ตอนที่ 609 ทักษะแปลงกาย

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

วาจาของฉินอวี้โม่ทำให้หานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วสั่นสะท้านเล็กน้อย พลังของทั้งสองยังไม่ฟื้นฟูถึงสภาวะสูงสุดจริง ๆ และต่อให้ฟื้นคืนกลับถึงสภาวะพลังสูงสุด ทั้งสองก็สามารถรับมือได้กับหานชางเพียงเท่านั้น หากมีสมาชิกของฝ่ายมารที่สนับสนุนหานชางอยู่ ทั้งสองก็มิได้รู้สึกมั่นใจนัก

“เราไม่ทราบว่ามีคนของตระกูลหานมากเพียงใดที่อยู่ภายใต้การควบคุมของหานชางแล้ว ทุกอย่างที่เราทราบตอนนี้ล้วนเป็นข้อสันนิษฐานเท่านั้นและยังไม่มีหลักฐานใดแน่ชัด ต่อให้บอกพวกเขาไปก็อาจไม่มีผู้ใดเชื่อ ยิ่งไปกว่านั้น บุรุษจากพิภพเหนือสวรรค์ผู้นั้น เราก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะเป็นมิตรหรือศัตรู หากเกิดเรื่องขึ้นมาจริง ๆ เราก็ไม่มีทางทราบได้เลยว่าเขาจะตัดสินใจอย่างไร เพราะฉะนั้นเราทั้งสองจึงไม่เห็นด้วยกับการที่จะปล่อยให้ท่านพ่อและท่านแม่อยู่ที่นี่ต่อไป”

ฉินอวี้โม่แสดงความคิดเห็นของตนออกมาและไม่เห็นด้วยกับการที่หานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วจะอยู่ในหอคอยต้องห้ามนี้ต่อไป ถึงอย่างไรแล้วหากแผนการของหานชางสัมฤทธิผล หานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วก็จะถูกควบคุมกลายเป็นหุ่นเชิดของเขาไปโดยปริยายและเมื่อถึงตอนนั้น บางทีพวกนางก็อาจจะแก้ไขสิ่งใดมิได้อีกแล้ว

“อย่างไรก็ตาม หากเราหนีไปกับเจ้าทั้งสองในตอนนี้ เมื่อหานชางรู้เข้า มันจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น ยิ่งไปกว่านั้น หากเราไปจากหอคอยต้องห้าม หานชางอาจต้องปรับเปลี่ยนแผนการอย่างกะทันหัน เมื่อถึงตอนนั้น การสืบทราบแผนการของเขาก็คงยากขึ้นอีกมิใช่หรือ ?”

ไป่หลี่จิ่นซิ่วและหานซวนหยวนตระหนักดีว่าการเสี่ยงอยู่ที่หอคอยต้องห้ามแห่งนี้ต่อไปมิใช่เรื่องดี ทว่าเพื่อเปิดโปงแผนการสมคบคิดของหานชาง ทั้งสองก็ไม่มีทางเลือกอื่น

“ไม่เสมอไปหรอกขอรับ เท่าที่ข้ารู้มา ทักษะหุ่นเชิดควบคุมได้เพียงมนุษย์เท่านั้น และไม่มีผลต่อสิ่งมีชีวิตอื่นนอกเหนือจากนั้น”

จู่ ๆ หานโม่ฉือก็กล่าวราวกับมีแผนการบางอย่างเตรียมไว้ในใจ

หานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วมองเห็นความมั่นใจของหานโม่ฉือและสงสัยใคร่รู้ยิ่งนัก หากทั้งสองไม่จำเป็นต้องเสี่ยงชีวิตอยู่ที่นี่และยังสามารถทำลายแผนของหานชางได้ พวกเขาก็จะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่

“ท่านแม่ ดูสิว่านี่ใคร ?”

