ตอนที่ 1-2 ฝัน ณ คืนกลางฤดูร้อน

จังหวะรัก นักบัลเลต์

ตอนที่ 1-2 ฝัน ณ คืนกลางฤดูร้อน

 

 

 

 

< Romeo and Juliet > 

 

 

โรมิโอ : ฝ่ายมัธยมปลายชั้นปีที่ 1 ห้อง A ชเวซูฮยอน 

 

 

จูเลียต : ฝ่ายมัธยมปลายชั้นปีที่ 1 ห้อง A คิมเซจิน 

 

 

ติบอลท์ : ฝ่ายมัธยมปลายชั้นปีที่ 1 ห้อง A ลีอีเซ 

 

 

 

 

 

< Le Corsaire > 

 

 

คอนราด : ฝ่ายมัธยมปลายชั้นปีที่ 2 ห้อง B ซอจุน 

 

 

อัลลี : ฝ่ายมัธยมปลายชั้นปีที่ 3 ห้อง A ลีอีกง 

 

 

เมโดรา : ฝ่ายมัธยมปลายชั้นปีที่ 2 ห้อง B จองโซยอน 

 

 

กัลแนร์ : ฝ่ายมัธยมปลายชั้นปีที่ 1 ห้อง A คิมฮวีกยอม 

 

 

รังเดม : ฝ่ายมัธยมปลายชั้นปีที่ 2 ห้อง A แพกฮยอนจุน 

 

 

 

 

 

วันนี้คือวันประกาศบทของการแสดงประจำฤดูใบไม้ร่วงที่ทุกคนตั้งตารอคอยกันเนิ่นนาน เพื่อที่จะได้รับบทดีๆ จากการแสดงนี้ซึ่งมีความสำคัญและยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดางานโรงเรียนทั้งหมด พอขึ้นมัธยมปลายปุ๊บ ฉันก็กัดฟันอดทนซ้อมแล้วซ้อมเล่าเรื่อยมา 

 

 

เสียงของพวกเด็กๆ ที่มาออกันอยู่ข้างหน้าบอร์ดประกาศโรงเรียนตั้งแต่เช้าตรู่ดังเอะอะวุ่นวาย จนเสียงแหลมๆ เหล่านั้นเหมือนกับจะทำลายกระจกให้แตกละเอียดเสียเดี๋ยวนั้นเลย 

 

 

เนื่องด้วยส่วนใหญ่เป็นนักเรียนหญิง ทำให้พอเสียงสูงๆ ดังรวมกัน ก็เกิดเป็นเสียงรบกวนระดับที่ยากเกินจะทนไหว เล่นเอาทั่วทั้งร่างกายรู้สึกอื้ออึงไปหมด 

 

 

ข้อความขนาดใหญ่ที่เขียนแปะเอาไว้บนกระดานประกาศเกิดเป็นรอยยับยู่ยี่ไปหมดในเวลาอันสั้นเพราะมือของเด็กๆ ส่วนฉันก็ยืนนิ่งเป็นตอไม้อยู่ข้างหน้าเซจิน พร้อมกับฟังเสียงกรีดร้องแหลมๆ ของเธอที่กลมกลืนไปกับเสียงกรีดร้องของคนอื่นๆ กัลแนร์งั้นเหรอ แถมยังเล่นกับรุ่นพี่อีกงด้วย 

 

 

“ทำไมโรมิโอถึงต้องเป็นชเวซูฮยอนด้วยล่ะ ล้อกันเล่นรึไง” 

 

 

“…ก็เขาทำได้ดีที่สุดนี่นา” 

 

 

“หน็อย คิมฮวีกยอม! ถ้าแม้แต่เธอก็พูดแบบนั้น แล้วฉันจะทำยังไงล่ะ” 

 

 

“…โทษที” 

 

 

“แค่เธอต้องไปแสดงเรื่อง Le Corsaire คนเดียวก็เศร้าจะแย่แล้ว ฉันยังต้องมาแสดงปาเดอเดอ[1]กับชเวซูฮยอนอีก เลวร้ายที่สุด!” 

