ตอนที่ 1127 - ความผิดพลาดและความเข้าใจผิด

The Divine Nine Dragon Cauldron

เมื่อได้ฟังสาวใช้ไม่กล้าจะพูดยั่วยุเขาต่อไป สตรีตระกูลบูรพามีอายุสั้นเพราะคำสาปทางสายโลหิต
  ดังนั้นเพื่อให้แน่ใจว่าสายเลือดตระกูลจะยังคงอยู่พวกนางมักจะต้องหาสามีเพื่อแต่งงานกับเด็กสาวในตระกูลอยู่บ่อยครั้งเพื่อให้กำเนิดสมาชิกในตระกูลรุ่นใหม่
  ถ้าหากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปตระกูลอื่นก็อาจจะไม่สนใจตระกูลบูรพาอีกแล้ว
  “นายหญิงกำลังพักอยู่ถ้าเจ้าผ่านการทดสอบ นางจะออกมาเจอเจ้า”
  สาวใช้ตอบนางคิดในใจ…นางไปพักจริง ก็เพราะว่าไม่มีใครผ่านการทดสอบนี้ยังไงล่ะ
  “เอาล่ะสามลมหายใจ ตัดสินใจได้แล้ว…”
  นางพูด  “ถ้าเจ้าสองคนไม่ประลองเจ้าก็เลือกคู่หมั้นจากหนึ่งในสี่คนในการทดสอบที่สอง”
  “พวกนางยังไม่แต่งงานเป็นสาวพรหมจรรย์ ถึงจะมีฐานะต่ำต้อยกว่านายหญิงสองคนแห่งตระกูลบูรพา พวกนางก็เกินพอสำหรับเจ้า”
  เมื่อได้ฟังเจิ้งควนกับหวังเฉามีหวัง เด็กสาวงดงามทั้งสี่นั้นงดงามอย่างหาได้ยาก พวกเขาไม่นับว่าเสียหายอะไรเลย
  ถ้าเป็นพวกเขาพวกเขาคงจะเลือกไม่ประลองเป็นแน่
  “ฮื่ม!”
  แต่หลิวเฉินจะทนความแค้นได้หรือ?เขาขอเป็นหัวไก่ดีกว่าเป็นหางวิหคเพลิง ถึงจะพ่ายแพ้ต่อร่างเงาซือหยู เขาก็จะไม่ยอมเลิกรา
  “แม่นางตงฟางหลิวเฉินผู้นี้จะจดจำเรื่องคราวนี้ไว้!”
  หลิวเฉินพูดด้วยความแค้นเขาถือกระบี่พุ่งเข้าใส่ซือหยู
  เขาใช้พลังทั้งหมดในกระบี่นี้เขาต้องการพ่ายแพ้อย่างไร้ข้อติดใจ เขาจึงเลือกที่จะจู่โจมอย่างรุนแรงและตรงไปตรงมา
  ร่างเงาของซือหยูนั้นเหมือนกับร่างเงาในหอคอยร้อยชั้นอย่างไม่มีผิดเพี้ยนเขาเริ่มด้วยค่ายกลคลื่นดาวตก ตามด้วยค่ายกลดับสวรรค์ห้าธาตุ และตามด้วยกระบี่ไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์
  หลิวเฉินกรีดร้องอย่างทุกข์ทรมานเขามิอาจรับสามกระบวนท่านี้ได้ก่อนจะกระอักเลือดและกระเด็นไปข้างหลัง เขาล้มลงไปนอนแผ่บนพื้น
  เขาใจสลายและไม่พอใจในเวลาเดียวกันคนตระกูลบูรพารังแกเขา!
  ในตอนนั้นเองเสียงถอนหายใจดังขึ้น
  “ขอข้าลองดูก็แล้วกันแต่ข้าจะขอบอกเจ้าล่วงหน้า ข้าแค่อยากพบนายหญิงของเจ้าเท่านั้น ส่วนเรื่องการแต่งงาน ข้ารู้แล้วว่านายหญิงเจ้าไม่เต็มใจ หากข้าผ่านการประลอง ข้าจะไม่บังคับนาง”
  สาวใช้แปลกใจเขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อเป็นคู่หมั้นกับนายหญิงหรอกหรือ? แล้วเขาจะมาที่นี่ทำไมกัน?
