทรัพย์สมบัติมีมากเกินไปราคาก็จะไม่แพงเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเก็บไว้ให้ลูกหลานหรือว่าจะนำไปขายในตลาดก็มีค่าเหมือนกันไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็ดีทั้งนั้น”

 

เมื่อเหล่าติงพูดจบ สถานการณ์ก็เริ่มวุ่นวาย ก่อนหน้านี้มีความกังวลเกี่ยวกับสิ่งของเหล่านี้ว่าขึ้นชื่อเป็นของบรรณาการ จิตใต้สำนึกจึงคิดว่าไม่ควรไปแตะต้องสิ่งเหล่านี้ ไม่เช่นนั้นจะมีโทษถึงตายได้ เมื่อลองคิดดูอย่างละเอียดก็พบว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ราชวงศ์จะต้องการทรัพย์สมบัติไปทำไม เก็บไว้ให้ฝ่าบาทสะสมไว้คนเดียว? เป็นไปได้หรือ ฝ่าบาทเลี้ยงนกไว้หนึ่งตัว ก็ถูกเว่ยเจิงกอดจนขาดใจตาย หากสิ่งของเหล่านี้ถูกนำเข้าไปในวังหลวง ก็ต้องถูกเหล่าขุนนางทำให้ต้องเกิดเรื่องวุ่นวาย ที่เหล่าติงพูดมาก็มีเหตุผล

 

คนที่ไม่กังวลได้พากันเตรียมทรัพย์สมบัติ คำนวณว่าจะนำผ้าไหมไปแลก หรือว่าจะใช้แท่งเหล็ก ส่วนพวกที่ยังกังวลอยู่ก็คอยมองดูอยู่ข้างๆ สถานที่ค้าขายได้เกิดขึ้นที่ริมมหาสมุทร ผู้ตรวจราชการเมืองหมิงโจวได้เดินลงจากเรือด้วยท่าทางยิ้มแย้ม ทันใดนั้นเหล่าพ่อค้าก็พากันยืนล้อมรอบรอฟังสิ่งที่ผู้ตรวจราชการในพื้นที่พูด

 

เหลียงไข่ ผู้ตรวจราชการมณฑลหมิงโจวส่งสัญญาณมือให้ทุกคนสงบลง เมื่อบรรยากาศเริ่มเงียบสงบเขาจึงพูดขึ้นมาว่า “สิ่งที่พวกท่านต้องการจะถาม ข้าพอจะเดาออก ก็คือปัญหาที่ว่าเครื่องราชบรรณาการของฝ่าบาทนั้นสามารถขายได้หรือไม่ สิ่งที่ข้าจะตอบก็คือสิ่งของเหล่านี้สามารถขายได้แน่นอน นี่คือข้อสรุปที่ข้าได้รับหลังตรวจสอบพระราชโองการขอฝ่าบาท ขอเพียงแค่ทุกท่านจ่ายภาษีให้เมืองหมิงโจวของข้าก็จะไม่มีปัญหาอะไร ความจริงแล้วข้าก็มีสิ่งที่ต้องการซื้ออยู่สองอย่างมาเป็นมรดกสืบทอดประจำตระกูล พวกเจ้าอย่าได้มาแย่งข้าราชการที่ต่ำต้อยเช่นข้าเลย ขอร้องล่ะ” พูดเสร็จก็เรียกให้พ่อบ้านกลับไปเตรียมเงิน

 

สิ่งนี้ขจัดข้อสงสัยข้อสุดท้ายของพ่อค้า ตอนนี้ทุกคนเตรียมพร้อมที่จะสร้างรายได้…

 

วันนี้บนเรือมีความครึกครื้น ยังมีอีกคนที่มีคุณสมบัติพอที่จะขึ้นไปนั่งบนเรือของอวิ๋นเยี่ย นั่นก็คือเถ้าแก่ใหญ่แห่งคลังเงินในเจียงหนาน

 

“เหล่าโจว เจ้าทำเกินไปแล้ว ตระกูลอวิ๋นลงทุนเงินบางส่วนในคลังเงิน เหตุใดจนถึงตอนนี้ยังไม่มีรายได้สักเหรียญ ได้ยินหวงจื้อเอินโม้ว่าคลังเงินหาเงินได้อย่างไรบ้าง มีสาขาอยู่ด้านตะวันออกหนึ่งแห่ง และยังมีสาขาอยู่ด้านตะวันตกหนึ่งแห่ง แต่เหตุใดตระกูลอวิ๋นยังไม่ได้รับผลตอบแทน คงไม่ใช่ว่าถูกพวกเจ้าเอาไปหรอกนะ”

