บทที่ 1687 สัตว์ประหลาดอาละวาด

Reverend Insanity เทพปีศาจหวนคืน

บทที่ 1687 สัตว์ประหลาดอาละวาด

 

โดยปกติสัตว์ประหลาดยักษ์จะมีพละกําลังแต่เชื่องช้า เป็นไปไม่ได้ที่มันจะว่องไวเช่นนี้”

 

นักรบอินทรีย์ยืนขึ้นและนึกถึงความเป็นไปได้ เดี๋ยว! การโจมตีนี้อาจเป็นทักษะพิเศษของมัน!

 

เขามองฟางหยวนที่กลายเป็นสัตว์ประหลาดหัววัวร่างมนุษย์และค่อยๆกู้คืนความกล้า

 

“เจ้ามีทักษะการต่อสู้ ข้าก็มีเช่นกัน! ข้ารู้ทักษะของเจ้าแล้ว แต่สัตว์ประหลาดที่โง่เขลาเช่นเจ้า ไม่สามารถทําความเข้าใจทักษะของข้า!”

 

“ถูกต้อง ตราบเท่าที่ข้าสามารถคว้าโอกาสนี้ ข้าจะมีโอกาสชนะ!”

 

เมื่อคิดได้เช่นนี้ดวงตาของนักรบอินทรีย์ก็ส่องประกายขึ้นด้วยความหวัง

 

“เขายืนขึ้นแล้ว!”

 

“ถูกต้อง นักรบอินทรีย์จะถูกเขี่ยทิ้งทันทีได้อย่างไร?”

 

“นักรบอินทรีย์ เราเชื่อในตัวท่าน!”

 

เมื่อเห็นนักรบอินทรีย์ยืนขึ้น เสียงโห่ร้องก็ดังขึ้นอีกครั้ง

 

นักรบอินทรีย์กรีดร้องและกระพือปีกบินขึ้นสู่ท้องฟ้า

 

“เจ้ามีทักษะการต่อสู้ ข้าก็มีเช่นกัน! สัตว์ประหลาด ข้าจะแสดงให้เจ้าดู ทักษะการต่อสู้ของข้า ภาพลวงตาสีเงิน!” นักรบอินทรีย์ตะโกน

 

ในเวลาต่อมาร่างของเขากลายเป็นพร่าเลือนและแยกออกเป็นหกร่าง ร่างทั้งหมดเหมือนจริง และไม่มีความแตกต่าง นักรบอินทรีย์บินเข้าไปล้อมกรอบฟางหยวนเอาไว้ทุกด้าน

 

ความโกลาหลในเมืองพุ่งขึ้นสู่ระดับใหม่ทันที

 

“ดู มันคือทักษะการต่อสู้ภาพลวงตาสีเงินของนักรบอินทรีย์!”

 

“ในที่สุดเขาก็ใช้มัน ดู สัตว์ประหลาดกําลังมึนงง มันไม่รู้จะโจมตีร่างใด”

 

“โอกาสแห่งชัยชนะมาถึงแล้ว ฆ่าสัตว์ประหลาดยักษ์ตัวนี้”

 

“อ๊าก…นักรบอินทรีย์เท่เกินไปแล้ว!”

 

เสียงโห่ร้องของฝูงชนทําให้ความกล้าหาญและเจตจํานงแห่งการต่อสู้ของนักรบอินทรีย์พุ่งทะ ยานขึ้น

 

แต่เขายังเยือกเย็น ข้าต้องคว้าโอกาสนี้ แม้ข้าจะไม่สามารสังหารสัตว์ประหลาดตัวนี้ ข้าก็ต้องทําให้มันได้รับบาดเจ็บสาหัส หลังจากทั้งหมดทักษะที่แข็งแกร่งไม่สามารถใช้ซ้ํา!”

 

“สัตว์ประหลาดตัวนี้ก็เช่นกัน มันไม่สามารถใช้ทักษะที่ทรงพลังซ้ําๆ ข้าจะใช้ภาพลวงตาเพื่อโจมตีและทําให้มันสูญเสียพละกําลังเป็นอันดับแรก หลังจากนั้นข้าจะจับมันทั้งเป็น!”