 

 

“…” 

 

 

“เธอนี่ดีจังเลยนะ ได้แสดงกับรุ่นพี่อีกงด้วย” 

 

 

แล้วเสียงแหลมๆ ของเซจินก็กลายมาเป็นเสียงบ่นคร่ำครวญ เป็นอย่างที่เซจินพูด บทในครั้งนี้ บอกตามตรงว่า แม้แต่ฉันเองก็ยังรู้สึกตกใจอยู่ไม่น้อยเลยล่ะ 

 

 

เป็นเพราะฉันนึกถึงแต่เรื่อง Romeo and Juliet ที่เป็นการแสดงหลักของนักเรียนชั้นปีที่หนึ่ง เลยไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะมีเพียงแค่ตัวเองที่ได้มาเล่นกับพวกรุ่นพี่ ยิ่งไปกว่านั้นบทอของ ‘กัลแนร์’ ยังเป็นบทที่มีท่อนแสดงเดี่ยวด้วยไม่ใช่เหรอ 

 

 

การที่รุ่นพี่อีกงไม่ได้รับบทในการแสดงหลักของนักเรียนชั้นปีที่สามก็ว่าแปลกแล้ว แต่นี่ฉันกลับได้มาแสดงร่วมกับรุ่นพี่อีก ไม่ว่าจะหยิกแก้มแรงขนาดไหน ฉันก็ไม่มีทางเชื่อหรอก 

 

 

“อรุณสวัสดิ์” 

 

 

ระหว่างที่อ่านชื่อของตัวเองที่เขียนบนประกาศอยู่หลายครั้ง จู่ๆ ฉันก็ได้ยินเสียงคุ้นเคยดังมาจากข้างหลัง เมื่อฉันหันหลังไปแล้วเงยหน้าขึ้น ก็ได้พบกับใบหน้าใสๆ ของซูฮยอนที่เพิ่งจะโดนเซจินว่าร้ายยกใหญ่ไปเมื่อกี้ 

 

 

ซูฮยอนมองหน้าของเซจินที่เต็มไปด้วยรอยย่นยับยู่ยี่กับฉันที่กำลังยืนเอ๋อ สลับกันไปมา ก่อนจะคลายเน็กไทที่รัดไว้แน่นจนแทบจะหายใจไม่ออก แล้วค่อยๆ พิจารณาข้อความบนกระดานประกาศอย่างช้าๆ 

 

 

สายตาที่ไม่สั่นไหวใดๆ เริ่มไล่ดูรายชื่อตั้งแต่ชื่อแรกจนถึงชื่อสุดท้ายอย่างรอบคอบ ก่อนจะหันหน้าไปหาเซจิน แล้วทันใดนั้น เขาก็ยื่นมือที่ใหญ่และเรียวไปข้างหน้าเซจิน 

 

 

“ฝากตัวด้วยนะ คิมเซจิน” 

 

 

ถึงฉันจะคบกับเซจินมาตั้งแต่สมัยประถม แต่ก็ยังไม่เคยเห็นสีหน้าที่บึ้งตึงอย่างรุนแรงขนาดนั้นมาก่อน ดวงตาที่เหลือบมองแรงกรอกไปมาอยู่พักนึง ก่อนจะยอมยื่นมือออกไปจับเต็มแรง 

 

 

“ฝาก- ตัว-ด้วย-ล่ะ ชเวซูฮยอน” 

 

 

เซจินพูดเน้นคำด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะเป็นการกระแหนะกระแหน ก่อนจะจบประโยคด้วยคำว่า ‘ขอตัวก่อนนะ’ แล้วปล่อยมือของซูฮยอน หลังจากนั้นก็ลากฉัน และเดินฉับๆ ตัดโถงทางเดินออกไป ขณะที่ต้องวิ่งตามหลังเซจินไปอย่างไม่ทันตั้งตัว ฉันก็หันกลับไปมองข้างหลัง 

 

 

สีหน้าของซูฮยอนที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงที่เดิมนั้น แม้จะไม่เปลี่ยนแปลงไป แต่ดวงตาคู่โตที่ซื่อตรงนั้นก็มองตามพวกเราไปด้วยสายตากดดันอย่างเงียบๆ ฉันที่รู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมาจนขนลุกจึงรีบหันหน้ากลับมา แล้วเดินไปขนาบข้างเซจิน 

 

 

“เมื่อกี้เธอก็เห็นใช่ไหม ทำท่าทางอวดดีอย่างกับว่าตัวเองเป็นรุ่นพี่อย่างงั้นแหละ เหม็นขี้หน้าชะมัด ซวยจริงๆ!” 

