ตอนที่ 1754 ต่างจากวันก่อน

Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ

โถงนักบวชนั้นคือสถานที่ที่เหล่านักบวชทั้งหลายจะใช้มันในการหลอมโอสถ ปกติแล้วมันย่อมจะมีทั้งผู้อาวุโสและเหล่านักบวชมาฝึกฝนตัวกันที่นี่

แต่ตอนนี้ด้านในโถงมันเต็มไปด้วยผู้คนอย่างล้นหลาม พวกเขาเหล่านี้มากันเพื่อที่จะดูการต่อสู้หนึ่ง

นักบวชปะทะนักบวชฝึกหัดชั้นต่ำ ข่าวที่ใหญ่ขนาดนี้มันย่อมแพร่กระจายไปทั้งวิหารอย่างรวดเร็ว

พวกเขาย่อมอยากจะเห็นว่านักบวชฝึกหัดหน้าไหนที่มันช่างกล้า อาจหาญไปท้าทายนักบวชเข้า

ที่สำคัญกว่านั้นนักบวชที่กำลังจะขึ้นสนามยังเป็นนักบวชที่เรียกได้ว่าเป็นผู้แข็งแกร่งคนหนึ่ง

“ไอ้เด็กนั่นหรือ? ดูธรรมดาเสียจริง!”

“ธรรมดา? หึๆ ไอ้เด็กคนนี้มันไม่ธรรมดาเลย! มันสามารถประลองการคุมไฟกับฉีเฟิงที่หน้าศาลาสวรรค์หลวงและสามารถชนะมาได้ถึงสองครั้งติด!”

“เรื่องนั้นก็ไม่เท่าไหร่หรอก การคุมไฟกับการหลอมโอสถจริงๆ มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ดูท่าคราวนี้ฉีเฟิงคงเตรียมตัวมาแก้แค้นแน่ๆ เขานั้นมีพลังถึงระดับสี่ขั้นปลาย ไอ้เด็กคนนั้นมันคงเพิ่งเข้าระดับสี่ขั้นกลางมาได้ไม่นาน ด้วยพลังของฉีเฟิงแล้ว เขาย่อมไม่มีทางแพ้พ่ายแก่เย่หยวนแน่”

เหล่านักยุทธหลายต่อหลายคนได้ฝึกการควบคุมไฟเพื่อใช้มันในการต่อสู้สังหารศัตรู จะบอกว่าเรื่องเช่นนี้มันปกติธรรมดาก็คงไม่ผิดนัก

แต่การควบคุมไฟและการหลอมโอสถนั้นมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ในศาสตร์การหลอมโอสถของเผ่าอสูร ทุกสิ่งอย่างมันขึ้นอยู่กับปราณอสูรเทวะ ระดับชั้นบ่มเพาะพลังมันส่งผลมากกว่าที่ใครจะคาดคิดเยอะ

หากฉีเฟิงเป็นแค่ใครที่ไหนไม่รู้อาจจะยังพอว่า แต่เขานั้นไม่ใช่

เพราะแม้เขาจะไม่ได้เก่งกาจในด้านโอสถที่สุด แต่เขาก็นับว่าเป็นคนที่เก่งกาจพอจะติดอันดับหนึ่งในสิบได้ง่ายๆ พลังความสามารถของเขานั้นเหลือล้นกว่านักบวชคนอื่นๆ

นักบวชที่ได้ติดอันดับหนึ่งในสิบ พวกเขาย่อมมีพลังฝีมือที่เหนือล้ำ

ในอนาคตเขาคนนี้คือคนที่จะได้ขึ้นเป็นถึงระดับผู้อาวุโสได้!