 

นักรบอินทรีย์ต้องการจับฟางหยวนทั้งเป็น แม้ฟางหยวนจะไม่รู้ถึงความคิดนี้ แต่เขามองเห็นมันได้อย่างชัดเจนผ่านการเคลื่อนไหวของนักรบอินทรีย์

 

นักรบอินทรีย์เหมือนแมลงวันที่บินอยู่รอบๆฟางหยวน บางครั้งร่างมายาหนึ่งหรือสองร่างจะพุ่งเข้าโจมตีเขาด้วยกรงเล็บหรือจงอยปาก

 

ฟางหยวนยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่หลบเลี่ยง นักรบอินทรีย์ไม่ใช่ภัยคุกคามของเขา

 

ฟางหยวนลอบหัวเราะอยู่ในใจ ถ้ําสวรรค์แห่งนี้ค่อนข้างน่าสนใจ

 

ประการแรก ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับผู้อมตะค่อนข้างแตกต่างจากโลกภายนอก

 

พวกเขามีความสามัคคีและเป็นมิตร

 

ในห้าภูมิภาค มนุษย์มีสถานะเหมือนมดปลวกขณะที่ผู้อมตะมีสถานะเหนือกว่าอย่างมาก ในถ้ําสวรรค์แห่งนี้ผู้อมตะเป็นผู้ทักษ์ของมนุษย์ สิ่งสําคัญที่สุดคือพวกเขายังกระตือรือร้นที่จะทําหน้าที่ผู้ปกครอง

 

แต่นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก

 

ถ้ําสวรรค์เป็นโลกใบเล็กที่แยกออกจากโลกภายนอกอย่างสมบูรณ์ หากพวกเขาสามารถติดต่อโลกภายนอก โครงสร้างทางสังคมของถ้ําสวรรค์แห่งนี้จะแตกต่างออกไป

 

ประการที่สอง รูปแบบการต่อสู้รวมถึงวิธีการบ่มเพาะของผู้ใช้วิญญาณและผู้อมตะของที่นี่น่าสนใจเช่นกัน

 

ตัวอย่างเช่นนักรบอินทรีย์ที่เกิดจากการรวมร่างกันระหว่างมนุษย์กับสัตว์อสูร

 

นี่เป็นวิธีบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ข้อดีของมันเห็นได้ชัดมาก

 

โดยปกติผู้อมตะจะใช้พลังงานอมตะเพื่อกระตุ้นใช้วิญญาณอมตะหรือท่าไม้ตายอมตะ แต่ผู้อมตะของที่นี่เพียงต้องรวมร่างกับสัตว์อสูรเดียวดายเพื่อให้ได้รับความสามารถในการต่อสู้ของพวกมัน

 

ทักษะการต่อสู้เช่นภาพลวงตาสีเงินเป็นความสามารถโดยกําเนิดของนกอินทรีย์เดียวดาย มันเหมือนกับความสามารถโดยกําเนิดของอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดที่สามารถเจาะทะลวงเข้าสู่แดนศักดิ์สิทธิ์หรือถ้ําสวรรค์

 

สําหรับผู้คนที่นี่ ความสามารถโดยกําเนิดถูกเรียกว่าทักษะการต่อสู้ มันไม่พึ่งพาพลังงานอมตะแต่อาจมีค่าใช้จ่ายอื่นเช่นการเสียสละส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายหรืออายุขัยบางส่วน

 

แต่ไม่ว่าจะเป็นทักษะการต่อสู้ วิญญาณอมตะ หรือท่าไม้ตายอมตะ พวกมันล้วนเกี่ยวข้องกับพลังงานแห่งเต๋าทั้งสิ้น

 

เนื่องจากสัตว์อสูรเดียวดายและสัตว์อสูรบรรพกาลมีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋สะสมอยู่บนร่างกายของพวกมัน ร่างกายส่วนที่มีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋สะสมอยู่มากกว่าจะทําให้พวกมันได้รับความสามารถโดยกําเนิด

 

วิญญาณอมตะคือภาชนะบรรจุร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋า

 

ท่าไม้ตายอมตะคือการรวมตัวกันของวิญญาณอมตะและวิญญาณระดับมนุษย์จํานวนมาก เพื่อปลดปล่อยพลังอํานาจที่เฉพาะเจาะจง

 