หานโม่ฉือกล่าวพร้อมรอยยิ้มเล็ก ๆ และร่างหนึ่งปรากฏข้างกายเขาอย่างฉับพลัน

ผู้ที่ปรากฏขึ้นมานี้ก็คือบุรุษที่มีรูปลักษณ์และท่าทางการแสดงออกเหมือนกับหานซวนหยวนทุกประการ หากมิใช่ผู้ที่สนิทสนมใกล้ชิดกันมาเป็นเวลานานก็คงยากที่จะบอกได้ว่าร่างนี้เป็นหานซวนหยวนตัวปลอม

“นี่คือ…”

ไป่หลี่จิ่นซิ่วมองหานซวนหยวนข้างกายของตนและเลื่อนสายตาไปที่ ‘หานซวนหยวน’ ถัดจากหานโม่ฉือสลับไปมา หากมิใช่เพราะนางและหานซวนหยวนเป็นภรรยาและสามีกันมานานหลายปี เกรงว่านางก็คงไม่อาจแยกได้ว่าคนใดคือหานซวนหยวนตัวจริง

“นี่คืออสูรมายาของข้า หลังจากบรรลุระดับนภาเซียน มันก็ได้รับความสามารถในการแปลงกายมา ข้าจึงคิดว่ามันน่าจะปลอมตัวเป็นท่านพ่อและอยู่ในหอคอยต้องห้ามนี้แทน หานชางคงจะไม่คุ้นเคยกับท่านพ่อมากเท่าไหร่นักและเขาคงจะไม่สามารถมองเห็นถึงความแตกต่างใด ๆ ได้”

หานโม่ฉืออธิบายแผนการรับมือที่เขาและฉินอวี้โม่เตรียมการไว้ล่วงหน้า หลังจากได้ทราบสิ่งที่บิดาและมารดาคิดจะทำต่อไป พวกเขาจึงตัดสินใจดำเนินตามแผนการนี้ทันที

“หากข้าออกไปจากที่นี่ แล้วแม่ของเจ้าล่ะ ?”

หานซวนหยวนกล่าวสิ่งที่เขากังวลมากที่สุดออกไปทันที ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่มีทางหันหลังจากไปและทิ้งภรรยาไว้เพียงลำพัง หากไป่หลี่จิ่นซิ่วไม่ได้ออกไป เขาก็จะไม่ไปจากหอคอยต้องห้ามนี้เช่นกัน

“พี่ซวนหยวน ไม่ต้องห่วงข้า เพียงท่านได้ออกไปจากที่นี่ ข้าก็มีความสุขมากแล้ว ข้าจะอยู่ที่นี่ต่อและร่วมมือกับอสูรมายาของโม่ฉือเพื่อขัดขวางมิให้แผนการของหานชางสำเร็จได้”

ไป่หลี่จิ่นซิ่วจับมือสามีและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม นางรักหานซวนหยวนอย่างแท้จริงและหากเขาได้ไปจากที่นี่ ต่อให้นางต้องอยู่ต่อเบื้องหลัง นางก็มีความสุขอย่างมาก สำหรับตัวนาง นางก็ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าจะได้ไปจากที่นี่หรือไม่

“ซิ่วเอ๋อร์ ข้าไม่มีทางทิ้งเจ้าไว้ที่นี่แน่”

หานซวนหยวนไม่กล่าวสิ่งใดให้มากความและประกาศจุดยืนของตนเองอย่างชัดเจนด้วยประโยคเดียว เขาไม่มีทางทอดทิ้งให้ไป่หลี่จิ่นซิ่วอยู่ที่นี่เพียงลำพังและไม่มีทางออกจากหอคอยต้องห้ามเพื่อเอาตัวรอดเพียงคนเดียว

“ท่านพ่อ ท่านแม่ ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ เราไม่มีทางทิ้งให้ท่านคนใดคนหนึ่งต้องอยู่ที่นี่แน่”

ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ นางเข้าใจความรู้สึกของหานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วเป็นอย่างดี ตอนที่นางและหานโม่ฉือคิดแผนการนี้ขึ้นมา ทั้งสองก็ได้พิจารณาถึงสถานการณ์เช่นนี้ไว้แล้ว

“มารยา ถึงตาเจ้าแล้ว”

