เวลาแปดโมงครึ่งที่หน้าคฤหาสน์ตระกูลหลิง..
เวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ผู้คนและรถรากำลังวิ่งกันอย่างพลุกพล่าน เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความวุ่นวาย
แต่ผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาไม่ว่าจะเป็นรถราหรือว่าคนเดินเท้า เมื่อผ่านหน้าประตูคฤหาสน์ตระกูลหลิง ผู้ที่อยู่ในรถก็จะชะโงกหน้าออกมาดู ส่วนคนที่เดินผ่านไปผ่านมาบ้างก็หยุดดู บ้างก็ผ่านไป แต่ทุกคนล้วนแล้วแต่พากันวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆนานา
นั่นเพราะที่หน้าประตูคฤหาสน์ตระกูลหลิงเวลานี้มีชายแต่งตัวด้วยเสื้อสูท และสวมรองเท้าหนังอย่างเรียบร้อย กำลังนั่งคุกเข่าเรียงรายกันเป็นแถวยาว..
นอกเหนือจากผู้ที่นั่งคุกเข่าแล้วก็ยังมีอีกสองคนซึ่งอยู่ในสภาพน่าสังเวชยิ่งนัก ขาทั้งสองข้างของคนทั้งคู่เข้าเฝือกอยู่ ทำให้ไม่สามารถนั่งคุกเข่าได้ จึงได้นอนราบอยู่กับพื้นถนนแทน ผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาจึงได้แต่พากันซุบซิบ และพูดกันไปต่างๆนานา
จะโทษว่าผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาสอดรู้สอดเห็นก็ไม่ถูกนัก..เพราะผู้คนที่มานั่งคุกเข่าอยู่หน้าตระกูลหลิงนั้น แม้จะดูคล้ายกับแรงงานที่มาประท้วงขอขึ้นค่าจ้าง แต่เมื่อดูจากการแต่งตัว และความสงบเรียบร้อยแล้วก็ดูเหมือนไม่น่าจะใช่ เพราะทุกคนต่างนั่งคุกเข่ากันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่มีผู้ใดส่งเสียงร้องตะโกนโหวกเหวกโวยวายเลยแม้แต่คนเดียว เช่นนี้แล้วจะไม่ให้ผู้คนพากันสนอกสนใจได้อย่างไรกันเล่า
“นี่มันเรื่องอะไรกัน!ผมขับรถผ่านที่นี่แทบทุกวัน ก็เห็นคนพวกนี้มานั่งคุกเข่าอยู่ที่นี่สามสี่วันติดต่อกันแล้ว..” คนขับแท๊กซี่เอ่ยกับผู้โดยสารที่นั่งอยู่ในรถ
“นั่นสิ..ในหนังสือพิมพ์ และสื่อต่างๆ ก็ลงเรื่องนี้ติดต่อกันมาหลายวันแล้วเหมือนกัน!”
…… ผู้คนที่ใส่สูทสวมรองเท้าหนังอย่างเรียบร้อยและมานั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าบ้านตระกูลหลิงนั้น แท้จริงแล้วก็คือเหล่านักธุรกิจจากตระกูลเล็กๆ ที่เคยพากันมาพบหลิงหยุนก่อนที่การประลองจะเริ่มขึ้นนั่นเอง..
ส่วนผู้ที่นอนเข้าเฝือกอยู่นั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากหานเถี่ยซินกับจ้าวจิ่งหมิง!
ในวันที่1 กันยายนนั้น.. หลังจากที่ข่าวคราวการล่มสลายของตระกูลซันกับตระกูลเฉินแพร่กระจายออกไป เพราะตระกูลหลิงเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะนั้น เหล่านักธุรกิจจากตระกูลเล็กๆ ที่พากันมาพบหลิงหยุนในวันนั้น ต่างก็โกรธแค้นหานเถี่ยนซินกับจ้าวจิ่งหมิงมาก และหลังจากที่ได้ปรึกษาหารือกันอีกครั้ง พวกเขาทั้งหมดก็พากันมานั่งคุกเข่าเพื่อเป็นการขอขมาอยู่ที่หน้าบ้านตระกูลหลิงเช่นนี้..