เพราะเช่นนั้นฉีเฟิงถึงได้มีท่าทางอวดเก่งและโอหังเช่นนี้

ในส่วนลึกของโถง มีสามเงาร่างกำลังมองดูเหตุการณ์ในโถงนักบวชบนหน้าจอแสงอยู่

“นิคุน ในสายตาเจ้าแล้วใครจะชนะการดวลศึกโอสถครั้งนี้?” ฉีหยูถาม

นิคุนตอบกลับมา “เรื่องนี้ยังต้องถามอีกหรือ? แน่นอนว่ามันต้องเป็นฉีเฟิง! เด็กคนนั้นมันมีพรสวรรค์ที่เหนือล้ำ ฝีมือเองก็ไม่เลว แต่เรื่องในการสอบวันนั้นมันคงเป็นขีดจำกัดของเขาแล้วใช่ไหม? เพราะอย่างไรเสียการหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์มันก็แตกต่างจากการหลอมโอสถศักดิ์สิทธิ์อย่างสิ้นเชิง”

คูมู่เองก็พยักหน้ารับ “เย่หยวนนั้นมีพรสวรรค์ที่เหนือล้ำจริงๆ หากให้เวลาเขาสักปีเขาต้องยืนอยู่เหนือนักบวชทุกผู้คนได้แน่ๆ แต่เวลาแค่ไม่กี่วันนี้มันย่อมไม่พอที่จะเปลี่ยนแปลงอะไร”

แต่ฉีหยูกลับบอก “ข้าได้ยินว่าเจ้าเด็กคนนี้มันเข้าไปในศาลาสวรรค์หลวงอยู่สิบกว่าวัน ดูท่าแล้วมันคงได้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ไปไม่น้อย”

นิคุนยิ้มตอบกลับมา “แล้วมันจะทำไม? หากแค่มองหนังสือก็เก่งกาจได้ โอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์เราก็คงไร้ค่าไปแล้ว ที่สำคัญเวลาไม่กี่วันนั้นเขาจะอ่านมันได้สักกี่เรื่อง?”

ฉีหยูเองก็คิดเช่นนั้นและพยักหน้าออกมา “ที่เจ้าว่ามามันก็ถูก ข้าคงคิดมากไปเอง”

เพราะจริงๆ เขาก็คิดไม่ต่างจากนิคุนและคูมู่นัก เขาคิดว่าเย่หยวนจะไม่มีทางชนะได้

แต่ไม่รู้ทำไมในจิตใจลึกๆ ของเขาจึงไม่เชื่อว่าเย่หยวนจะแพ้ลงง่ายๆ

แม้ว่าเขาจะรู้ดีแค่ไหนว่ามันเป็นเรื่องที่แสนบ้าบอ

ฉีเฟิงหันมองเย่หยวนและกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เจ้าโง่ เจ้าคิดว่าตัวเองคุมไฟได้เก่งแล้วจะเก่งกาจเหนือฟ้าเรอะ? วันนี้แหละข้าจะให้เจ้าได้เห็นความแตกต่างของนักบวชและนักบวชฝึกหัด!”

เย่หยวนได้แต่กลอกตาไปมา “นี่ ทำไมเจ้ามันชอบโม้โอ้อวดจริง?  หากการโอ้อวดนับเป็นความแข็งแกร่งอย่างหนึ่ง เจ้าก็คงนับว่าเป็นยอดคนสุดแกร่งคนหนึ่งเลย ข้าล่ะกลัวแพ้เจ้าจริงๆ!”

ฉีเฟิงแทบสำลักและตอบกลับมาอย่างขุ่นแค้น “ไอ้เด็กปากดี ข้าล่ะอยากรู้เสียจริงๆ ว่าเจ้าจะปากเก่งไปได้ถึงเมื่อไหร่!”

เย่หยวนนั้นทำหน้ายิ่งเฉย “เอาล่ะ มาเริ่มกันเสียที เดี๋ยวเจ้าจะหาว่าข้ารังแกเจ้า ข้าจะให้เจ้าลงมือก่อนเลยสองชั่วโมง!”