เมื่อสิ้นเสียงดังกล่าว ร่างของมารยาก็ปรากฏข้างกายฉินอวี้โม่พร้อมรอยยิ้มประดับใบหน้า แม้เป็นเพียงอสูรมายา ทว่าเมื่อสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ลึกซึ้งระหว่างหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ รวมถึงหานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่ว อสูรสาวก็อดรู้สึกอ่อนไหวไม่ได้

“นายหญิง ไม่ต้องห่วง”

ทันใดนั้น มารยาก็กลายร่างเป็นสตรีงดงามนางหนึ่งก่อนเดินตรงไปหาหานซวนหยวนที่กลายร่างมาจากกิเลนอัคคีและเกาะแขนอย่างแนบชิดพร้อมเอ่ยเรียก ‘พี่ซวนหยวน’

กิเลนอัคคีตอบกลับด้วยท่าทางเลียนแบบหานซวนหยวนอย่างชัดเจน แม้แต่ไป่หลี่จิ่นซิ่วและหานซวนหยวนเองก็ต้องยอมรับว่ายากที่จะแยกแยะและบ่งบอกถึงความผิดปกติได้

“เจ้าทั้งสองทำให้เราทึ่งจริง ๆ”

หานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วมองตรงไปที่บุตรชายและสะใภ้คนงามก่อนแตะแขนฉินอวี้โม่เบา ๆ เป็นดังสำนวนที่ว่าไว้จริง ๆ คลื่นลูกใหม่ย่อมซัดคลื่นลูกเก่า พวกเขาแก่เกินไปแล้ว…

* 长江后浪推前浪 คลื่นลูกใหม่ซัดคลื่นลูกเก่า ความหมายคือ คนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถมากกว่าและเข้ามาแทนที่คนรุ่นเก่าที่แก่ลง

“กิเลน มารยา เจ้าทั้งสองจงอยู่ในหอคอยต้องห้ามและจับตาดูสถานการณ์ไว้ ติดต่อข้าและโม่ฉือเมื่อได้ความคืบหน้าใด ๆ เมื่อหานชางใช้ทักษะหุ่นเชิดเพื่อควบคุมพวกเจ้า เจ้าทั้งสองก็จงแสร้งทำเหมือนเขาควบคุมพวกเจ้าได้สำเร็จและทำตามคำสั่งของเขาทุกอย่าง เราต้องรู้ให้แน่ชัดว่าหานชางคิดจะทำอะไร !”

ฉินอวี้โม่กล่าวออกมาพร้อมน้ำเสียงที่แอบแฝงไปด้วยจิตสังหารที่แรงกล้า นางไม่มีทางยอมให้สิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีตต้องเกิดขึ้นซ้ำรอยอีกครั้ง ในงานรวมพลสี่ตระกูลลับครานี้ นางจะต้องเปิดโปงแผนการร้ายของหานชางและกำจัดคนจากฝ่ายมารให้ได้

กิเลนอัคคีและมารยาพยักศีรษะและประจำอยู่ในหอคอยต้องห้ามชั้นที่เจ็ดต่อไป

ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็มิได้รีรออะไรอีก หลังจากส่งหานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัว ทั้งสองก็เดินลงไปชั้นล่างของหอคอยทันที

ทันทีที่มาถึงชั้นล่างสุดของหอคอยต้องห้าม ทั้งสองก็พบกับสวีไหลที่ยืนนิ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉยพร้อมด้วยหานชางและคณะติดตามที่กำลังจ้องตรงไปที่สวีไหลด้วยแววตาเคร่งเครียด

เมื่อหานชางและกลุ่มของเขามองเห็นฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือลงมาจากชั้นบน พวกเขาก็ละสายตาจากสวีไหลและมองตรงไปที่คนทั้งสอง

“เหอะ ถือว่าพวกเจ้าไม่เลวทีเดียว”

