Ch.14 – ตอนที่ 25 นี่ก็คือแบบฉบับเทพธิดาในฝันของซูเจี๋ยนคนก่อน ตรงสเปคเป๊ะๆ! (2/2)
Translator : Akanirawan / Author
ตั้งแต่แรกเหยียนจื่อเวยคนนี้ก็เป็นเพื่อนร่วมห้องตอนเรียนมัธยมปลายของสาวน้อยซูเจี๋ยน แล้วก็ได้กลายเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่นั้นมา
พอถึงตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัย ซูเจี๋ยนซึ่งมีผลการเรียนดีเยี่ยมก็ได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย A ส่วนเหยียนจื่อเวยที่ตั้งใจทำตามฝันของตัวเองก็ได้เข้าศึกษาต่อที่วิทยาลัยนิเทศศาสตร์ด้านสาขาภาพยนตร์ในเมืองเดียวกันนั่นเอง แม้ทั้งสองคนจะไม่ได้เรียนต่อที่เดียวกัน แต่เพราะอยู่ในเมืองเดียวกัน จึงได้พบปะพูดคุยกันบ่อยครั้ง ความสัมพันธ์ก็ยิ่งแน่นแฟ้นสนิทชิดเชื้อมากกว่าเดิม
เรื่องที่คุณแม่ของซูเจี๋ยนตรวจพบสภาวะไตวายแล้วต้องใช้เงินจำนวนมากในการเข้ารับการรักษานั้น เหยียนจื่อเวยก็รับรู้ แม้เธอจะพยายามอย่างมากเพื่อหาทางช่วยเหลือซูเจี๋ยน แต่พื้นเพครอบครัวของเธอเองก็ไม่ได้ดีนัก ลำพังแค่ที่ครอบครัวต้องหาเงินมาส่งเสียเธอเข้าเรียนวิทยาลัยด้านการภาพยนตร์แห่งนั้นก็ถือว่าเต็มกลืนแล้ว ดังนั้นแม้ว่าเธอจะพยายามช่วยก็ช่วยได้อย่างจำกัดมาก ในใจของซูเจี๋ยนย่อมตระหนักถึงจุดนี้ดี
ดังนั้น แม้เหยียนจื่อเวยจะตบอกรับปากบอกให้เธอไม่ต้องกังวล ตนจะเป็นคนพยายามคิดวิธีหาเงินที่มากพอมาให้เอง แต่ซูเจี๋ยนย่อมไม่อยากเป็นภาระต่อพี่น้องผู้แสนดีของตัวเอง ประจวบเหมาะกับที่บังเอิญได้พบอันอี่เจ๋อ ทั้งอันอี่เจ๋อก็กำลังต้องการผู้หญิงมาร่วมมือเล่นละครกับการแต่งงามปลอมๆ ของเขาอยู่พอดี ซูเจี๋ยนจึงตัดสินใจแต่งงานพร้อมทั้งปิดบังเรื่องนี้จากเหยียนจื่อเวย
ตอนที่ซูเจี๋ยนแต่งงานนั้น เหยียนจื่อเวยออกไปถ่ายทำภาพยนตร์ที่นอกเมือง แม้ว่าจากนั้นซูเจี๋ยนจะอธิบายเหตุผลของตัวเองให้เธอฟังไปตามความสัตย์จริงแล้ว แต่เหยียนจื่อเวยก็ยังรู้สึกหงุดหงิดมากอยู่ดี อดต่อว่าต่อขานเธออย่างรุนแรงไม่ได้
หลังจากนั้นไม่นาน ซูเจี๋ยนก็ประสบอุบัติเหตุรถยนต์
เหยียนจื่อเวยคำรามอย่างกราดเกรี้ยว : “ประสบอุบัติเหตุรถชนจนเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เธอก็ยังไม่ยอมบอกฉันอีก ซูเสี่ยวเจี๋ยน เธอชักจะใจกล้าขึ้นทุกทีๆ แล้วนี่!”