  แต่มันก็ไม่เป็นไรมันตรงกับความต้องการของนายหญิง
  “ฮ่าๆๆๆขอบคุณที่เจ้าคิดถึงจิตใจนายหญิงข้า ข้าขาขอบคุณเจ้าแทนนาง”
  สาวใช้โค้งคำนับและเดินไปดูการประลองของซือหยูจากด้านข้างเพราะอย่างไรนางก็ไม่คาดผลที่แตกต่างจากความพ่ายแพ้อยู่แล้ว
  ซือหยูก้าวไปข้างหน้าเขาหัวเราะอย่างขมขื่นอยู่ข้างใน
  เขากำลังประลองกับร่างเงาของตัวเองช่างลักลั่นนัก
  เขามองร่างเงาและเดินเข้าไปหาอย่างไม่เตรียมการอันใด  “มันอยากตายเรอะ?กระบวนท่าของซือหยูมีทั้งการจู่โจมและการป้องกันพร้อมสรรพ ถ้าไม่เริ่มลงมือก่อนก็ไม่มีโอกาสชนะได้เลย”
  เจิ้งควนอ้าปากค้างใบหน้าเต็มไปด้วยความงุนงง
  หวังเฉาดูถูก
  “ไม่ง่ายที่จะมาถึงจุดนี้ได้มันไม่คิดจะเผยความด้อยกว่าของตัวเอง ต่อให้มันแพ้ซือหยู มันก็หาข้ออ้างลบความอัปยศได้”
  แม้แต่สาวใช้ก็สงสัยนางเคยได้ยินจากนายหญิงว่าเพื่อที่จะทดรับสามกระบวนท่าจากซือหยู คนผู้นั้นจะต้องมีทั้งความเร็ว ความแม่นยำ และความรุนแรง
  ไม่มีใครเอาชนะซือหยูได้ก่อนกระบวนท่าที่สามเมื่อพลังกระบี่ปะทุออกมา โอกาสชนะก็กลายเป็นศูนย์แล้ว
  นางไม่เข้าใจว่าชายหน้ากากเงินคิดทำอะไรอยู่ดังนั้นนางจึงได้แต่นั่งเท้าคางมองเขาด้วยความสนุกสนาน  แต่ในเวลาต่อมาภาพที่ทำให้นางตัวแข็งทื่อก็เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา
  ซือหยูเดินไปถึงร่างเงาแต่ร่างเงาซือหยูไม่ขยับแม้แต่น้อย หากพูดให้ตรงกว่านี้ มันมิได้ไม่ขยับ แต่มันขยับไม่ได้
  ค่ายกลคลื่นดาวตกกำลังสั่นและกำลังเริ่มใช้งานแต่มันก็หยุดนิ่งไปด้วยพลังที่ไร้ที่มา มันเคลื่อนไหวไม่ได้เลย
  ซือหยูเดินตรงไปยังร่างเงาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเขาซัดฝ่ามือใส่ร่างเงาและทำลายมันจนสิ้นซาก
  บนยอดเขาแห่งนี้มีเพียงเสียงสายชมโชยอ่อน เสียงอื่นเงียบกริบราวป่าช้า
  ซือหยูคือคนเดียวที่ไม่สนใจอะไรเลยเพราะเขารู้จักตัวเองดีที่สุด
  เขารู้วิธีต่อกรกับวิชาตัวเองทำให้เขาเอาชนะได้เพียงการใช้พลังหยุดเวลาเท่านั้น
  “อ๊ะ!”
  สาวใช้เป็นคนแรกที่หลุดจากภวังค์นางอุทานออกมาและพลาดกัดลิ้นตัวเองอย่างไม่ตั้งใจ
  นางเอามือปิดปากสายตาเต็มไปด้วยความสะพรึงกลัวและน้ำตาจากความเจ็บปวด นางพยายามพูดแต่ก็พูดไม่ออกเพราะเจ็บลิ้น
  นางกระทืบเท้าและวิ่งลงเขาอย่างบ้าคลั่งนางหน้าซีดราวกับได้เห็นวันสิ้นโลก
  คนอื่นๆ บนยอดเขาเบิกตากว้างและอ้าปากค้างอย่างไม่เชื่อสายตา
  ร่างเงาของซือหยูแตกสลายไปเพราะคนแก่ที่พวกเขาไม่เคยได้ยินรึ?
  “ข้าไม่ยอมรับหรอก!”
  หวังเฉามิอาจเชื่อเขาปฏิเสธความจริงว่าคนต่ำต้อยที่เขาดูถูกสามารถเอาชนะร่างเงาของซือหยูได้
  “รับไปซะแมลงปอแล่นวารี!”