ในความเป็นจริงท่าไม้ตายอมตะดั้งเดิมมักถูกสร้างขึ้นโดยการเลียนแบบความสามารถโดยกําเนิดของสัตว์อสูร

 

ผู้อมตะของที่นี่สามารถรวมร่างกับสัตว์อสูรเดียวดายหรือสัตว์อสูรบรรพกาลเพื่อใช้ความสามารถโดยกําเนิดของพวกมัน พวกเขาไม่พึ่งพาวิญญาณอมตะและยังสามารถประหยัดค่าใช้จ่าย

 

นี่เป็นข้อได้เปรียบที่โดดเด่น

 

วิญญาณอมตะหายาก แต่สัตว์อสูรเดียวดายและสัตว์อสูรบรรพกาลมีอยู่มากมาย กระทั่งสัตว์อสูรแรกกําเนิดก็ยังพบเห็นได้ไม่ยาก

 

สัตว์อสูรเดียวดายและสัตว์อสูรบรรพกาลขาดสติปัญญา แต่หลังจากรวมร่างกับผู้อมตะ ผู้อมตะจะสามารถใช้พลังอํานาจของพวกมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ มันเป็นการชดเชยข้อบกพร่องของกันและกัน

 

“แต่วิธีนี้ไม่มีความยืดหยุ่น มันขาดความหลากหลาย พวกเขาจะมีวิธีต่อสู้ที่ตายตัว มันจัดการได้ง่ายและเต็มไปด้วยข้อบกพร่อง” ฟางหยวนตระหนักถึงข้อเสียของมันเช่นกัน

 

“แต่โดยรวมแล้วข้อดีของวิธีนี้ยังเหนือกว่าข้อเสีย หากมันได้รับความนิยม ห้าภูมิภาคจะได้รับอาวุธใหม่ที่สามารถใช้งานได้อย่างกว้างขวาง

 

โชคดีที่วิธีนี้ไม่เคยรั่วไหลออกไปในชีวิตก่อนหน้าของข้า มิฉะนั้นความทรงจําของข้าจะแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

 

เนื่องจากวิธีนี้เป็นวิธีที่ดีในการเพิ่มพลังการต่อสู้ของผู้อมตะ แม้มันจะไม่ส่งผลกระทบมากนัก แต่มันยังเพียงพอที่จะพลิกสถานการณ์บางอย่าง

 

ห้าภูมิภาคมีผู้อมตะระดับหกมากมายที่ไม่มีวิญญาณอมตะในการครอบครองแม้แต่ดวงเดียว

 

นี่เป็นคนกลุ่มใหญ่ของโลกผู้อมตะในทุกภูมิภาค

 

หากภูมิภาคหนึ่งมีวิธีการนี้แต่อีกภูมิภาคหนึ่งไม่มี พลังการต่อสู้โดยรวมของภูมิภาคที่มีจะพุ่งสูงขึ้น พวกเขาจะมีโอกาสเอาชนะภูมิภาคอื่น

 

“ความสามารถในการรวมร่างไม่ใช่เรื่องใหม่แต่มันไม่เคยประสบความสําเร็จมาก่อน อุปสรรคใหญ่ที่สุดคือความขัดแย้งระหว่างพลังงานแห่งเต๋า”

 

“แต่ถ้ําสวรรค์แห่งนี้มีวิธีเปลี่ยนร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋อื่นๆให้เป็นร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง!”

 

“ดังนั้นผู้อมตะของที่นี่จึงสามารถรวมร่างกับสัตว์อสูรเดียวดายหรือสัตว์อสูรบรรพกาล มันเหมือนกับการเปลี่ยนภัยพิบัติให้เป็นภัยพิบัติสัตว์อสูร

 

หลังจากได้ข้อสรุป ฟางหยวนยิ่งต้องการครอบครองวิธีบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้มาก

 

“ข้ามีเรื่องต้องทํา แมลงวันเหล่านี้ควรจะหยุดรบกวนข้าได้แล้ว” เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฟางหยวนกระตุ้นใช้วิธีบนเส้นทางแห่งกาลเวลาทันที

 

ท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งกาลเวลาของเขาในปัจจุบันไม่เหมือนก่อนหน้าอีกต่อไป

 

นักรบอินทรีย์ตกใจเมื่อค้นพบว่าเวลารอบตัวเขาเดินช้าลงหลายเท่า

 

“นี่!? เวลาเดินช้ามาก! เป็นไปได้อย่างไร?” นักรบอินทรีย์ตกตะลึง

เขาค่อนข้างมั่นใจในความเร็วของตน แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขากลับไม่สามารถแสดงข้อได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา นั่นคือความเร็ว!