ซูเจี๋ยนได้แต่ฝืนเค้นรอยยิ้มแห้งแล้งปั้นหน้าตอบ : “ก็ไม่ใช่เพราะกลัวว่าเธอจะกังวลวุ่นวายแบบนี้รึไงล่ะ”
เหยียนจื่อเวยโค้งกายลงไปตรวจดูขาข้างที่เจ็บของซูเจี๋ยนอย่างละเอียด ยังไม่ยอมวางใจ : “เธอไม่เป็นอะไรแล้วแน่นะ”
ซูเจี๋ยนยืนยันเป็นมั่นเหมาะ : “ไม่เป็นไรแล้วจริงๆ! คุณหมอยังบอกด้วยว่า ถ้าพักฟื้นดีๆ ก็จะไม่มีอาการบาดเจ็บตกค้างอะไรเหลืออยู่อีกเลย!” ตอบไปพลางในใจก็ครุ่นคิดอย่างรื่นรมย์ยินดี : มีเทพธิดาคนสวยมาเป็นห่วงเป็นใยแบบนี้มันรู้สึกดีชะมัด!
ในที่สุดเหยียนจื่อเวยก็วางใจได้ จากนั้นก็เริ่มไต่ถามซอกแซก : “เจ้าคนแซ่อันนั่นดีต่อเธอรึเปล่า”
ซูเจี๋ยนคิดในใจ : เจ้าอันอี่เจ๋อนั่นแย่งแฟนกับว่าที่แฟนฉันไปหมด จนฉันต้องกลายเป็น ‘โสดสนิททั้งปีทั้งชาติ’ ยังจะเรียกว่าดีต่อฉันได้ที่ไหน?
แต่พอนึกถึงท่าทีที่อันอี่เจ๋อมีต่อตนเองในทุกวันนี้ อีกทั้งหากกล่าวออกไปว่าอันอี่เจ๋อไม่ดีต่อตัวเองจริงๆ ก็เกรงว่าเพื่อนสนิทผู้ใจร้อนของตัวเองคนนี้จะสั่งให้เก็บข้าวของเดินจากไปพร้อมเธอทันที แม้เรื่องที่ต้องกลายเป็นภรรยาของอันอี่เจ๋อจะทำให้ซูเจี๋ยนรู้สึกเศร้าสลดหดหู่อยู่มาก แต่จะอย่างไรเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่สาวน้อยซูเจี๋ยนได้ตกลงไว้กับอันอี่เจ๋ออยู่ก่อน ในเมื่อเขาได้มายึดครองร่างของสาวน้อยซูแล้ว ก็จำเป็นต้องสานต่อความตั้งใจของเธอให้สำเร็จลุล่วงไปจนถึงตอนสุดท้าย
คิดแล้วซูเจี๋ยนก็ผงกศีรษะ : “เขา…ดีต่อฉันมากจริงๆ”
เหยียนจื่อเวยจ้องมองตาเขม็ง : “เธออย่าได้คิดโกหกฉันเชียวนะ!”
“เปล่านะ! เปล่า!” ซูเจี๋ยนละล่ำละลักปฏิเสธ : “เมื่อสองวันก่อน เขายังถึงขนาดช่วยซื้อผ้าอนามัยมาให้ฉันด้วยซ้ำ!”
เหยียนจื่อเวย : “…..จินตนาการไม่ออกเลย…”
ซูเจี๋ยนแอบพูดในใจ : ถ้าเห็นกระดาษที่แปะอยู่บนตู้เย็นว่าด้วยเรื่อง ‘ข้อควรระวังช่วงเป็นประจำเดือน’ แผ่นนั้น เดาได้เลยว่าเธอคงจะยิ่งจินตนาการไม่ออกหนักกว่านี้อีก
เหยียนจื่อเวยม้วนปอยผมเล่น : “ช่างมันเถอะ ยังไงเธอก็แต่งออกไปแล้ว ฉันจะคัดค้านไปก็ไร้ประโยชน์ ขอแค่อย่างเดียว ถ้าหากอันอี่เจ๋อนั่นทำร้ายเธอให้เจ็บช้ำใจ เธอห้ามฝืนทนกล้ำกลืนไว้คนเดียวเด็ดขาด! อย่าได้กลัวหัวหดแค่เพราะว่าเขารวยนะ!”
ซูเจี๋ยนผงกศีรษะรัวๆ ติดต่อกัน ประกายตาวิบวับอย่างชอบอกชอบใจ : เทพธิดาของฉันช่างห้าวหาญน่าชื่นชมจริงๆ!