  หวังเฉาก้าวย่างอย่างรวดเร็วเข้าหาซือหยูและพุ่งดัชนีไปยังลำตัวของซือหยู
  ดัชนีของเขารวดเร็วดั่งสายฟ้าเขารวมพลังชีวิตทั้งหมดเอาไว้
  วิชานี้ใช้เพื่อรวมพลังมหาศาลเอาไว้ในจุดเล็กๆ จุดเดียว มันจะทำให้เกิดแรงปะทะอันรุนแรง
  เขาที่เป็นจ้าวเทวะระดับแปดได้เอาชนะจ้าวเทวะระดับเก้าด้วยวิชานี้มานักต่อนัก
  แต่ซือหยูมิได้ขยับตัวแม้แต่น้อยเขาเพียงแค่ปล่อยให้ดัชนีนั้นสัมผัสกับร่างกายเขา
  หวังเฉาแสยะยิ้ม
  “นี่สินะทั้งหมดของเจ…”
  แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบเขาก็ชักสีหน้าทันที
  เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดจากภายในที่เกือบฉีกหัวใจและปอดของเขาดัชนีที่จรดถึงตัวซือหยูหักอย่างร้ายแรงราวกับปะทะสมบัติภูติ!
  จุดกำเนิดพลังของซือหยูนั้นใหญ่กว่าภูติระดับเก้าทั่วไปถึงแปดสิบเท่าพลังชีวิตที่เขาเก็บได้นั้นน่าสะพรึงกลัวแม้แต่กับจ้าวเทวะระดับเก้า แล้วพลังชีวิตของจ้าวเทวะระดับแปดจะทำอะไรเขาได้กัน?
  “อ๊ากก!มือข้า! เจ้า เจ้าเล่นสกปรก!”
  หวังเฉาโกรธเกรี้ยวเขายังคงคิดว่าซือหยูใช้วิธีการซ่อนเร้น
  “ไสหัวไป!”
  ซือหยูขมวดคิ้วเล็กน้อยเขาปัดหวังเฉาให้พ้นทางด้วยความรู้สึกขยะแขยง
  มันเป็นเพียงการสัมผัสเล็กน้อยของปลายเสื้อแต่เมื่อกระทบหวังเฉา มันเหมือนกับภูเขาลูกยักษ์แสนลูกถล่มเข้าใส่จนเขากระเด็นไปยังหมู่เมฆา เขากระอักเลือดตลอดทางทุกแห่งหน ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นหรือตาย
  จ้าวเทวะระดับแปดปลิวไปถึงสวรรค์เพราะสัมผัสของชายเสื้องั้นรึ?
  นี่นี่มัน…
  เจิ้งควนกัดฟันจนแตกเขากลัวจนขนลุก เวลานี้เขาจะยังเชื่ออยู่ได้อย่างไรว่าซือหยูที่มิอาจอ่านฐานพลังได้เป็นแค่ภูติระดับเก้า?
  แม้แต่จ้าวเทวะระดับเก้ายังไม่มีพลังที่จะทำให้ใครกระเด็นไปถึงฟากฟ้าเช่นนั้นจากการกระทบปลายเครื่องสวมใส่
  หรือว่าแท้จริงแล้วเขาจะเป็นอสูรเนรมิตร?
  เมื่อซือหยูหันมามองเจิ้งควนเขาทั้งอับอายและหวาดกลัว เขาย้อตัวเล็กน้อยและยิ้มสำนึกผิด
  “ท่านผู้อาวุโสซือโปรดอภัยที่ข้าล่วงเกินท่านด้วยเถอะ”
  ซือหยูพยัหหน้าและเดินไปยังกระโจมโดยไม่สนใจคนรอบกายเขารอเงียบ ๆ
  สาวใช้รีบวิ่งออกไปนางจะต้องไปแจ้งข่าวกับตงฟางเถียนเฟิง
  …
  “นายหญิง!นายหญิง เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”
  สาวใช้รีบวิ่งมาจนรองเท้าหลุดแต่นางก็ไม่มีเวลาจะสนใจ นางวิ่งเท้าเปลือยเปล่าหนึ่งข้างไปยังห้องของนายหญิง
  สตรีชุดขาวเอนกายบนเตียงด้วยตำราวิชาบ่มเพาะในมือนางศึกษามันอย่างตั้งใจ
  เมื่อได้ยินเสียงเอะอะนางไม่แม้แต่เงยหน้า นางถามอย่างไร้อารมณ์
  “เกิดอะไรขึ้น?ใยเจ้าแตกตื่นนัก?”