 

 

“เธอไม่กลัวเหรอ ชเวซูฮยอนน่ะ” 

 

 

“หา? มีเหตุผลอะไรที่ฉันจะต้องกลัวล่ะ” 

 

 

“…ก็นะ” 

 

 

ดวงตานั้นที่เหมือนกับจะเจาะร่างให้ทะลุ จนถึงตอนนี้ฉันยังไม่เคยเห็นดวงตาที่ลึกจนไม่อาจรู้จุดสิ้นสุดได้แบบนั้นมาก่อน ถึงดวงตาของรุ่นพี่อีกงจะลุ่มลึกเช่นกัน แต่ดวงตาของซูฮยอนนั้นเหมือนมีอะไรบางอย่างแฝงอยู่ซึ่งไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดได้ 

 

 

“ว่าแต่ทำไมรุ่นพี่อีกงถึงได้แสดง Le Corsaire ล่ะ” 

 

 

‘การแสดงหลักของนักเรียนชั้นปีที่สาม คือ Sleeping Beauty ไม่ใช่หรอกเหรอ’ เซจินทำท่าทางสงสัยพร้อมกับบ่นพึมพำ ขณะที่เดินออกมาข้างนอกตึก  

 

 

ฉันส่ายหัวโดยไม่พูดอะไร พลางนั่งลงตรงม้านั่งในสนามโรงเรียน ในฤดูร้อนที่บรรยากาศร้อนอบอ้าว ทั่วทั้งร่างราวกับถูกมัดเอาไว้แน่น ไม่ใช่แค่ร่างกายเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงหัวใจและหัวสมองด้วย 

 

 

การที่ได้แสดงร่วมกับรุ่นพี่อีกงแบบนี้ ไม่ใช่ครั้งแรกหรอก แต่สำหรับการที่ได้รับบทที่สามารถเต้นอยู่ในตำแหน่งที่ใกล้ได้ขนาดนี้น่ะ ถือว่าเป็นครั้งแรกเลยล่ะ แม้จะตื่นเต้นจนใจเต้นไม่เป็นจังหวะ แต่อีกมุมหนึ่งของหัวใจก็รู้สึกอึดอัดอย่างประหลาด 

 

 

“‘อัลลี’ ในแบบฉบับรุ่นพี่อีกงงั้นเหรอ นานแล้วสินะ” 

 

 

“นั่นสิ” 

 

 

ฉันยิ้มบางๆ พร้อมกับพยักหน้า  

 

 

 

 

 

เพราะว่าในตอนที่พวกเราเข้าเรียนที่ฝ่ายมัธยมต้นใหม่ๆ นั้น การแสดงที่ใช้ในงานเลี้ยงต้อนรับก็คือ Le Corsaire นั่นเอง ในตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นรุ่นพี่อีกงซึ่งเป็นนักเรียนชั้นปีที่สามของฝ่ายมัธยมต้นเต้นในบท ‘อัลลี’ และแม้แต่ตอนนี้ฉันก็ยังจำที่รุ่นพี่แสดงปาเดอเดอร่วมกับรุ่นพี่ผู้หญิงที่รับบท ‘เมโดรา’ ได้อยู่เลย 

 

 

ร่างกายผอมบางของรุ่นพี่อีกงที่ปรากฏขึ้นท่ามกลางแสงไฟช่างดูสง่างามเสียจนฉันรู้สึกว่า เขางดงามและเฉิดฉายเสียยิ่งกว่าเมโดราที่เป็นผู้หญิงเสียอีก  

 

 

ณ นาทีนั้น ที่มือของเมโดราสัมผัสลงบนผิวเปลือยเปล่าของอัลลีอย่างเนิบนาบ ก็เป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมาที่ฉันเก็บกอดความปรารถนาอันแรงกล้าเอาไว้ ฉันปรารถนาว่าสักวันหนึ่งภายใต้แสงไฟที่เจิดจ้า ฉันอยากที่จะจ้องตา พร้อมกับแสดงกรองปาเดอเดอร่วมกับรุ่นพี่อีกง 

 

 

 

 

 

“สองคนตรงนั้นน่ะ” 

 

 

เพราะมัวแต่นั่งเหม่อนึกถึงความทรงจำในอดีต เสียงที่ดังขึ้นมาเรียกสตินั้นมาพร้อมกับสัมผัสเย็นๆ ที่แตะลงบนแก้ม ฉันตกใจจึงลุกพรวดขึ้นจากม้านั่ง 

 

 

“รุ่นพี่อีกง!” 