“อีกอย่าง ในเมื่อเธอแต่งกับอันอี่เจ๋อไปแล้ว นี่ก็นับเป็นโอกาสดี! ถึงจะแค่แต่งงานกันปลอมๆ ก็เถอะ แต่ยังไงเธอก็เป็นฝ่ายที่เสียหายมากกว่า ชื่อเสียงที่ต้องเสียหายจากการหย่าร้างของผู้หญิงเราน่ะประเมินค่าไม่ได้! เพราะงั้นเธอก็ต้องพยายามขูดรีดจากอันอี่เจ๋อมาให้มากๆ นะ รู้ไหม ยังไงเขาก็ไม่ได้ขาดแคลนเงินทองอยู่แล้วนี่!”
ซูเจี๋ยนพยักหน้ารัวเร็วราวกับไก่จิกกินข้าวเปลือก : ถ้อยคำของเทพธิดา ต้องจดจำไว้ให้ขึ้นใจ!
เหยียนจื่อเวยกวาดตามองไปรอบๆ พูดเปรยๆ ขึ้น : “แล้วนี่เธออยู่แต่บ้านทุกวันเลยเหรอ ไม่เบื่อรึไง”
เบื่อสิเบื่อ น่าเบื่อจะตายอยู่แล้ว! เพราะงั้นก็ช่วยมาหาฉันบ่อยๆ ด้วยเถอะ แล้วก็โทรหาฉันบ่อยๆ ด้วยนะ! ซูเจี๋ยนร่ำร้องอยู่ในใจ ทว่าฉากหน้ากลับแสดงออกมาได้เพียงรอยยิ้มเขินอายประดับริมฝีปาก “ยังพอทนไหวอยู่….” หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ด้วยความวาดหวังว่าจะเพิ่มพูนความรู้สึกดีๆ ที่เทพธิดามีต่อตนเอง จึงแสดงสีหน้าปล่อยวางกล่าวเสริมไปประโยคหนึ่ง : “ก็ไม่ใช่มีใครสักคนว่าไว้หรอกหรือ? ชีวิตคนเรา แท้จริงแล้วก็คือการเดินทางอันแสนโดดเดี่ยว”
เหยียนจื่อเวย : “…..รู้งี้ฉันน่าจะขัดขวางเธอซะตั้งแต่ตอนนั้น ไม่น่าให้เธอได้เรียนสาขาอักษรจีนนั่นเลย”
ทั้งสองพูดคุยสัพเพเหระกันอยู่นานมาก ไม่ทันรู้ตัวก็ใกล้ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว เหยียนจื่อเวยหยิบโทรศัพท์ออกมาดูเวลา : “มืดขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย”
ซูเจี๋ยนรีบกล่าว : “ยังหรอก ยังไม่มืดซะหน่อย! เธอไม่อยู่ทานมื้อเย็นด้วยกันก่อนล่ะ”
“แล้วคุณสามีของเธอจะไม่กลับมากินข้าวเย็นด้วยรึไง”
เพื่อจะเหนี่ยวรั้งคนงามไว้ให้อยู่กับตัวเองนานขึ้นอีกนิด ซูเจี๋ยนก็โกหกคำโตอย่างไม่ละอายเลยแม้แต่น้อย : “เขาไม่ค่อยกลับมากินข้าวเย็นที่บ้านหรอก ไม่ต้องสนใจเขา!”
เหยียนจื่อเวยยอมเชื่ออย่างง่ายดาย : “นั่นก็ถูก เขาเป็นถึงท่านประธานบริษัท คงมีพวกงานเลี้ยงสังสรรค์ทานอาหารค่ำอะไรเยอะแยะ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเขาไม่ได้แต่งงานกับเธอจริงๆ ด้วยซ้ำ บางทีอาจจะไปหาผู้หญิงสวยๆ ซักสองสามคนมาคอยตอบสนองความต้องการทางร่างกาย!”
ซูเจี๋ยน : “……”
เหยียนจื่อเวยยอมรั้งอยู่เพื่อทานมื้อเย็นด้วยกัน ซูเจี๋ยนย่อมมีความสุขมาก ตัดสินใจแสดงฝีมือเต็มที่ เพื่อให้เทพธิดาได้ทานอาหารอร่อยๆ ทว่าเหยียนจื่อเวยกลับไม่ยอมให้คนทุพพลภาพครึ่งตัวอย่างเขามาทำอาหาร หญิงสาวตัดสินใจเข้าครัวลงมือเองทั้งหมด
เมื่ออาหารเย็นเตรียมพร้อมจัดวางบนโต๊ะเรียบร้อย อันอี่เจ๋อก็กลับมาถึงบ้านพอดี
————————
แฟนเพจ ‘Akanirawan’ https://bit.ly/3gBu94T