หานชางแค่นเสียงเย็นชาขณะมองฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือด้วยแววตาชั่วร้ายดุดัน เขาไม่คิดเลยว่าคนหนุ่มสาวคู่นี้จะฝ่าผ่านด่านป้องกันมากมายหลายชั้นเข้าไปในหอคอยต้องห้ามได้สำเร็จและทำให้ผู้อาวุโสทั้งสี่ผู้ทรงพลังต้องเสียท่าไปอย่างน่าอับอาย นี่ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจอย่างที่สุดและจิตสังหารแรงกล้าที่มีต่อคนทั้งสองก็ทวีคูณมากขึ้น

“ก็เพียงแค่โชคดีเท่านั้น ผู้นำหานไม่จำเป็นต้องโกรธเคืองนัก”

ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือแสดงสีหน้าที่เรียบเฉยโดยไม่แยแสหานชางแม้แต่น้อย ไม่ว่าคนผู้นี้จะโกรธแค้นเพียงใด มันก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกนาง

“ผู้นำหาน ข้าได้ยินมาว่าฉินอวี้โม่ผู้นี้มีมิติที่สองอยู่กับตัว ข้าคิดว่าท่านควรตรวจดูให้แน่ชัดเสียก่อนว่าหานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วซ่อนตัวอยู่ในนั้นหรือไม่”

ทันใดนั้น ใครคนหนึ่งจากกลุ่มสมาชิกของตระกูลหลิวก็กล่าวออกมาขณะมองฉินอวี้โม่พร้อมเผยรอยยิ้มเยือกเย็น

ฉินอวี้โม่จดจำเจ้าของเสียงดังกล่าวได้ดีตั้งแต่แวบแรกที่เห็น เขาคือหลงจื้อจากนิกายหงส์มังกรนั่นเอง

“เหอะ ไม่คิดเลยว่าจะมีคนจากนิกายหงส์มังกรปะปนอยู่ในคณะตระกูลหลิวด้วย”

ฉินอวี้โม่กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงเหน็บแนม การที่สมาชิกของนิกายหงส์มังกรเข้าร่วมเป็นฝ่ายเดียวกับตระกูลหลิวถือเป็นเรื่องใหม่ที่น่าสนใจยิ่งนัก

“ฮ่า ๆ ๆ ผู้อาวุโสหลงจื้อเป็นแขกคนพิเศษของเรา ครานี้เขาก็ได้รับเชิญจากตระกูลหานให้มาเข้าร่วมงานเช่นกัน”

ผู้นำตระกูลหลิวกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกความรู้สึก

“หากเป็นเช่นนั้น คนจากนครหมื่นอสูรและอารามโชติช่วงก็คงจะมาที่นี่ด้วยสินะ”

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก่อนพบใบหน้าที่คุ้นเคยหลายคน

“ฉินอวี้โม่ อย่าพยายามตีเนียนเปลี่ยนเรื่องเลย ทั้งหานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วกระทำความผิดใหญ่หลวงและไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากหอคอยต้องห้ามโดยเด็ดขาด ในเมื่อเจ้าทั้งสองขึ้นไปบนชั้นที่เจ็ดและมีสิ่งที่เรียกว่ามิติที่สองอยู่กับตัว คงเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะไม่คิดพาทั้งสองหลบหนีออกไป เพราะฉะนั้นข้าต้องการตรวจสอบมิติที่สองของเจ้า หากแน่ใจแล้วว่าเจ้ามิได้แอบพาพวกเขาหลบหนี เจ้าก็ไปจากที่นี่ได้ และหลังจากนี้หากพวกเจ้าจะเข้าร่วมงานรวมพลสี่ตระกูลลับ ข้าก็ไม่ขัดข้องแต่อย่างใด”

หานชางกล่าวด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดเล็กน้อย

“ผู้นำหาน ท่านเสียสติไปแล้วรึ ? มิติที่สองของข้าเต็มไปด้วยสมบัติล้ำค่า หากข้าปล่อยให้ท่านเข้าไปและมีของสิ่งใดสิ่งหนึ่งหายไป ข้าจะทำอย่างไร ? ยิ่งไปกว่านั้น คฤหาสน์มิติที่ท่านกล่าวถึงคืออาณาเขตของข้า การที่ท่านเข้าไป มันก็ไม่ต่างไปจากการเดินเข้าปากเสือ หากท่านสิ้นชีวิตอยู่ข้างใน เกรงว่ามันจะทำให้คฤหาสน์เฟิงหัวของข้าแปดเปื้อนไปเสียเปล่า ๆ”

ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มทว่าน้ำเสียงของนางบ่งบอกถึงความเย้ยหยันอย่างไม่ปิดบัง ’คิดจะเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวของข้างั้นรึ…หานชางผู้นี้ช่างมีความที่คิดเพ้อฝันจริง ๆ !’

