กำจัด

ทันทีที่ได้รับคำสั่งของโจวเหวิน เบม่อนก็เปิดใช้สุดยอดพลังก่อนจะหมุนเขาเป็นสว่านแล้วขุดเจาะสุสานมารลงไปทันที

“ตระกูลฉาง….จบสิ้นแล้ว”ลุงฉางสีหน้าสิ้นหวัง ทั้งกลัว ทั้งโกรธจนหน้าซีด

ตระกูลฉางคนอื่นๆก็กังวลกัน เพราะยังไงมันก็คือมรดกตกทอดที่สืบต่อกันมารุ่นสู่รุ่นตั้งแต่รุ่นทวด ซึ่งเกี่ยวข้องกับความเป็นตายของตระกูล จนแม้แต่ฉางชุนชิวเองยังเหงื่อออกมือ

แต่สุสานมารโดนขุดไปแล้ว แต่ก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นเลย

“เดิมทีเบม่อนเป็นสัตว์อสูรของฝั่งตะวันตก แต่ไม่คิดเลยว่าจะมาอยู่ในมือของโจวเหวินแบบนี้” ชายแก่จากแดนเหนือนั้นมองเบม่อนด้วยสายตาอิจฉา มันเป็นสัตว์อสูรสงครามชั้นยอด ใครๆก็ต่างหมายปองมัน แต่สัตว์อสูรแบบนี้ทั้งรัฐบาลเองก็มีน้อยคนมากที่มี

เมสซิสเองก็มองโจวเหวินด้วยสายตาเย็นชา ถึงแม้ว่าเบม่อนจะเก่งกาจแต่ยังไงก็ไม่มีทางเก่งเท่าผู้พิทักษ์อยู่แล้ว ยิ่งจักรพรรดิยักษ์เทพเป็นสายพลังเหมือนกันด้วย ยังไงก็แข่งแกร่งกว่าสัตว์อสูรในสายเดียวกันแน่ๆ

ถ้าโจวเหวินอยากจะใช้แค่เบม่อนอย่างเดียว เมสซิสยังไงก็ชนะแน่นอน

แต่ในตอนที่ทุกคนกำลังคิดอยู่นั้นเอง จู่ๆเบม่อนก็หยุดขุดแล้วก้าวถอยออกมา ตระกูลฉางสงสัยว่าทำไมเบม่อนถึงไม่ขุดต่อ ทันทใดนั้นเขาก็เห็นโจวเหวินสบัดมือพร้อมกับอะไรบางอย่างวาบขึ้นมา

เสียงแกร๊กดังขึ้นมาจากสุสานมาร แต่ยังไม่ทันจะเห็นอะไรเกิดขึ้นเลย จู่ๆก็มีเลือดสีดำพุ่งขึ้นมาจากตรงจุดที่ขุดเหมือนน้ำพุสาดกระจายไปทั่ว

แกร๊ก

ตอนที่เลือดสีดำพุ่งออกมานั้นเอง หน้ากากบนใบหน้าของชาลีก็มีรอยแตกเช่นกัน รอยแตกนั้นยิ่งกว้างขึ้นเรื่อยๆ และมีเลือดสีดำพุ่งออกมาเหมือนกันก่อนที่หน้ากากนั้นจะแตกสลายกลายเป็นผง

ไม่ใช่แค่หน้ากากบนหน้าชาลี แต่รวมไปถึงใบหน้าบนหินเวทมนตร์ทั้งหลายตอนนี้เสื่อมสลายไปหมดแล้ว เพียงแค่ว่าคนที่กลายเป็นหินไปแล้วไม่อาจย้อนคืนกลับมาได้เท่านั้นเอง พวกเขาตายไปนานแล้ว ถึงจะไม่มีหินเวทมนตร์ ก็ไม่มีทางทำให้เขากลับมามีชีวิตได้อยู่ดี

ตระกูลฉางดีใจหนักมากทันทีที่เห็น ฉางชุนชิวเองก็โล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก เขาลงเดิมพันไว้สูง และโชคดีที่เขาชนะกลับมา

