ตอนที่ 397 ลมหายใจของชีวิต โดย Ink Stone_Fantasy
“หวงต้าเซียน สงลี่ซื่อ?”
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วงุนงงเล็กน้อย ยิ้มตอบ “ศิษย์พี่ นั่นคือไซอิ๋วแล้ว บนโลกนี้หรือจะมีภูติพรายอย่างนังปีศาจจิ้งจอกพวกนั้น? อีกอย่างผมไม่ยักจะเคยเห็น!”
นอกจากพื้นที่เขตทิเบตและเสินหนงเจี้ยที่เล่าขานกันว่ามีคนป่าอาศัยอยู่นั้น เยี่ยเทียนติดตามนักพรตชราไปกว่าครึ่งประเทศจีนแล้ว ยังไม่เคยพบเห็นสัตว์ประหลาดเหล่านั้น จึงรู้สึกคำพูดของโก่วซินเจียออกจะเกินคาดอยู่บ้าง
“ศิษย์น้อง ไม่เคยเห็นไม่ได้หมายความว่าไม่มี”
โก่วซินเจียได้ยินแล้วยิ้มออกมา ชี้ไปยังเหมาโถวที่กำลังจับปลากินกลางบ่อน้ำ กล่าวว่า “เจ้าหนูน้อยนั่นนอกจากไม่สามารถพูดได้แล้ว นายเห็นว่ามันต่างจากมนุษย์ตรงไหน?”
“เรื่อง……เรื่องนี้ เหมาโถวมีบางอย่างไม่เหมือนกับสัตว์ธรรมดาทั่วไป” โก่วซินเจียยกเหมาโถวขึ้นมาเปรียบเทียบ เยี่ยเทียนยังพูดอะไรไม่ออกจริง ๆ เจ้าหนูนี่ช่างเหมือนกับมนุษย์จริง ๆ
“จี จี!”
หูเล็กแหลมของเหมาโถว ได้ยินโก่วซินเจียกับเยี่ยเทียนพูดถึงตัวเอง ก็ส่งเสียงดังเข้ามาหา ยืดทั้งตัวตรงขึ้น ยื่นขาหน้าทั้งสองออกมาทางโก่วซินเจียราวกับกำลังประจบ
ช่วงเวลานี้โก่วซินเจียไม่มีธุระอะไร อ่านสูตรปรุงยาลับของหลี่ซั่นหยวนไปจำนวนหนึ่ง ใช้สมุนไพรเหล่านั้นในห้องเก็บของของเยี่ยเทียน ปรุงยาออกมาไม่น้อย และเหมาโถวที่ร้อยพิษไม่อาจกล้ำกรายก็เป็นตัวทดลองยาที่ดีที่สุด
บางทียาลูกกลอนเหล่านั้นอาจมีผลดีกับเหมาโถวเช่นกัน ตอนนี้นอกจากเยี่ยเทียนแล้ว คนที่สนิทกับเหมาโถวมากที่สุดก็คือโก่วซินเจีย หากนักพรตชราเริ่มปรุงยาเมื่อไหร่ มันจะคอยตามติดด้านหลังไม่ห่างตัว
“ไป ไปเล่นทางนู้น”
เยี่ยเทียนจับคอเหมาโถว เอาตัวมันกลับไปยังริมบ่อน้ำ ขมวดคิ้วแล้วกล่าว “แต่ว่า ต่อให้เหมาโถวสามารถใช้พลังวิญญาณได้ มันเองก็ไม่สามารถส่งพลังวิญญาณตนเองให้กับคนอื่นใช่ไหมครับ?”
“เยี่ยเทียน มีเรื่องราวมากมายบนโลกใบนี้ที่พวกเราไม่อาจเข้าใจได้ การเข้าทรงที่แพร่หลายทางใต้ ที่สามารถอัญเชิญเทพเจ้ากวนอูและฉีเทียนต้าเซิ่งมาเข้าทรงได้ เรื่องพวกนี้นายสามารถอธิบายให้เข้าใจได้หรือเปล่า?”