ฉีเฟิงนั้นตกตะลึงมากเมื่อได้ยินและหัวเราะออกมาอย่างแทบหยุดไม่อยู่ “ให้ข้าเริ่มหลอมก่อนสองชั่วโมง? ไอ้เด็กเวรนี่มันช่างขี้อวดอ้างเสียจริงๆ ย่อมได้ ข้าอยากรู้ว่าเจ้าจะตามข้าทันได้อย่างไร!”

ตอนนั้นเองทุกผู้คนที่มุงดูอยู่ก็ต้องหันมามองที่เย่หยวนด้วยความรู้สึกว่าเขานั้นช่างวางท่าเกินพอดี

ท่าทางแบบนั้นมันจะเป็นนักบวชฝึกหัดไปได้อย่างไร? ท่าทางแบบนี้ดูอย่างไรมันก็เป็นของผู้อาวุโสชัดๆ

แต่ทว่ากลับมีใครคนหนึ่งพูดขึ้นมา “ท่านฉีเฟิง ท่านอย่าได้ไปหลงกลเจ้าเด็กนี่เชียว! มันไม่รู้วิธีหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์นั้นและคิดจะลอบเรียนรู้มันจากท่าน!”

แค่คำพูดเดียวนี้มันก็ดึงดูดความสนใจของทุกคนไปได้

เย่หยวนหันไปมองดูด้วยความตกใจไม่น้อย เพราะที่ยืนอยู่ตรงนั้นมันคือคนคุ้นหน้า มู่หยวนชุนนั่นเอง!

ดูท่าการประลองครั้งนี้มันคงไปทำให้เขาสนใจเข้า

เมื่อฉีเฟิงเห็นว่าคนที่พูดขึ้นมาเป็นแค่นักบวชฝึกหัดชั้นต่ำเช่นกันเขาก็รู้สึกตกใจและถามออกไป “ลอบเรียนรู้? เจ้าพูดเรื่องบ้าบออันใดออกมา? มีหรือที่เขาจะสามารถเรียนรู้ระหว่างที่ข้าทำการหลอมได้ เข้าจะไม่ประเมินเขาสูงเกินไปหน่อยรึ?”

มู่หยวนชุนตอบกลับมาอย่างหนักแน่น “ท่านฉีเฟิง ข้านั้นได้สอบนักบวชฝึกหัดเข้ามาพร้อมๆ กับมัน ไอ้เด็กคนนี้มันมีฝีมือการหลอมโอสถที่รวดเร็วมาก แต่มันกลับยืนมองดูเรียนรู้อยู่ด้านข้างจนสุดท้ายหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ขั้นยอดเยี่ยมออกมาได้! ดูอย่างไรมันก็ต้องไม่มีเจตนาดีแน่ที่ให้ท่านเริ่มหลอมก่อน!”

เมื่อคำพูดเหล่านั้นถูกกล่าวออกมา เหล่าผู้ชมก็แตกตื่นกันยกใหญ่!

ลอบเรียนรู้ จนสุดท้ายหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ขั้นยอดเยี่ยมได้ ทำไมมันถึงแปลกประหลาดได้ขนาดนั้น?

แต่หากสิ่งที่มู่หยวนชุนบอกมาเป็นความจริง มันก็คงหมายความว่าทักษะด้านโอสถของเย่หยวนนั้นสูงล้ำใช่ไหม?

เมื่อฉีเฟิงได้ยินเขาก็ได้แต่ถอนหายใจยาว คิดแค่ว่าเกือบจะพลาดท่าไปแล้ว

เขาหันไปมองเย่หยวนและบอก “เด็กน้อย เจ้าคิดจะรอข้าก่อนอย่างนั้นรึ? มาหลอมไปพร้อมๆ กันดีกว่า!”