 

“เรามาจบเรื่องนี้กันเถอะ” ฟางหยวนกางฝ่ามือออกและคว้าปักอินทรีย์ของนักรบอินทรีย์

 

“บัดซบ!” นักรบอินทรีย์คําราม แต่กระทั่งเขาจะใช้พละกําลังทั้งหมด เขาก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงฝ่ามือของฟางหยวน

 

“ฉัวะ!”

 

ฟางหยวนฉีกปักทั้งสองข้างออกจากร่างของนักรบอินทรีย์

 

“อ๊าก…” ใบหน้าของนักรบอินทรีย์กลายเป็นบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด เลือกไหลออกมาจากบาดแผลบนแผ่นหลังของเขาราวกับน้ําพุ

 

“นักรบอินทรีย์!”

 

“ไม่!”

 

ผู้คนจํานวนนับไม่ถ้วนกรีดร้องด้วยความตกใจ ความหวาดกลัว และความสยดสยอง บางคนหมดสติ บางคนยกมือขึ้นปิดใบหน้าของตนเอง

 

ฟางหยวนค่อยๆวางมือลงบนศีรษะของนักรบอินทรีย์

 

หัวใจของนักรบอินทรีย์เต้นแรงขณะที่เขารู้สึกถึงกลิ่นอายแห่งความตาย

 

“นี่คือทักษะการต่อสู้ของมันงั้นหรือ?”

 

“การชะลอเวลาเป็นทักษะการต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัวจริงๆ!!

 

แต่ แม้ข้าจะตายที่นี้ มันก็

 

ย่างน้อยข้าก็สามารถเปิดเผยความลับของมัน!”

 

เมื่อคิดได้เช่นนี้ นักรบอินทรีย์ก็กรีดร้อง “สัตว์ประหลาด! แม้เจ้าจะฆ่าข้าแต่ยังมีนักรบอสูรอีกมากมายที่จะมาฆ่าเจ้า! ความตายของเจ้าเป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น…”

 

“ผัวะ!”

 

ศีรษะของนักรบอินทรีย์ระเบิดราวกับผลแตงโมที่ถูกทุบ เลือด สมอง และกระดูกกระจัดกระจายออกไปทุกทิศทาง

 

ฟางหยวนคลายฝ่ามือออก

 

ศพของนักรบอินทรีย์ที่ขาดศีรษะร่วงลงบนพื้น

 

ฟางหยวนมองไปที่เมือง

 

กําแพงเมืองสูงเพียงเข่าของฟางหยวน ศีรษะวัวของเขาทําให้ผู้คนหวาดกลัว เมฆสีขาวเคลื่อนตัวผ่านไหล่ของเขาไปอย่างช้าๆ เงาร่างที่น่ากลัวของเขาเกาะกุมหัวใจของทุกคน

 

มีผู้คนมากมายอยู่ในเมืองแต่มันกลับเงียบสงัดราวกับพวกเขาตายไปแล้ว

 

ฟางหยวนค่อยๆเดินตรงไปที่เมืองดังกล่าว

 

วินาทีต่อมา ความโกลาหลจึงปะทุขึ้น ผู้คนกรีดร้องและร้องไห้ขณะที่พวกเขาพยายามหลบหนีไปทุกทิศทาง

 

จากมุมสูง ในสายตาของฟางหยวน มนุษย์เหล่านี้ไม่ต่างจากมดที่เคลื่อนตัวผ่านประตูเมืองทั้งสี่ทิศ

 

ฟางหยวนเพิกเฉยต่อพวกเขาและเดินหน้าต่อไป

 

“บึม!”

 

กําแพงเมืองถูกทําลายลงในครั้งเดียว

 

เขาเดินไปตามถนนสายหลักของเมือง อาคารบ้านเรือนพังทลายลงราวกับกล่องกระ ดาษ มนุษย์ที่โชคร้ายบางคนถูกเหยียบและกลายเป็นเนื้อบดโดยตรง