ยุคสมัยการใช้ชีวิตของโก่วซินเจียห่างไกลจากเยี่ยเทียนมาก เขาไม่ได้กีดกันเรื่องภูตผีปีศาจออกจากชีวิต นั่นเพราะขั้นตอนมากมายภายในสำนักเทพพยากรณ์เสื้อป่านดูแล้วราวเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ ไม่อาจใช้สามัญสำนึกทั่วไปตัดสิน
“อธิบายไม่เข้าใจ แล้วคนนอกเห็นการกระทำของพวกเรา อาจจะคิดว่าพวกเราเป็นเทพเซียนหรือเปล่า?”
เยี่ยเทียนนิ่งงันไปชั่วครู่ พลันสองมือก็ไขว้เคล็ดดัชนี กวัดแกว้งในห้วงอากาศด้านหน้า พลังหยินและหยางทั้งสองประสานกัน จนเกิดประกายไฟวาบขึ้นมากลางอากาศ ทำให้เหมาโถวที่อยู่ห่างออกไปส่งเสียง “จีๆ” ด้วยความตกใจ
“เป็นอย่างนั้นแหละ ความจริงแล้วมนุษย์ไม่ได้เป็นสิ่งมีชีวิตประเภทเดียว นายสามารถรับประกันได้หรือเปล่าว่าสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นจะไม่พัฒนาการจนมีจิตสำนัก มีความคิด มีภาษาเหมือนกัน?”
โก่วเจียซินตบบ่าเยี่ยเทียนแล้วกล่าว “เป็นเพราะนายยังอ่อนวัย จึงยอมรับเรื่องราวใดๆ ไม่ไวเท่าคนชราอย่างพี่ เรื่องใดๆ ก็ตามอย่าเพิ่งไปปฏิเสธ เพราะพี่เองก็ยังไม่กล้ายืนกรานว่าบนโลกใบนี้มีสิ่งเหนือธรรมชาติอยู่จริงหรือไม่”
เยี่ยเทียนพยักหน้า พึมพำตอบ “ท่านอาจารย์เคยกล่าวไว้ คนรู้จักพักทว่าไม่รู้จักพอ สัตว์รู้จักพอแต่ไม่รู้จักพัก บางทีนี่คงเป็นความแตกต่างยิ่งใหญ่ที่สุดระหว่างสัตว์กับคน”
โก่วซินเจียลุกขึ้นยืน ยิ้มกล่าว “เอาเถอะ อย่าคิดมากขนาดนั้นเลย ไปฉางไป๋ครั้งนี้ จะได้ทำความรู้จักกับลัทธิบูชาภูตผีและคนของลัทธิตะวันและจันทราเต้าพอดี ด้วยวิชาของนายในตอนนี้ ก็ไม่ต้องกลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น
“พี่มีเพื่อนเก่าอยู่ที่นั่นหนึ่งคน แต่ว่าตอนนี้คงจะไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว ถ้าหากนายได้พบกับรุ่นน้องของเขา พูดถึงชื่อพี่ขึ้นมาบางทีอาจมีคนรู้จักก็ได้”
“ครับ ขอบคุณศิษย์พี่มาก ไปคราวนี้น่าตื่นใจแต่ไร้อันตราย ราวกับพอมีวาสนาอยู่บ้าง ศิษย์พี่ ถ้าอย่างนั้นผมไปพักผ่อนก่อนล่ะ!”
ได้ยินคำพูดของศิษย์พี่ใหญ่แล้ว ภายในใจเยี่ยเทียนก็เบิกบานในทันใด ถึงอย่างไรการเดินทางครั้งนี้ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ไม่ว่าจะพบเจอกับอะไร เพียงข้าศึกมาตั้งรับไว้ น้ำไหลสร้างทำนบกั้นก็เพียงพอ
อีกทั้งตั้งแต่เยี่ยเทียนเข้าสู่ระดับที่สามารถหลอมพลังชี่เข้าสู่จิตวิญญาณแล้ว ก็สามารถคาดเดาโชคลาภภัยพิบัติที่จะเกิดกับตัวได้เนือง ๆ เมื่อครู่เขาเสี่ยงทายดวงชะตากลับเป็นรูปกว้าสุดทางเขาปลายสายน้ำ บุปผาบานร่มเงาหลิว ทำให้เยี่ยเทียนคลายใจลงไม่น้อย
คืนนั้นอวี๋ชิงหย่าค้างอยู่ที่บ้านเก่า เช้าวันต่อมาเว่ยหงจวินก็ขับรถพาเว่ยหรงหรงมายังเรือนสี่ประสาน หลังจากรับเยี่ยเทียนกับอวี๋ชิงหย่าแล้ว ก็พาทั้งสามคนไปส่งยังสนามบินของเมืองหลวง
เมืองฉางไป๋นั้นอยู่ตรงใจกลางเมือง เมื่อสมัยปี 98 นั้นยังไม่มีสนามบิน ทั้งสามคนรวมเยี่ยเทียนจึงต้องเครื่องบินไปลงยังสนามบินถงหัว
“หนาวจังเลย!”