และทุกคนก็นั่งคุกเข่าติดต่อกันมาเป็นวันที่ห้าแล้ว..
แต่จนถึงบัดนี้..ก็ยังไม่มีคนสำคัญของตระกูลหลิงปรากฏตัวเลยแม้แต่คนเดียว และไม่มีแม้แต่คนตระกูลหลิงที่จะออกมารับการขอขมาจากพวกเขาเลย ด้วยเหตุนี้.. พวกเขาจึงต้องนั่งคุกเข่าต่อไปเรื่อยๆเช่นนี้!
“เฮ้อ..ไม่น่าเลยจริงๆ! ถ้าในโลกนี้มีคนขายยาแก้ความเสียใจ ผมคงต้องไปซื้อมากินบ้างแล้วล่ะ!”
“หึ..เป็นเพราะสองคนนั้น! ถ้าวันนี้ตระกูลหลิงยังไม่ออกมา เย็นนี้ผมจะไปถล่มบ้านหานเถี่ยซิน!”
หลิวจินหลงเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาพร้อมกับหันไปมองร่างที่นอนอยู่กับพื้นของคนทั้งคู่อย่างโมโห..
“ดูนั่นสิ..มีคนออกมาแล้ว!”
……
เวลานี้สมาชิกตระกูลหลิงเกือบทั้งหมดนำมาโดยหลิงลี่ หลิงเสี่ยว และหลิงเย่ว ตามมาด้วยเหล่าทายาทตระกูลหลิงรุ่นเล็ก รวมทั้งเกาเฉินเฉิน เหล่ากุ่ย จินเหยียว โม่วู๋เตา และเหล่านักรบตระกูลหลิง..
และที่ทั้งหมดเดินออกมานั้นก็เพราะทราบจากเหล่ากุ่ยว่าเช้านี้หลิงหยุนจะกลับเข้าตระกูลหลิงนั่นเอง! สมาชิกตระกูลหลิงจึงพากันออกมาต้อนรับหลิงหยุนกลับบ้านกันอย่างพร้อมเพรียงเช่นนี้..
และนี่ไม่ใช่เป็นเพียงการอออกมาต้อนรับผู้นำตระกูลหลิงกลับบ้านแต่ยังเป็นการออกมาต้อนรับวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่แห่งตระกูลหลิงอีกด้วย!
แต่เวลานี้..เหล่าสมาชิกตระกูลหลิงต่างก็เป็นห่วงความรู้สึก และสภาพจิตใจของหลิงลี่กับหลิงเสี่ยว เพราะหลังจากที่ความจริงเรื่องหลิงเจิ้นถูกเปิดเผยออกไปนั้น ทั้งคู่ต่างก็รู้สึกกระอักกระอ่วนใจ และไม่รู้ว่าจะสามารถเผชิญหน้ากับหลิงหยุนได้อย่างไร
แต่หลังจากเวลาผ่านไปสี่ห้าวัน..ทั้งหลิงลี่กับหลิงเสี่ยวต่างก็สามารถสงบจิตสงบใจลงได้มากแล้ว และสามารถยอมรับกับสิ่งที่เกิดได้มากขึ้น เมื่อได้ยินว่าหลิงหยุนจะกลับมาในเช้าวันนี้ จึงไม่อาจทนนิ่งเฉยที่จะไม่ออกมาต้อนรับการกลับมาของเขาได้!
“ลูกสอง..เหตุใดคนพวกนี้ยังคงนั่งอยู่ที่นี่อีก”
หลิงลี่เห็นคนเหล่านั้นยังคงนั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านเช่นนี้จึงได้แต่ร้องถามหลิงเย่วออกไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ
หลิงเย่วได้แต่ฝืนยิ้มออกมาและตอบกลับไปว่า “ท่านพ่อ.. ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะจัดการกับเรื่องนี้เช่นใด จึงต้องการรอให้หลิงหยุนกลับมาจัดการด้วยตัวเอง!”