 

 

ที่เรียกชื่อของรุ่นพี่น่ะ ไม่ใช่ฉันที่ยืนตัวแข็งทื่ออยู่หรอก แต่เป็นเซจินต่างหาก ชื่อของรุ่นพี่อีกงที่เซจินเรียกนั้นมีความพิเศษ เพราะมันคือการเรียกชื่อรุ่นพี่อีกงด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ส่วนฉัน แค่คิดถึงชื่อของรุ่นพี่ก็เล่นเอาเส้นเสียงตีบตันจนเผลอส่งเสียงแปลกๆ ออกมาแล้วล่ะ 

 

 

“ฮวีกยอมตกใจเหรอ พี่ขอโทษนะ” 

 

 

รุ่นพี่อีกงสวมชุดยูนิไทด์สีดำ(ชุดลีโอตาร์ดที่มีท่อนบนและล่างติดกัน) แล้วสวมกางเกงเทรนนิ่งหลวมๆ ทับ แสดงว่าเขาน่าจะเพิ่งซ้อมเสร็จ เขาเอามือปัดเส้นผมที่เปียกเหงื่ออยู่นิดหน่อยเบาๆ แล้วหันมาส่งยิ้มหวานให้ฉัน 

 

 

รุ่นพี่โยนผ้าเช็ดหน้าที่เคยพาดบ่าลงไปบนม้านั่ง หลังจากนั้นจึงยื่นกระป๋องเครื่องดื่มที่อยู่ในมือให้ฉันและเซจิน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอากาศร้อนหรือเปล่า ถึงทำให้ใบหน้าของรุ่นพี่อีกงกลายเป็นสีแดง 

 

 

“ทำไมเดี๋ยวนี้ถึงได้เจอตัวยากจังเลยล่ะคะรุ่นพี่ เกือบจะลืมหน้าไปซะแล้วนะคะเนี่ย” 

 

 

“ยุ่งๆ น่ะ ว่าแต่นี่ก็ใกล้จะเริ่มคาบแรกแล้ว มาทำอะไรกันอยู่ตรงนี้” 

 

 

“กำลังคุยกันเรื่องการแสดงประจำฤดูอยู่ค่ะ ก็ฮวีกยอมน่ะสิคะ ดันตกไปอยู่ Le Corsaire แค่คนเดียว ส่วนฉันก็ไม่ถูกใจพาร์ทเนอร์สักเท่าไหร่ด้วย เศร้าสุดๆ ไปเลยล่ะค่ะ รุ่นพี่” 

 

 

ท่าทางของเซจินที่ออดอ้อนพลางควงแขนรุ่นพี่อีกงโดยที่ไม่ได้คิดอะไร ขนาดฉันมองเองก็ยังรู้สึกว่าน่ารักเลย ทั้งกล้าแสดงออก ทั้งขยัน แถมยังมีพรสวรรค์อีก ถ้าเทียบกับฉันที่ทั้งธรรมดาและเฉื่อยชาแล้ว เซจินเรียกได้ว่าเป็นรุ่นน้องที่ไม่ว่าใครก็ต้องบอกว่าน่ารัก 

 

 

แต่ถึงฉันจะอิจฉาบุคลิกภาพที่สดใสแบบนั้นของเซจิน แต่สำหรับฉันแล้ว มันเป็นเรื่องที่ยากเหลือเกินที่จะเข้าหารุ่นพี่อีกงอย่างสนิทชิดเชื้อ แม้ว่าหากบอกรุ่นพี่อีกงไปว่ามาจากโรงเรียนประถมเดียวกัน เขาก็คงจะคุยกับฉันอย่างสนิทสนม แต่เวลาที่อยู่ต่อหน้ารุ่นพี่อีกง ฉันก็จะรู้สึกประหม่าขึ้นมาเป็นพิเศษ 

 

 

“เออ ใช่ เพิ่งนึกออก เมื่อกี้เหมือนอีเซจะตามหาอยู่นะ เซจิน” 

 

 

“ทำไมเหรอคะ” 

 

 

“น่าจะเป็นเพราะเรื่องการแสดงครั้งนี้มั้ง จำได้ว่าอีเซเล่นเป็น ‘ติบอลท์’ นี่นา” 

 

 

“ใช่ค่ะ งั้นต้องรีบไปแล้วสิ” 

 

 

‘อีกเดี๋ยวเจอกันที่ห้องนะ’ เซจินโบกมือลา แล้วเดินจากไปในทันที ฉันยืนหายใจติดขัด พร้อมกับแอบกลืนน้ำลายแห้งๆ อยู่ในบรรยากาศที่กระอักกระอ่วน 