 

เถ้าแก่ถึงกับหน้าซีด “ท่านโหว ใครจะกล้าเอาเงินของท่านไป ฮองเฮาพูดไว้ว่าคลังเงินมีความสำคัญต่อต้าถังเป็นอย่างมาก ตอนนี้ต้องการขยับขยาย ไม่อนุญาตให้มีการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้น เรื่องนี้เอาไว้ค่อยจัดการทีหลัง ท่านว่าใครจะกล้าจ่ายเงินปันผลกัน”

 

“ข้าจำได้ว่านอกจากฮองเฮาที่เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่แล้วยังมีผู้ถือหุ้นอีกสามคนก็คือรัชทายาท เว่ยอ๋องแล้วก็ข้า ฮองเฮาจะขัดแข้งขัดขาลูกชายทั้งสองของนางข้าไม่ว่า แต่เหตุใดต้องลากข้าเข้าไปเกี่ยวด้วย”

 

“ในเมื่อฮองเฮากล้าลงมือแม้แต่กับลูกชายแท้ๆ ของตัวเอง ท่านโหว หากท่านจะถูกลากเข้าไปเกี่ยวด้วยก็ไม่ใช้เรื่องใหญ่อะไร หรือไม่เมื่อกลับไปถึงเมืองหลวงท่านก็ลองไปถามฮองเฮาดู”

 

“เหล่าโจว นี่มันความคิดอะไรของเจ้า ตอนนี้สิ่งที่ข้ากลัวอยู่ทุกวันคือการต้องไปพบฮองเฮาและฝ่าบาท ข้าแทบอยากจะหลบหน้าพวกเขา แต่เจ้ากลับให้ข้าไปพบฮองเฮานี่มันสมเหตุสมผลที่ไหนกัน”

 

เหล่าโจวเถ้าแก่ใหญ่แห่งเจียงหนานถือว่าเป็นคนเก่าแก่ ตอนที่คลังเงินเปิดกิจการเขาเป็นแค่คนแก่ธรรมดา ปีนี้พึ่งจะได้เลื่อนขั้นเป็นเถ้าแก่ใหญ่เป็นคนที่มีอำนาจมากผู้หนึ่ง สามารถทำให้กิจการรุ่งโรจน์ได้ในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี นับว่าหวงจื้อเอินมองคนไม่ผิด

 

“ท่านโหว ท่านเป็นผู้ค้ำประกัน ท่านจะใช้การซื้อขายครั้งนี้มาล้างหนี้ในบัญชีคลังเงินใช่หรือไม่ ข้าเคยคำนวณ จำนวนไม่มากนัก เพียงแค่สี่แสนเหรียญ ท่านจะเอาสมบัติมาค้ำบัญชีหรือจะใช้เหรียญทองแดงมาจ่าย”

อ่านนิยาย

อวิ๋นเยี่ยที่กำลังจิบชาถึงกับต้องสำลักน้ำชาจนน้ำพุ่งออกมาทางจมูกเลยทีเดียว มือสั่นชี้ไปที่เหล่าโจวแล้วถามว่า “เจ้าบอกว่าตอนนี้ข้าไม่เพียงแต่ไม่มีเงินปันผล ซ้ำตอนนี้ยังติดหนี้อีกสี่แสนเหรียญด้วย?”

 

“ใช่แล้วท่านโหว มีตัวอักษรสีดำอยู่บนกระดาษอย่างไรก็เบี้ยวบัญชีไม่ได้ ชื่อที่เขียนด้วยลายมือของท่านก็อยู่บนกระดาษแผ่นนั้นไม่ใช้หรือ”

 

“เหตุใดข้าถึงจำไม่ได้ว่าเคยลงชื่อไว้ ข้าจำได้ว่าคลังเงินมีนักบัญชีที่เข้มงวด แม้แต่ภรรยาของข้าก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะลงนามแทนข้าได้ ลูกของข้าก็ต้องรอให้บรรลุนิติภาวะก่อนถึงจะลงนามได้”

 

“ใช่แล้วท่านโหว เป็นเช่นนั้นไม่มีผิด ดังนั้นคนที่ลงนามแทนท่านก็คือฮองเฮา แล้วนางก็ลงนามให้แทนรัชทายาทและเว่ยอ๋องด้วยเลย จากนั้นก็เบิกเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำจำนวนสามแสนแปดหมื่นเหรียญจากคลังเงิน เงินต้นและดอกเบี้ยรวมกันมากกว่าสี่แสนเหรียญ ท่านคิดว่าจะใช้คืนอย่างไร”