หลิงเย่วนั้นเป็นผู้ดูแลเรื่องการเงินของตระกูลหลิงมาโดยตลอดจึงค่อนข้างสนิทสนมกับนักธุรกิจเหล่านี้ดี บางคนถึงกับเคยเป็นสหายที่ถูกคอกัน และการที่ทุกคนมาคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตระกูลหลิงเช่นนี้ จึงทำให้หลิงเย่วได้แต่กระอักกระอ่วนใจ และไม่รู้จะจัดการเช่นใด
“หึ..ล้วนแต่เป็นเหล่ากาฝากไร้ความจริงใจ!” หลิงลี่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาและหันไปสั่งหลิงอี๋กับหลิงชีทันที “พวกเจ้าจัดการโยนคนพวกนี้ไปข้างๆ อย่าให้ขวางหูขวางตาข้าเช่นนี้!”
“ขอรับนายผู้เฒ่า!”
นักรบตระกูลหลิงเดินออกไปต้อนนักธุรกิจที่พากันคุกเข่าอยู่นั้นให้ไปอยู่ข้างๆแทน จากนั้นจึงร้องตะโกนเสียงดังว่า..
“ท่านผู้นำตระกูลมาถึงแล้ว!”
ทั้งหลิงลี่จินเหยียว เกาเฉินเฉิน และทุกคนต่างก็ชะโงกหน้ามองไปที่ถนนด้านหน้าทันที และรถสีดำคันหรูก็ค่อยๆเคลื่อนเข้ามาในบ้าน หลิงหยุนซึ่งเป็นผู้ขับรถมาด้วยตัวเองเปิดกระจกลงพร้อมกับร้องตะโกนทักทายเสียงดัง..
“ลุงสอง..เหตุใดจึงได้จึงได้พากันออกมาต้อนรับข้ากันอย่างเอิกเกริกเช่นนี้”
“แล้วเหตุใดคนพวกนี้จึงมาคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตะกูลหลิงเล่า” ความจริงหลิงหยุนได้เปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจดูก่อนแล้วเพียงแต่เขาแสร้งทำเป็นถามออกมาเพื่อสร้างความตลกขบขันขึ้นเท่านั้นเอง
หลิงหยุนเห็นหลิงลี่กับหลิงเสี่ยวออกมาต้อนรับตนด้วยเช่นนี้จึงได้แต่โล่งใจ และคิดว่าในที่สุดทั้งสองคนก็สามารถสงบจิตสงบใจลงได้ และกล้าที่จะมาเผชิญหน้ากับตนเองแล้ว..
‘ดูท่าหลิงหย่งจะยังคงทำใจไม่ได้สินะ!’
หลิงหยุนสังเกตเห็นว่ามีเพียงหลิงหย่งเท่านั้นที่ไม่ออกมาต้อนรับเขาด้วยก็ได้แต่แอบหนักใจอยู่เงียบๆ
“ท่านปู่..ท่านพ่อ.. ลุงสอง.. ท่านน้าจินเหยียว.. พี่หลิงซิ่ว.. เฉินเฉิน.. เหล่ากุ่ย..”
ทันทีที่ก้าวลงจากรถ..หลิงหยุนก็ร้องทักทายทุกคนทันที และไม่พูดถึงเรื่องของหลิงเจิ้น ราวกับว่าเขาได้ลืมเรื่องนี้ไปหมดแล้ว อีกทั้งที่นี่ก็ไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะสมจะพูดเรื่องนี้ด้วย.. “หลิงหยุน..เจ้าไปอยู่ข้างนอกมาเสียหลายวัน!”
หลิงเสี่ยวเอ่ยถามหลิงหยุนแววตาของเขาแสดงความเป็นห่วงเป็นใยออกมาอย่างชัดเจน..
“เอาล่ะ..เจ้ากลับมาก็ดีแล้ว!”