 

 

ด้วยความร้อนจากฝ่ามือที่ออกมาโดยไม่รู้ตัว จึงทำให้มีหยดน้ำไหลออกมาจากกระป๋องเครื่องดื่มที่อุณหภูมิลดลง เกิดเป็นรอยด่างบนพื้น รุ่นพี่อีกงยืนจับพนักพิงจากข้างหลังม้านั่งโดยไม่พูดไม่จาอะไร พลางจ้องมองมาที่ฉันที่ยืนลังเลทำตัวไม่ถูก ก่อนจะส่งยิ้มหวานๆ กลับมาให้อีกครั้ง 

 

 

โอ๊ย สว่างแสบตาซะเหลือเกิน ด้วยสีหน้าเอ๋อๆ ไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไรดี ฉันคิดว่า ถ้ายืมสีหน้าของเซจินมาใช้ก็คงจะดีไม่น้อย สติของฉันแทบจะไม่เหลืออยู่แล้วเนี่ย แล้วตอนนั้นอยู่ดีๆ รุ่นพี่อีกงที่กำลังจ้องมองมาที่ฉันก็เริ่มหัวเราะคิกคัก 

 

 

“เยี่ยมไปเลยเนอะ” 

 

 

ริมฝีปากของรุ่นพี่อีกงที่พึมพำออกมาโดยที่ฉันไม่เข้าใจคำพูดของเขาเลยสักนิด ริมฝีปากนั้นกำลังวาดเป็นเส้นโค้งน่ามอง ฉันผละสายตาที่มองริมฝีปากนั้นอยู่ออกมาอย่างยากเย็น แล้วไล่ไปยังดวงตาของรุ่นพี่ แต่กลับกัน ความนุ่มลึกนั่นเหมือนกับจะทำให้ฉันยิ่งถลำลึกลงไปโดยไร้แรงขัดขืน ทำไมกันนะ ทำไมเขาถึงได้มีสายตาที่รุนแรงแต่ก็นุ่มนวล เหมือนกับจะดูดกลืนทุกสิ่งเข้าไปแบบนี้ 

 

 

“ที่ได้แสดงด้วยกันน่ะ” 

 

 

“…อ๋อ ฝากตัวด้วยนะคะ” 

 

 

ตอนนั้นฉันถึงได้เข้าใจความหมายคำพูดของรุ่นพี่ และรีบโค้งตัวลงอย่างรวดเร็ว กว่าจะรู้ตัวอีกที สายตาของฉันก็กำลังมองไปที่ร่างกายส่วนบนของรุ่นพี่อีกงที่เขยิบเข้ามาอยู่ตรงหน้า ทรวดทรงในอุดมคติอันพริ้วไหวไร้ที่ติเผยออกมาภายใต้ชุดยูนิไทด์บางๆ 

 

 

“เราคงจะได้เจอกันบ่อยๆ ไปอีกสักพักเลยสิคะ” 

 

 

“…ค่ะ” 

 

 

“โชคดีจัง” 

 

 

ฉันค่อยๆ ไล่สายตาขึ้นไปมองใบหน้าใสและอ่อนโยนของรุ่นพี่ รุ่นพี่อีกงที่ยืนอยู่ตรงหน้าโค้งตัวลงมาเล็กน้อยจนระดับสายตาของเราเสมอกัน พร้อมกับยิ้มอย่างเจิดจ้า 

 

 

“ขยันๆ เข้าล่ะ พี่คาดหวังจากเธออยู่นะ” 

 

 

“…แน่นอนค่ะ” 

 

 

ฉันส่งรอยยิ้มที่กว้างที่สุดกลับไปให้เขา เพราะแม้สักนิดก็ยังดี ฉันอยากที่จะยิ้มได้อย่างรุ่นพี่บ้าง แต่มันคงจะเป็นรอยยิ้มที่ประหลาดและน่าขันซะมากกว่า 

 

 

แล้วฝ่ามือใหญ่ของรุ่นพี่อีกงก็แตะลงที่หัวของฉัน สุดท้ายสายตาของฉันก็ไปหยุดอยู่ที่พื้น และทำได้แต่เลียริมฝีปากที่แห้งผากให้ชุ่มชื้นเท่านั้น 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

 

 

 

[1] pas de deux การแสดงสองคน