เพิ่งออกมาจากสนามบิน อวี๋ชิงหย่าก็จามออกมา เวลานั้นเป็นเดือนพฤศจิกายนแล้ว อีกไม่กี่วันหิมะแรกทางฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือก็จะตกลงมา ที่แห่งนี้อุณภหูมิต่ำกว่าเมืองหลวงถึงสิบองศา
“ไงล่ะ ดูพี่ใหญ่เว่ยสิ สวมชุดครบครันตั้งนานแล้ว!”
เมื่อเช้าเวลากระชั้นมาก อวี๋ชิงหย่าไม่มีเวลาเตรียมหาเสื้อผ้าหนาๆ ทว่าเว่ยหรงหรงใส่ชุดกันหนาวตัวยาว ห่อหุ้มร่างกายไว้ได้อย่างมิดชิด
“ชิงหย่า ใส่เสื้อของฉันไปก่อน เดี๋ยวถึงเมืองฉางไป๋ค่อยซื้อชุดขนสัตว์ให้เธอแล้วกัน!” เยี่ยเทียนถอดแจ็กเก็ตบนร่างตัวเองออก ห่มลงบนตัวชิงหย่า ส่วนตัวเองเหลือเพียงเสื้อเชิ้ตตัวเดียว
“อย่าเลย มันหนาวเกินไป เดี๋ยวเธอจะไม่สบาย” แม้ในใจอวี๋ชิงหย่าจะซาบซึ้ง แต่ก็ยังส่งเสื้อคืนให้เยี่ยเทียน
“ไม่เป็นไรหรอก แค่ลบเก้าถึงสิบองศา ฉันใส่แค่นี้ไม่ถึงกับไม่สบายหรอก”
เยี่ยเทียนยิ้มแล้วส่ายหน้า เขาสามารถทนทานต่อความร้อนและความหนาวเย็นได้นานแล้ว หากไม่นับเรื่องการกินอาหาร เทียบกับเทพเซียนบนแผ่นดินในยุคโบราณแล้วก็ไม่แตกต่างกันเท่าไหร่
เห็นสองคนทางฝั่งเยี่ยเทียนกระหนุงกระนิงกัน เว่ยหรงหรงพึมพำออกมาอย่างไม่พอใจนัก “พอเถอะ เลิกจีบกันเสียที รู้อย่างนี้ให้เจิ้นหนาน ลางานสักสองสามวันมาด้วยก็ดีหรอก”
“เจ้าหมอนั่นของเธอทนน้ำแข็งเกาะได้ไม่เท่าฉันหรอก” เยี่ยเทียนได้ยินแล้วหัวเราะดัง ดึงตัวอวี๋ชิงหย่าขึ้นไปบนแท็กซี่
สนามบินถงหัวอยู่ไม่ไกลจากเมืองฉางไป๋ เพียงแค่หนึ่งร้อยกิโลเมตร อีกทั้งถนนหนทางปรับปรุงได้ไม่เลว สี่สิบกว่านาทีหลังจากนั้นก็ได้เข้ามาในเขตของฉางไป๋ สามารถมองเห็นทิวป่าหนาทึบตามสองข้างทาง
เยี่ยเทียนที่นั่งอยู่ด้านหน้าค่อยๆ เปิดหน้าต่างลงหน่อยหนึ่ง ลมเย็นพัดเข้ามากระทบหน้าหนึ่งระลอก ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกสดชื่นไปทั้งเนื้อตัว อาจเป็นด้วยสาเหตุทจากเนื้อที่ผืนป่าอันกว้างขวาง โรงงานอุตสาหกรรมยุคใหม่มีน้อย ท้องฟ้าจึงเป็นสีฟ้ายิ่งกว่าเมืองปักกิ่งหลายส่วน
แม่น้ำคดเคี้ยวตลอดเส้นทางที่รถวิ่งผ่าน แม้ว่าป่าไป๋ฮว่าและต้นหยางจะใบร่วงหล่นหมดแล้ว แต่ยังคงให้ความรู้สึกเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาอยู่
“เจ้าหนู ฤดูนี้เดี๋ยวก็จะมีหิมะตกหนักทั้งเขา มาฉางไป๋ไม่มีอะไรให้เที่ยวหรอก จริงสิ เจ้าหนูใส่เสื้อผ้าแค่นี้ไม่หนาวหรือไง?”