หลิงลี่เดินเข้าไปตบบ่าหลิงหยุนพร้อมกับเอ่ยออกมาในขณะที่ดวงตานั้นรื้นไปด้วยน้ำตา และพยายามที่จะกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้..
เหล่าทายาทรุ่นเล็กของตระกูลหลิงต่างก็เกรงว่าหลิงลี่จะวางตัวไม่ถูกจึงพากันเข้าไปห้อมล้อมหลิงหยุน พร้อมกับร้องทักทายอย่างสนิทสนม เพื่อให้บรรยากาศดีขึ้น
หลังจากทักทายกับพี่ๆน้องๆแล้วหลิงหยุนจึงเป็นฝ่ายเอ่ยถามเสียงดัง.. “เหตุใดคนพวกนี้ยังมาที่นี่อีก พวกเขาต้องการอะไรงั้นรึ?”
“ยังจะต้องถามอีกรึ” “คนพวกนี้เห็นว่าตระกูลซันกับตระกูลเฉินล่มสลายจึงได้นึกเสียใจกับการกระทำที่ผ่านมาของตนเองน่ะสิ จึงได้พากันมานั่งคุกเข่าขอขมาตระกูลหลิงของเราอยู่ที่นี่ไงเล่า”
หลิงลี่เป็นฝ่ายร้องตอบหลิงหยุนด้วยน้ำเสียงเหยียดหยันสีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์ไม่ต่างจากสีหน้าของเหล่าสมาชิกตระกูลหลิงคนอื่นๆ
คนเหล่านี้ใส่หน้ากากเข้าหาตระกูลหลิงมานานหลายปีพวกเขาติดต่อคบหากับตระกูลหลิงก็เพื่อผลประโยชน์ทั้งสิ้น และหลายปีที่ผ่านมาคนพวกนี้ก็ได้อาศัยอำนาจบารมีของตระกูลหลิงหาผลประโยชน์เข้าตัวมากมาย แต่ในวันที่ตระกูลหลิงตกอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก คนเหล่านี้กลับเลือกที่จะตีจาก ด้วยการยกเลิกสัญญา และกิจการต่างๆที่เคยทำร่วมกับตระกูลหลิง โดยไม่สนใจว่าตระกูลหลิงจะต้องประสบปัญหาเช่นใด
เวลานี้เมื่อเห็นว่าตระกูลซันกับตระกูลเฉินล่มสลายลงก็คิดจะมาขอให้ตระกูลหลิงยกโทษให้ และต้องการมาพึ่งอำนาจบารมีตระกูลหลิงเพื่อหาผลประโยชน์เข้าตัวอีก..
คนเช่นนี้ยังจะหาความจริงใจได้อีกอย่างนั้นหรือ
และในวันข้างหน้า..หากตระกูลพลาดพลั้งต้องประสบกับโชคร้ายอีกครั้ง คนพวกนี้ก็พร้อมที่จะหักหลัง และตีจาก หนำซ้ำคงไม่รีรอที่จะเหยียบย่ำตระกูลหลิงอีกด้วย..
คนเห็นแก่ตัวและเอาตัวรอดเช่นนี้ หลิงหยุนพบเห็นมานักต่อนักแล้ว!
เมื่อนักธุรกิจจากตระกูลเล็กเหล่านั้นได้เห็นสายตาของหลิงหยุนพวกเขาก็ถึงกับสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ทุกคนถึงกับเหงื่อตก และไม่มีใครกล้าสบตาหลิงหยุนเลยแม้แต่คนเดียว ทุกคนพากันนั่งก้มหน้าคอตก และเริ่มรู้สึกเย็นวาบที่แผ่นหลังขึ้นมาทันที..
ในที่สุด..นักธุรกิจเหล่านั้นก็เพิ่งจะรู้ว่าการที่คนตระกูลหลิงพากันแห่ออกมานั้น ไม่ใช่เพราะพวกเขาที่นั่งคุกเข่าอยู่ แต่เป็นเพราะต้องการมาต้อนรับหลิหงุยนนั่นเอง!