  “นายหญิงมีเรื่องเกิดขึ้นในการทดสอบที่นี่!”
  สาวใช้ลนลานจนควันออกหู
  นางในชุดขาวใจเย็น
  “พวกเขาก่อเรื่องเพราะรับไม่ได้สินะ?ปล่อยไปเถอะ ถ้าหากเกินมือก็บอกคนให้ไล่พวกมันออกไป เจ้าต้องให้ข้าบอกในเรื่องเล็กน้อยด้วยรึ?”
  “มะไม่ใช่อย่างนั้น…”
  นางหายใจหอบนางอ้าปากกว้างก่อนจะรีบพูด
  “มีคนผ่านการทดสอบที่สี่นายหญิง!”   ปั่ก!
  มือนายหญิงสั่นตำราบ่มเพาะในมือหล่นไปที่พื้น นางหันไปมองสาวใช้และลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ความใจเย็นบนใบหน้าแทนที่ด้วยความตกใจ
  นางถามทั้งที่ยังไม่เชื่อ
  “เจ้าจะบอกว่าร่างเงาของซือหยูพ่ายแพ้รึ?”
  สาวใช้พยักหน้าตามตรง
  “ใช่แล้วข้าเห็นกับตา ร่างเงาของซือหยูนิ่งราวกับวิหคไร้ปีก เขาขยับไม่ได้เลย แล้วชายคนนั้นทำให้ร่างเงาสลายด้วยฝ่ามือเดียว!”
  นางในชุดขาวสีหน้าหวาดกลัวแววตานางทั้งเศร้าหมองและไม่เต็มใจ นางใจสลายและนั่งลงบนขอบเตียง นางกล่าวด้วยความเศร้า
  “อย่างไรข้าก็หนีเคราะห์ร้ายของตระกูลบูรพาไม่ได้สินะ!”
  มือขาวราวหิมะของนางประสานเข้าหากันเล็บจิกลึกลงในมือ
  สาวใช้หน้าเศร้าเมื่อได้เห็นนางพยายามปลอบ
  “นายหญิงของข้าใยยังคงหวังถึงซือหยูอยู่เล่า? เขาไม่เคยเห็นนายหญิงมาก่อน ระหว่างนายหญิงกับเขาไร้ความรู้สึกต่อกัน เขาไม่รู้เรื่องที่นายหญิงนับถือเขา นี่มันเสียเวลาเปล่า”
  สาวใช้รู้ดีว่านายหญิงของนางหยิ่งยโสและมีเกียรติเพียงใดนางจะไม่แต่งงานกับใครที่ไม่ใช่วีรบุรุษของโลก
  ในบรรดาสี่นภาจรัสจางอู๋ชวงและจักรพรรดิกลืนอสูรคือคนที่แข็งแกร่งที่สุด
  แต่จางอู๋ชวงคือผู้ที่ถูกลิขิตให้ครองใต้หล้าเป็นศิษย์คนสุดท้ายของราชาเขตกลาง บุคคลเช่นนั้นมิใช่คนที่นางอาจใฝ่ฝันถึง
  จักรพรรดิกลืนอสูรเองก็ชั่วร้ายนิสัยไม่ต่างกับสัตว์ป่า นางยอมไม่เต็มใจแต่งงานกับเขา  และต่อมาก็เป็นสตรีนั่นคือน้องสาวของนาง…ตงฟางเถียนเฟิง นางกล่าวชมเชยซือหยูราวกับว่ามีเขาคนเดียวบนโลก
  น้องสาวทำให้นางสนใจซือหยูด้วยใบหน้าจริงและความสำเร็จมากมายของเขา ทั้งหมดมันเหมาะสมกับสิ่งที่นางต้องการ เขาคือคู่ครองในอุดมคติ
  น่าเสียดายที่อนาคตของนางพังทลายไปแล้ว
  เมื่อเห็นว่านายหญิงกำลังจะหลั่งน้ำตาสาวใช้เกิดความคิด
  “โอ้จริงด้วย เขาบอกว่าเขามาที่นี่เพียงเพื่อจะพบนายหญิง เขาจะทำตามความปรารถนาของนายหญิง เขาจะไม่บังคับนายหญิงให้แต่งงานกับเขา”
  เมื่อนางได้ยินนางเงยหน้าทันทีด้วยความแปลกใจ
  “เขาพูดแบบนั้นจริงรึ?มีหลักฐานหรือไม่?”   “หลิวเฉินกับคนแปลกหน้าอีกสามคนยืนยันได้”
  สาวใช้พยักหน้าใบหน้านางยินดีเป็นอย่างยิ่ง นางลืมเรื่องนี้ไปได้ยังไง?