ทีแรกเดาะลิ้นด้วยความสงสัยต่อเยี่ยเทียนที่ใส่เสื้อตัวเดียว ตอนนี้เห็นเยี่ยเทียนเปิดหน้าต่างแล้ว ยังเผยสีหน้าให้เห็นอารมณ์สุขสดชื่น พี่ชายคนขับรถคนนั้นจึงอดเอ่ยปากพูดออกมาไม่ได้
เยี่ยเทียนยิ้มตอบ “ตอนหน้าหนาวผมอาบน้ำด้วยน้ำเย็นตลอดครับ เลยชินแล้ว พี่ชายครับ ฉางไป๋อยู่ใกล้เกาหลีมากหรือเปล่า?”
คนขับรถพยักหน้าตอบ “ใช่ ทางด้านใต้ก็คือแม่น้ำยาลู่ ข้ามแม่น้ำยาลู่ไปก็เป็นเกาหลีแล้ว น่าเสียดายที่วันนี้อากาศหนาวเกินไป ไม่อย่างนั้นไปเล่นล่องแก่งที่แม่น้ำยาลู่ก็ไม่เลวเหมือนกัน”
ระหว่างที่คุยกับคนขับ ไม่นานรถก็เข้าสู่เมืองฉางไป๋ เมืองนี้มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก แต่ถนนหนทางสะอาดสะอ้าน หลังจากอวี๋ชขิงหย่าและเเฉินเสี่ยวจิ้งเพื่อนนักเรียนของเธอคุยโทรศัพท์กันแล้ว รถก็มาหยุดอยู่หน้าทางเข้าโรงพยาบาลกลางของเมือง
“เสี่ยวจิ้ง ชิงหย่า หรงหรง!”
ยังไม่ทันลงจากรถ อวี๋ชิงหย่ากับเว่ยหรงหรงก็เห็นเฉินเสียวจิ้งยืนอยู่หน้าทางเข้าโรงพยาบาล พุ่งลงมาจากรถแล้วสามสาวก็เข้ากอดกัน
พอเอ่ยถึงหูเสี่ยวเซียนที่ยังคงหลับใหลไม่ได้สติอยู่ในโรงพยาบาล สาวๆ ทั้งหลายพลันก็ร้องไห้ออกมา จบการศึกษาครั้งนี้ยังไม่ถึงสองเดือนก็มาเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ทำให้หญิงสาวเหล่านี้ที่ยังไม่ผ่านร้อนผ่านหนาวบนโลก ล้วนรู้สึกเป็นเรื่องยากเกินจะรับไหว
เยี่ยเทียนรอให้พวกอวี๋ชิงหย่าอารมณ์สงบลงสักพักแล้ว ค่อยเอ่ยปาก “เอาล่ะ เข้าไปข้างในกันเถอะ ชิงหย่า ระวังเดี๋ยวจะเป็นหวัดเอานะ!”
“เยี่ยเทียน นายก็มาด้วยเหรอ?”
เห็นว่าแฟนหนุ่มของอวี๋ชิงหย่าก็มาด้วย เเฉินเสี่ยวจิ้งจึงปาดน้ำตาออกอย่างเขินอายเล็กน้อย กล่าวว่า “เสี่ยวเซียนอยู่ในห้องผู้ป่วยวิกฤตน่ะ ฉันพาพวกเธอไปก็แล้วกัน”
ขณะตามหญิงสาวทั้งหลาย เยี่ยเทียนก็ถามขึ้น “คุณเฉียน สาเหตุอาการป่วยของหูเสี่ยวเซียนตรวจออกมาแล้วหรือยังครับ?”