“โชคดีนะที่ไม่มีอะไรมากกว่านี้หน่””โจวเหวินไม่ขุดต่อ เพราะว่าถ้าเขาขุดลงไปมากกว่านี้เขาจะต้องหายตัวแล้วใช้สดับวานร ซึ่งเขาไม่อยากที่จะเปิดตัวขนาดนั้น

การจัดการหน้ากากวิญญาณมารนั้น โจวเหวินไม่ต้องล่องหนก็ได้ แค่ขุดลงไปก็พอแต่การจะจัดการกับมารแล้งนั้นโจวเหวินต้องใช้ทั้งสดับวานรและผ้าคลุมล่องหนด้วย

“สหายของเราช่วยให้เราพ้นจากอันตราย ฉันไม่รู้จะขอบคุณนายยังไงดี ไปกันเถอะ เราไปเอาไข่สัตว์อสูรปฐพีกัน”ฉางซือหยูพูดกับฉางชุนชิวต่อ “ส่วนนาย วันนี้ทำได้ดีมาก กลับไปพักเถอะ”

“ครับ”ฉางชุนชิวรับบัญชา

ฉางซือหยวนพาโจวเหวินกลับไปที่ตำหนักเทียนฉี ตอนที่ไปถึงตำหนัก เขารอให้โจวเหวินนั่งที่ก่อนจะพูด “นายยังมีอะไรอยากจะบอกฉันอยู่ใช่ไหม”

โจวเหวินผงะเล็กน้อย เขาไม่คิดว่าฉางซือหยูจะรู้ว่าเขามีเรื่องอยากจะบอกด้วย เขาเลยไม่ลังเลที่จะพูดออกมา “ผมเคยบอกไปก่อนหน้านี้แล้วว่าต้นเหตุของปัญหานี้อยู่ที่สิ่งมีชีวิตต่างมิติ2ตัว ผมพึ่งจัดการไปได้ตัวนึง อีกตัวยังอยู่ ถ้าผมยังไม่ได้กำจัดมัน ปัญหานี้ก็ยังแก้ไม่หมดครับ”

“นายไม่ได้ลงมือนี้ กังวลอะไรอยู่หรือ”ฉางซือหยูพูด

“เดิมทีสิ่งมีชีวิตต่างมิตินั้นมันไม่ได้ยากที่จะรับมือครับ แต่ผมต้องใช้สัตว์อสูรพิเศษ แล้วผมไม่อยากให้สัตว์อสูรพิเศษนั้นเปิดเผยต่อสายตาใครทั้งนั้น ผมเลยอยากจะให้ท่านจ้าวตระกูลอนุญาตให้ผมไปที่สุสานมารคนเดียวด้วย แล้วคอยดูต้นทางอย่าให้มีคนอื่นมาหน่ะครับ”โจวเหวินพูด

“เรื่องนั้นไม่ยากเลย ไม่ต้องบอกฉันก็ได้ ให้ฉางชุนชิวจัดการให้ก็ได้ ฉันมั่นใจได้เลยว่าเรื่องนี้จะไม่มีใครรู้เห็นอีก นอกจากนายและชุนชิว แล้วฉันจะไม่ถามอะไรต่ออีกด้วย”ฉางซือหยูพูดต่อ “แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉัน ไม่ซิ ตระกูลฉางอยากจะให้นายเก็บเป็นความลับ”

“ท่านจ้าวสำนักบอกมาได้เลยครับ”โจวเหวินพูด

“นายเห็นทะลุผ่านม่านพลังนั้นได้ใช่ไหม คงรู้แล้วใช่ไหมว่าเทพีที่อยู่ข้างใต้นั้นจริงๆแล้วคือผู้พิทักษ์ ฉันอยากจะให้นายเก็บเรื่องนี้เป็นความลับอย่าให้คนอื่นรู้โดยเด็ดขาดหน่ะ”ฉางซือหยูพูด

โจวเหวินผงะ เขาไม่คิดว่าฉางซือหยูจะบอกเขาแบบนี้แต่เขาก็สัญญา “ได้ครับ ผมรับรองเลยว่าเรื่องนี้จะไม่หลุดจากปากผมไปแน่นอน”