“เจ้า…!”

หานชางฉุนเฉียวทันทีที่ได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ ทว่าเขาไม่อาจสรรหาคำพูดใดตอบโต้ได้เลย ฉินอวี้โม่กล่าวถูกทุกประการ หากเขาเข้าไปในมิติที่สองของนาง ชีวิตของเขาจะต้องตกอยู่ในกำมือของฉินอวี้โม่เป็นแน่

“ผู้นำหาน… อันที่จริง ข้าคิดว่าท่านจะได้ทราบเองเมื่อขึ้นดูบนชั้นที่เจ็ดของหอคอย หากหานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วยังอยู่บนนั้น มันก็พิสูจน์ได้ว่าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือไม่ได้พาพวกเขาหลบหนีออกไป เมื่อถึงตอนนั้นก็ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบสิ่งใดอีก”

เหมยตงอวิ๋นกล่าวแทรกขึ้นมา ตราบใดที่หานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วยังอยู่ในชั้นเจ็ดของหอคอยต้องห้าม นั่นก็แน่นอนว่าทั้งสองมิได้อยู่ในมิติที่สองของฉินอวี้โม่

เมื่อได้ยินข้อเสนอแนะของเหมยตงอวิ๋น หานชางก็พยักศีรษะเบา ๆ

“ขออภัยทุกท่าน โปรดรอตรงนี้สักประเดี๋ยว ข้าจะรีบไปรีบมา”

หลังจากกล่าวกับทุกคนและขยิบตาส่งสัญญาณให้กับคนตระกูลหลิว คนเหล่านั้นก็เข้าใจความหมายของเขาในทันทีและก้าวออกไปขวางรอบตัวฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเพื่อป้องกันมิให้ทั้งสองไปจากที่นี่ได้

ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือมิได้สนใจการกระทำของคนเหล่านี้แม้แต่น้อย ถึงอย่างไรนางก็มีแผนการที่เตรียมไว้แล้วและหานชางจะไม่มีทางค้นพบจนกว่าจะสายเกินไป

อีกประมาณหนึ่งก้านธูปต่อมา หานชางก็เดินลงมาจากชั้นที่เจ็ดของหอคอยด้วยใบหน้าเรียบเฉย

“เป็นอย่างไรบ้าง ผู้นำหาน ทีนี้เราไปได้หรือยัง ?”

ฉินอวี้โม่คลี่ยิ้มยียวนและกล่าวออกไป

“เหอะ ครานี้ถือว่าพวกเจ้ารอดตัวไป ข้าจะประกาศอีกครั้งว่าหานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วละเมิดกฎของตระกูลหานอย่างร้ายแรง หากไม่ได้รับอนุญาตจากข้าและเหล่าผู้อาวุโส พวกเขาจะไม่มีทางออกไปจากหอคอยต้องห้ามแห่งนี้ได้”

หลังจากแค่นเสียงเย็นชา เขาก็กล่าวกับทุกคนอย่างเสียงดังฟังชัด

จากนั้นฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็เดินตรงออกไปจากหอคอยต้องห้ามทันที อย่างไรก็ตาม ก่อนเดินพ้นจากไป ทั้งสองก็หันไปหาสวีไหลและกล่าวทิ้งท้ายเบา ๆ “เราจะมาหาท่านอีกครั้ง”

สวีไหลมองคนรุ่นเยาว์มากฝีมือทั้งสองอย่างใช้ความคิดโดยไม่กล่าวสิ่งใด เขามีลางสังหรณ์ในใจว่าจะเกิดเรื่องที่ใหญ่โตบางอย่างในไม่ช้า !

.