“เรียกฉันว่าเสี่ยวจิ้งเถอะค่ะ” เฉินเสี่ยวจิ้งหันมองมายังเยี่ยเทียนแวบหนึ่ง ส่ายหน้าตอบ “ตรวจร่างกายทุกอย่างหมดแล้ว แต่หมอยังคงบอกไม่ได้ว่าป่วยเป็นโรคอะไร แต่ว่า……แต่ว่า……”
เฉินเสี่ยวจิ้งลังเลอยู่ครู่หนึ่ง น้ำเสียงเคร่งเครียดลงหลายส่วน กล่าวว่า “แต่ว่าคุณปู่ของหูเสี่ยวเซียนบอกว่า เสี่ยวเซียนอาจจะ……อาจจะโดนของ ถูกคนทำคุณไสยมา!”
ด้วยตำแหน่งที่ตั้งเมืองฉางไป๋อยู่ค่อนข้างห่างไกล การคมนาคมไม่ค่อยสะดวกสบายนัก ในสมัยก่อนเวลาคนล้มป่วย หากไม่หาพ่อหมดหมอผีมาทำพิธีปัดเป่า ก็จะให้พ่อหมอแม่หมอของลัทธิตะวันและจันทราเต้าอัญเชิญเทพเข้าทรงรักษาอาการป่วย
ดังนั้นชีวิตของผู้คนที่นี่ จึงยังคงศรัทธาในวิถีไสยศาสตร์เชิญเจ้าเข้าทรงอยู่มาก เห็นสีหน้าของเฉินเสี่ยวจิ้งแล้ว ดูจะเชื่อสนิทใจกับคำพูดของคุณปู่หูเสี่ยวเซียน
เมื่อมาถึงห้องคนป่วย เฉินเสี่ยวจิ้งก็ค่อย ๆ ผลักประตูเปิดออก แนะนำหญิงวัยอายุสี่สิบกว่าปีสองคนที่อยู่ภายในห้องให้พวกเยี่ยเทียนได้รู้จัก
ด้วยหลายปีมานี้เมืองฉางไป๋มีนักศึกษาในวิทยาลัยหัวชิงถึงสองคน ทางสถานีโทรทัศน์จึงให้ความสำคัญกับหูเสี่ยวเซียนเป็นอย่างมาก ไม่เพียงจัดหาห้องผู้ป่วยวิกฤตเดี่ยวให้เป็นพิเศษ ยังเชิญพยาบาลและคนในครอบครัวของหูเสี่ยวเซียนให้มาร่วมกันดูแล
“เป็นเพื่อนร่วมชั้นของเสี่ยวเซียนเหรอคะ? ขอบคุณค่ะ ขอบคุณพวกเธอจริงๆ ลูกสาวที่น่าเวทนาของฉันคนนี้!”
ได้ยินเฉินเสี่ยวจิ้งแนะนำตัวแล้ว แม่ของหูเสี่ยวเซียนก็รีบร้อนลุกขึ้น มองยังลูกสาวที่มีท่อสอดอยู่ในจมูกนอนอยู่บนเตียงแล้ว อดร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาไม่ได้
จากคำพูดของคุณหมอ หัวใจของหูเสี่ยวเซียนเต้นอย่างเชื่องช้ามาก อีกทั้งยังต้องอาศัยเครื่องช่วยหายใจจึงจะหายใจได้ สามารถเข้าสู่สภาวะวิกฤตถึงแก่ชีวิตได้ตลอดเวลา
“คุณน้าคะ อย่าร้องไห้เลย เสี่ยวเซียนจะต้องไม่เป็นไรแน่ค่ะ”
ว่ากันว่าผู้หญิงถูกสร้างขึ้นจากน้ำ คำกล่าวนี้ไม่ผิดแม้แต่น้อย เดิมทีอวี๋ชิงหย่ากับเว่ยหรงหรงอยากจะปลอบโยนแม่ของหูเสี่ยวเซียน พูดไปพูดมากลายเป็นร้องไห้ไปด้วยกัน
“แปลกจัง ภายในร่างกายของเธอไม่มีพลังหยินร้าย ลักษณะร่างกายก็ไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ทำไมลมหายใจชีวิตถึงได้อ่อนแรงอย่างนี้นะ?”
หลังจากที่เยี่ยเทียนเข้าไปกลางห้องแล้ว ก็เพ่งสมาธิไปยังร่างของหูเสี่ยวเซียนที่นอนอยู่บนเตียง ปลดปล่อยพลังวิญญาณเล็กน้อยเพื่อตรวจสอบ แล้วอดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้
……….