 

ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยเห็นภาพดวงดาววิ่งล้อมรอบอยู่บนหัวเขาเต็มไปหมด ครั้งนี้ติดกับดักแล้ว กับดักอันใหญ่เสียด้วย มิน่าล่ะจั่งซุนถึงได้ใจดีแบ่งหุ้นให้อวิ๋นเยี่ยถึงหนึ่งส่วน เพราะทราบตั้งแต่แรกแล้วว่ามีแผนการซ่อนอยู่ เมื่อถึงเวลาจำเป็นก็จะได้เอาออกมาให้ชดใช้แทน เพื่อจะได้ถูกปฏิบัติเหมือนกับลูกชายทั้งสองของนาง ผู้หญิงคนนี้สมควรถูกฟ้าลงโทษ ดูเมตตาเหมือนเจ้าแม่กวนอิมแต่กลับทำเรื่องเห็นแก่ตัวเช่นนี้

 

แม้แต่เงื่อนไขที่เข้มงวดที่สุดในโลกนี้ก็ไม่สามารถผูกมัดนางได้ มิน่าล่ะตอนที่ข้ากำหนดเงื่อนไขนางถึงยืนยิ้มและปรบมืออยู่ข้างๆ บอกว่ากำหนดเงื่อนไขได้ดี มองดูแล้วตอนนี้กลายเป็นการให้ผลประโยชน์นางอย่างมหาศาลไป ทำให้นางสามารถเอาเงินจากคลังเงินได้เหมือนหนูตกถังข้าวสาร

 

“มียอดค้างชำระทั้งหมดเท่าไหร่” อวิ๋นเยี่ยกังวลว่านางจะเอาเงินของคนอื่นไปจากคลังเงินอย่างยับยั้งไม่ได้ เช่นนี้จะทำให้ความน่าเชื่อถือของคลังเงินหายไป แม้แต่ความน่าเชื่อถือของราชวงศ์ก็จะลดลงด้วยเช่นกัน นี่คือเรื่องที่น่ากลัว จะล้อเล่นไม่ได้

 

“ท่านโหวอย่าได้กังวล นี่คือจำนวนเงินกู้ที่ได้รับหลังจากที่คลังเงินคำนวณอยู่หลายครั้ง เงินสี่แสนเหรียญจะไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของคลังเงิน เดิมทีเถ้าแก่หวงอยากให้ฮองเฮายืมเงินเจ็ดแสนเหรียญ แต่สุดท้ายหลังจากที่ฮองเฮาทบทวนถี่ถ้วนแล้วจึงตัดสินใจยืมเงินสามแสนแปดหมื่นเหรียญ ฮองเฮาบอกแล้วว่าเงินในคลังเงินทั้งหมดเป็นเงินของราษฏร นางไม่สามารถนำไปใช้อย่างไร้ขีดจำกัดได้ เพียงแค่แก้ปัญหาความจำเป็นที่เร่งด่วนก็พอ และกล่าวว่าจะไม่ละเมิดกฎระเบียบของคลังเงิน ฮองเฮานั้นดีแค่ไหน ราชวงศ์มีฮองเฮาเช่นนี้ช่างเป็นบุญของข้าจริงๆ”

 

อวิ๋นเยี่ยถอนหายใจเบาๆ รู้จักขอบเขตก็ดีแล้ว มิเช่นนั้นก็รอราษฎรก่อกบฏได้เลย!

 

“ในเมื่อฮองเฮาเป็นคนยืมเงิน ทำไมพวกเจ้าไม่ไปหาฮองเฮาแต่กลับมาหาข้า?”

 

“แฮ่ๆ พวกเราไม่กล้าไปหาฮองเฮา รัชทายาทก็ไปรบที่ฉ่าวหยวนหาตัวไม่เจอ เว่ยอ๋องก็ถึงกับโยนเถ้าแก่สามคนออกจากตำหนัก ได้ยินว่าท่านกลับมาจึงได้ขี่ม้าเร็วมาหา ในที่สุดหนี้ก้อนนี้ก็หาคนมาใช้คืนได้แล้ว”

 

เหล่าโจวเปลี่ยนมานั่งในท่าที่สบายบนเก้าอี้ด้วยท่าทางที่มีความสุข