หลิงหยุนกวาดตามองคนเหล่านั้นก่อนที่จะหันไปยิ้มให้กับหลิงเย่วพร้อมกับถามขึ้นว่า “ลุงสอง.. ท่านคิดจะจัดการเรื่องนี้เช่นใด”
หลิงเย่วฝืนยิ้มและตอบกลับไปว่า“หลิงหยุน.. ที่ข้ารอคอยการกลับมาของเจ้าด้วยความกระวนกระวายใจ ก็เพราะต้องการให้เจ้ามาจัดการกับเรื่องนี้ด้วยตัวเองนี่ล่ะ! คนเหล่านี้ต่างก็เป็นคนมีหน้ามีตาในสังคม หากปล่อยให้พวกเขาคุกเข่าอยู่เช่นนี้คงจะไม่เป็นการดีนัก!”
หลิงเย่วมีสีหน้าเคร่งเครียดและบอกหลิงหยุนผ่านทางกระแสจิต..
–หลิงหยุน..เวลานี้ทุกคนในปักกิ่งต่างก็พากันจับตามองว่าตระกูลหลิงของเราจะจัดการกับเรื่องนี้เช่นใด อีกทั้งเรื่องนี้สื่อต่างๆก็พากันลงข่าว และเผยแพร่ออกสู่สายตาของคนทั่วไปแล้ว เจ้าคงต้องการจัดการแก้ปัญหาเรื่องนี้โดยเร็ว!–
หลิงหยุนพยักหน้ารับรู้..จากนั้นจึงเดินไปยืนอยู่ตรงหน้าเหล่านักธุรกิจที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น เขาก้มหน้ามองหานเถี่ยซินกับจ้าวจิ่งหมิงซึ่งนอนอยู่ที่พื้น จากนั้นจึงค่อยๆกวาดสายตามองนักธุรกิจอีกสิบเอ็ดคนอย่างช้าๆ..
หลิงหยุนยิ้มเย็นก่อนจะเอ่ยปากถามขึ้นว่า“พวกเจ้าทุกคนมาที่นี่ เพราะเช็คที่ข้าให้มีปัญหาอย่างนั้นรึ”
และเพียงแค่หลิงหยุนเอ่ยปากถามหลายคนก็ถึงกับปัสสาวะเล็ดออกมาแล้ว..
“มะ..ไม่ใช่เช่นนั้น! เช็คที่พวกเราได้รับขึ้นเงินได้เรียบร้อยแล้ว..”
นักธุรกิจจากตระกูลจางเป็นผู้เอ่ยปากตอบหลิงหยุน..
“คือ..พวกเรา..”
หลิงหยุนไม่รอให้พูดต่อและพูดแทรกขึ้นมาทันที “ตระกูลหลิงจัดการคืนเงินพวกเจ้าครบทุกหยวนแล้ว! เหตุใดพวกเจ้ายังมานั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านของข้าเช่นนี้ หรือพวกเจ้าต้องการมาเรียกร้องความเห็นใจจากผู้คนหรือต้องการให้ตระกูลหลิงต้องถูกผู้คนตำหนิงั้นรึ”
“มะ..ไม่ใช่! พวกเราไม่มีเจตนาเช่นนั้นเลย ผู้นำตระกูลหลิง.. ท่านอย่าได้เข้าใจผิด!”
คำพูดและน้ำเสียงของหลิงหยุนนั้นทำให้ทุกคนถึงกับสั่นเทิ้มไปด้วยความหวาดกลัว หลิวจินหลงจึงรีบระล่ำระลักตอบแทนทุกคนทันที
“ท่านผู้นำตระกูล..พวกเราได้เคยทำผิดต่อตระกูลหลิง วันนี้จึงได้พากันมาคุกเข่าขอขมา หวังว่าท่านผู้นำตระกูลจะยกโทษให้ พวกเราเลือกข้างผิดไป ได้.. ได้โปรดให้โอกาสพวกเราอีกสักครั้ง!”
“เลือกข้างผิดงั้นรึ!นี่พวกเจ้ารู้ตัวแล้วรึ?!”