  แม้ตระกูลบูรพาจะกำลังหาบุตรเขยชายคนนั้นก็กล่าวคำมั่นออกมา คงไม่เป็นอะไรหากการหมั้นถูกยกเลิก
  “ก็ได้ถ้าจะไปเจอตามที่เขาต้องการ”
  สีแดงอมชมพูกลับไปอยู่บนใบหน้าของนางอีกครั้งนางมุ่งหน้าไปยังเขาห้าธาตุด้วยความดีใจ
  นางเห็นชายแก่หน้ากากสีเงินรอคอยอย่างเงียบเชียบที่กระโจม
  “ทำไมถึงเป็คนแก่เล่า?”
  นางตกใจ
  สาวใช้ยักไหล่
  “นั่นอาจเป็นแค่รูปลักษณ์ตระกูลบูรพาก็มีชายอายุยี่สิบที่ดูเหมือนชายแก่อายุหกสิบไม่ใช่หรือ?”   ตระกูลบูรพาคือตระกูลต้องสาปคนในตระกูลแก่เฒ่าอย่างรวดเร็ว มีคนอย่างซือหยูอยู่มาก
  “อย่าลืมตอบแทนเขาด้วยอย่าให้เขามาที่นี่โดยไม่ได้อะไร”
  สตรนีชุดขาวทำใจนางเข้าไปยังกระโจมอย่างสง่างามและทักทายเขา
  “ยินดีที่ได้รู้จักท่านซือ”
  ซือหยูได้พบกับนางเป็นครั้งแรกเขาประทับใจเล็กน้อยและมิอาจอดชื่นชมได้
  “เจ้าช่างงดงามนักสวมชุดนี้แล้วงดงามราวกับหิมะ”
  เขาเคยเห็นสตรีงามมามากมายและนางคือสิบอันดับแรก
  เมื่อได้ยินคำชมนางเริ่มเป็นกังวล นางคิดกับตัวเอง…หวังว่าเขาจะไม่ผิดคำสัญญาหลังจากได้เห็นหน้าข้า ข้าไม่อยากมีปัญหา
  “เจ้าเองก็ฌป็นบุรุษที่มีพรสวรรค์สูงยิ่งข้านับถือนัก”   นางเบี่ยงเบนความสนใจซือหยูไปที่สิ่งอื่น
  ซือหยูเพียงแค่มองนางครั้งเดียวและไม่สนใจอีกเขาเคยเห็นหญิงงามมามากเกินไป ยากที่จะมีใครที่ทำให้เขาหวั่นไหวได้
  “ข้าซือเฉินหลงอยากจะรู้ว่าแม่นางตงฟางอยู่ที่ใด? เจ้าเป็นคนรับใช้นางหรือ?”
  ทุกคนตกตะลึงกับคำถามของเขา
  ไม่เพียงแต่หลิวเฉินและเจิ้งควนแม้แต่สาวใช้น่ารักเองก็ผงะ
  นางในชุดขาวตัวแข็งทื่อและอับอายนางได้แต่เหลือบมองซือหยู…ชายคนนี้พูดจาอะไรกัน? เขาเข้าใจผิดว่านางเป็นคนรับใช้ได้อย่างไร?
  นางไม่พอใจแม้ว่านางจะไม่สนใจฐานะของตัวเองมากนัก นางก็มิอาจยอมรับที่ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นคนรับใช้ได้
  แต่ก็เป็นสาวใช้ตัวน้อยที่มารักษาหน้าของนางนางพูดด้วยความเขินอาย  “ท่านซือนี่คือนายหญิงตงฟาง ข้าเดาว่าท่านคงไม่เคยพบนางมาก่อน ท่านมาที่นี่เพื่อพบนายหญิง นายหญิงเลยมาเพื่อเจอท่าน…”
  ซือหยูสับสนและเขาก็เพิ่งตระหนักได้ เขาส่ายหน้า
  “ข้าไม่ได้อยากเจอนาง”