มู่หยวนชุนนั้นยิ้มเยาะออกมาเมื่อได้เห็นว่าฉีเฟิงได้รับรู้ความจริงแล้ว

เพราะความพ่ายแพ้ของเย่หยวน เขานั้นก็อยากจะเห็นมันจนตัวสั่น

การประลองหลอมโอสถนี้ หัวข้อการหลอมนั้นฉีเฟิงเป็นคนเลือกมันขึ้นมา มันเป็นโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับความยากสี่

เขาไม่เชื่อว่าเย่หยวนจะสามารถหลอมโอสถที่มีความยากสูงขนาดนั้นได้ในเวลาสั้นๆ แค่นี้

แต่เย่หยวนกลับตอบมาอย่างไม่แยแส “แล้วแต่เจ้า งั้นก็มาเริ่มเลย”

ท่าทางไม่สนใจของเย่หยวนมันทำให้มู่หยวนชุนต้องสั่นสะท้าน

หรือว่าเจ้าเด็กคนนี้มันจะมีแผนอื่นรอไว้อยู่แล้ว?

แต่มันเข้ามาในวิหารได้แค่ไม่กี่วัน จะเป็นไปได้อย่างไร?

เมื่อเริ่มทำการหลอม ฉีเฟิงก็หลอมได้อย่างเรียบเนียนและนุ่มนวล เป็นท่าทางที่ไม่ต่างอะไรจากปรมาจารย์คนหนึ่งแล้ว

นักบวชหนึ่งในสิบนั้นไม่ธรรมดาจริงๆ

ส่วนอีกด้านเย่หยวนกลับมีท่าทางที่แสนเงอะงะ

ที่พวกเขาคิดนั้นมันก็ถูก เพราะอย่างไรเสียเวลาแค่ไม่กี่วันนี้มันก็ไม่มีทางที่จะช่วยให้เย่หยวนคุ้นชินในการหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ได้เลย

นี่มันเพิ่งจะเป็นครั้งที่สองที่เขาได้หลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์

โอสถที่ฉีเฟิงเลือกมาเป็นหัวข้อประลองนั้นคือโอสถแปดเขาฟ้าคำราม

สูตรโอสถนี้มันไม่ใช่สิ่งที่ยุ่งยากลึกลับใดๆ เย่หยวนเคยเห็นมันมาแล้วตอนที่อยู่ในศาลาสวรรค์หลวง

แต่โอสถระดับความยากสี่นั้นมันเป็นอะไรที่ยากกว่าโอสถเมฆานิลฝนมายาเป็นเท่าตัว

ตัวเย่หยวนในตอนนี้ มันยังนับว่าเป็นโอสถที่ยากอย่างหนึ่ง

แน่นอนว่านั้นมันนับถึงแค่ตัวโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์

เย่หยวนนั้นไม่ได้ขาดประสบการณ์ในการหลอมโอสถ ฝีมือด้านการหลอมของเขานั้นผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างมากมายจนนับไม่ถ้วน

แม้ว่าโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์มันจะเป็นโอสถในอีกระบบหลอมหนึ่ง มันก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกยุ่งยากลำบากใจขนาดนั้น

เวลาหลายวันที่เขาได้ใช้ในศาลาสวรรค์หลวงนั้นมันช่วยให้เย่หยวนแตกต่างจากตัวเขาในวันก่อนหน้าไปมาก

ทุกๆ คนรวมไปถึงฉีหยูมองเขาผิด!

เวลาไม่กี่วันมานี้มันนับเป็นความเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่แก่เย่หยวน

นอกจากเรื่องที่ว่าเขายังไม่คุ้นชินกับวิธีการหลอมแล้ว เรื่องอื่นๆ เขาก็พัฒนาตัวเองไปได้อย่างมหาศาล

ไม่ถึงสองชั่วโมงเย่หยวนก็สามารถหลอมโอสถออกมาได้สำเร็จ

เมื่อได้เห็นความเร็วในการหลอมนั้นของเย่หยวน ทุกคนต่างก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออก ได้แต่คิดว่าคำพูดของมู่หยวนชุนเรื่องความเร็วนั้นมันคงไม่ผิดแน่แล้ว

เจ้าหมอนี่มันหลอมได้อย่างรวดเร็วจริงๆ

เพียงแค่ว่าคุณภาพที่ออกมาจะเป็นอย่างไรกัน?

………………………