“ให้โอกาสพวกเจ้าได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง..ฮ่า.. ฮ่า..”
น้ำเสียงของหลิงหยุนเย็นชามากขึ้นเรื่อยๆ“หากข้าจำไม่ผิด.. ก่อนที่ข้าจะคืนเงินให้กับพวกเจ้าทุกคน ข้าได้เตือนพวกเจ้าหลายครั้งหลายคราว่า.. อย่าเลือกยืนผิดข้าง เพราะตระกูลหลิงของข้าจะต้องเป็นฝ่ายได้รับชนะไม่ใช่รึ”
“ครั้งนั้น..ข้ายังย้ำกับพวกเจ้าทุกคนด้วยว่า.. หากตระกูลหลิงเป็นฝ่ายชนะ พวกเจ้าจะไม่มีโอกาสได้กลับมาร่วมงานกับตระกูลหลิงอีกไม่ใช่รึ”
คำพูดของหลิงหยุนไม่ต่างจากการตบหน้าทุกคนที่นั่งคุกเข่าอยู่!
หลิวจินหลงถึงกับอับอายจนหน้าชาและได้แต่นั่งก้มหน้านิ่งไม่พูดไม่จาอีก.. คนอื่นๆเองต่างก็นั่งนิ่งเช่นกัน และได้แต่คิดว่าเป็นสิ่งที่พวกตนสมควรได้รับแล้ว..
“หากในวันนั้น..พวกเจ้าคนใดคนหนึ่งตัดสินใจที่จะไม่ยกเลิกสัญญากับตระกูลหลิง ในวันนี้.. ข้าจะต้อนรับคนผู้นั้นในฐานะแขกผู้มีเกียรติของตระกูลหลิงเลยทีเดียว อีกทั้งยังจะให้ร่วมลงทุนในธุรกิจอื่นๆกับตระกูลหลิงอีกด้วย..”
คำพูดของหลิงหยุนไม่ต่างจากมีดที่กรีดเนื้อของคนเหล่านั้นอีกทั้งยังราดด้วยน้ำเกลือซ้ำจนปวดแสบปวดร้อนไปหมด ทุกคนต่างก็นั่งก้มหน้าด้วยความเสียใจ ท้อแท้ อับอาย และหวาดกลัว..
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลิวจินหลง..ไม่เพียงแค่หลิงหยุนที่เอ่ยเตือน แม้แต่หลิงเย่วเองก็ได้เตือนเขาก่อนหน้านี้แล้วว่าอย่าได้หูหนวกหลงเชื่อคนอื่น และได้ขอร้องให้เขาอย่ายกเลิกสัญญา แต่เขาเองที่ไม่ฟัง!
หลิงหยุนพูดต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชา“ต่อให้พวกเจ้าทำตัวน่าสงสารมากเพียงใด.. ก็อย่าได้หวังว่าตระกูลหลิงของข้าจะยกโทษ และให้โอกาสพวกเจ้าอีกครั้ง!”
“แต่พวกเจ้าไม่ต้องกังวลใจไป..แม้ว่าตระกูลหลิงจะไม่ยกโทษให้กับพวกเจ้า แต่ก็จะไม่ข่มเหงรังแกพวกเจ้า เพราะไม่มีความจำเป็นที่ตระกูลหลิงจะต้องทำเช่นนั้น!”
“ที่ข้าจะพูดก็มีเพียงเท่านี้..ตอนนี้พวกเจ้าก็รีบไปให้พ้นหน้าข้าได้แล้ว!”
“ข้าให้เวลาเพียงแค่สามนาทีเท่านั้นหลังจากสามนาที.. หากพบว่าพวกเจ้ายังอยู่ที่นี่อีก ก็อย่าหาว่าข้าใจร้าย..”
จากนั้นหลิงหยุนก็ยกมือขึ้นชี้ไปทางหานเถี่ยซินและจ้าวจิ่งหมิง “เพราะพวกเจ้าจะต้องมีสภาพเช่นมันสองคน..”
“ออกไปจากบ้านของข้าให้หมดทุกคน!”