ฉางซือหยูพยักหน้า “แบบนั้นก็ดี ถ้าเรื่องนี้หลุดออกไปมันจะเป็นปัญหาใหญ่เอาได้”

หลังจากนั้นฉางซือหยูก็เรียกตัวฉางชุนชิว แล้วให้ฉางชุนชิวพาโจวเหวินไปที่สุสานมารอีกครั้ง

หลังจากที่ทั้งคู่ออกไปแล้ว ลุงฉางก็เข้ามา “ท่านครับ ทำไมถึงทำแบบนี้ละครับ ทำไมท่านถึงตัดสินใจให้พวกเขาขุดสุสานได้ ถ้าจะทำแบบนั้นจริงทำไมต้องให้คนนอกทำครับ ตระกูลฉางของเราก็มีคนมากมาย…”

ฉางซือหยูรินน้ำชาก่อนจะพูดช้าๆ “รู้ไหมว่าทำไมตระกูลฉางของเราถึงอยู่รอดมาได้นานหลายปี มันไม่ใช่เพราะสัตว์อสูรของเราแกร่งกว่าคนอื่น หรือไม่ใช่เพราะอำนาจของเรามากกว่าคนอื่นหรอกนะ แต่เรามองการไกลกว่าคนอื่นตั่งหาก เราคิดมากกว่าคนอื่น เรารู้มากกว่าคนอื่น ทุกวันนี้ทรัพยากรมันสำคัญก็จริง แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าคือความรู้และข้อมูล อย่างโจวเหวินนั้นเขามีข้อมูล เขาสามารถมองเห็นภายในสุสานมารได้ แต่ถ้าเกิดเราไปทำแทนมันจะเกิดอะไรขึ้นละ ถึงจะสำเร็จเหมือนกันแต่ก็อาจจะต้องเสียหายไปมากมาย มันไม่คุ้มเอาซะเลย”ฉางซือหยูหยุดแล้วพูดต่อ “ยิ่งกว่านั้นการที่คนลงมือไม่ใช่คนของ6ตระกูล มันก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ”

ลุงฉางเงียบก่อนจะพูด “ก็ถูกครับ แต่โจวเหวินคนนั้น เขาแข็งแกร่งเกินไปจริงๆนะครับ ขนาดจ้าวตระกูลเสี่ยยังสู้ไม่ได้เลย ตอนนี้เขาได้อสูรปฐพีไปด้วย มันจะไม่เป็น….”

“ตอนนี้ผู้พิทักษ์เริ่มลืมตาตื่นขึ้นมาแล้ว อนาคตมันไม่มีอะไรแน่นอนหรอก แต่นายยังจำส่วนสุดท้ายที่ฉางเทียนฉีมอบไว้ให้กับเราได้ไหมละ”ฉางซือหยูพูด

“ท่านหมายถึง เรา มีโอกาส…”ลุงฉางไม่กล้าพูดต่อ

“ค่อยๆเป็นค่อยๆไป รุ่นของเรากำลังจะหมดลงแล้ว โอกาสที่มีเหลือน้อยเต็มที แต่รุ่นถัดไปนั้นยังคงมีความหวังนะ”ฉางซือหยูพูด

โจวเหวินกับฉางชุนชิวเดินมาที่สุสานมารอีกครั้ง ฉางชุนชิวใช้คำสั่งอพยพคนออกจากสุสานมารทั้งหมด

“ทำอะไรได้ทำไปเลยนะ เดี๋ยวฉันกลับมาอีกที”ฉางชุนชิวพูดแล้วจากไป

“ตระกูลฉางงปล่อยให้ฉันอยู่นี้คนเดียวจริงๆเหรอเนี่ย” โจวเหวินคิด ไม่ใช่ทุกคนที่จะตัดสินใจแบบนี้ได้ เพราะสุสานมารนั้นคือความเป็นความตายของตระกูล แต่ตระกูลฉางกลับปล่อยให้มันอยู่ภายใต้เงื้อมือของคนนอกเพียงลำพัง