[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื่อน] ตอนที่ 51 วีรบุรุษฝึกฝนขึ้นมาได้เช่นไร

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

เมื่อได้เจอกับตงอวี๋ สภาพของเขาเหมือนดินโคลนที่กองอยู่บนดาดฟ้า ตามผิวหนังไม่มีรอยแผลเลยแม้แต่น้อย อู๋เสอไม่ได้ทำการต่อยเขาอย่างไร้ความปราณีตามคำสั่งของอวิ๋นเยี่ย ได้ยินมัมมี่หลิวจิ้นเป่าพูดว่า “เขายอมถูกต่อยจนภรรยาจำไม่ได้ แต่ไม่มีทางยอมให้อู๋เสอเปิดเผยความลับในพระราชวัง ลูกผู้ชายที่แข็งแกร่งอย่างตงอวี๋ถูกจัดการจนฉี่ใส่กางเกงหมดแล้ว” 

 

 

ตงอวี๋เอาถาดทองแดงให้อวิ๋นเยี่ยด้วยความยากลำบาก ถึงแม้ว่าเขาจะถูกทรมาน แต่ดูเหมือนว่าเขาผ่อนคลายขึ้นไม่น้อย ทำให้แม่ทัพต้องตกอยู่ในอันตราย แต่ตัวเองแค่ได้รับความเจ็บปวดทรมานตามร่างกายนิดหน่อย เขารู้สึกว่ามันเหมาะสมแล้ว 

 

 

ถาดทองแดงเต็มไปด้วยน้ำทะเล ข้างในมีปลาจวดสีเหลืองทองกำลังแหวกว่ายอย่างอิสระ เมื่อมาเจอหน้าศัตรูยิ่งนึกโมโหมากขึ้นกว่าเดิม หน้าฝั่งซ้ายของอวิ๋นเยี่ยบวมโตราวกับหัวหมู ดวงตาเห็นช่องว่างแค่เส้นเล็กๆ ล้วนแต่เป็นฝีมือของปลาจวดตัวนี้ แผลเต็มมือเต็มเท้าไปหมด ตัวเองลงมือเข้าครัวเองไม่ได้จึงสั่งให้พ่อครัวแกะเนื้อปลาตัวนี้แล้วทำซุปปลา นอกจากตัวเขาเอง ไม่อนุญาตให้ใครกิน 

 

 

ปลาตกลงมาจากบนฟ้า ช่างน่าอัศจรรย์ แม้แต่ปลาฉลามก็มี ส่วนปลาวาฬยักษ์ที่พลิกท้องว่ายไปตามทะเลก็มีเป็นสิบกว่าตัว หาชาวแคว้นวอไม่เจอ สุดท้ายเจอก้นที่อยู่บนต้นไม้ใหญ่ ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นของใคร เหอจงอู่สีหน้าโศกเศร้าสิ้นหวัง 

 

 

มีปลาเป็นเรื่องที่ดี ยึดหลักการไม่ปล่อยให้มันสูญเปล่า อวิ๋นเยี่ยออกคำสั่ง ในระหว่างทำการซ่อมเรือ คนที่ขึ้นเกาะได้ก็ไปขึ้นเกาะ เอาปลาทั้งหมดทำเป็นปลาแห้ง เสบียงอาหารที่เลอค่า เมื่อไปถึงฉางอันก็ยังทำเงินได้อีกก้อนใหญ่ ได้ยินท่านโหวพูดเช่นนี้ เหล่าทหารเรือก็พากันสนอกสนใจขึ้นมา การทำงานให้กับตัวเองนั้นถือว่าต่างออกไปอยู่มาก เมื่ออยู่ในทะเลได้กินปลาจนเบื่อแล้ว ใครจะสนใจของพวกนี้ แต่เมื่อถึงฉางอัน นี่เป็นของดีที่หายาก ปลาเต็มทะเลแบบนี้ เมื่อลอกเกล็ดออก ล้างให้สะอาด เอาไปขายให้พวกพ่อค้าแล้วยังมีส่วนแบ่งอีก สมกับที่เป็นขุนนางที่มีฉายาเป็นเทพเจ้าแห่งความร่ำรวยจริงๆ ดูเหมือนว่าต่อไปคงจะมีชีวิตที่ดีแล้ว 

 

 

หั่นปลาวาฬเป็นชิ้นเล็กๆ ถูเกลือ หมักเกลือ แค่นี้ก็รสชาติล้ำเลิศแล้ว ไขในหัวของปลาวาฬ อวิ๋นเยี่ยจะปล่อยมันไปได้เช่นไร นี่คือวัตถุดิบที่ดีที่สุดในการทำเทียนไข หนังปลาฉลามและหนังปลาวาฬก็เป็นสิ่งที่ดีในการเอาไปทำเป็นเสื้อเกราะ แต่แค่คิดไม่ถึงว่าหนังของปลาวาฬจะหนาตั้งนิ้วกว่า เหล่าทหารต้องใช้เลื่อยถึงจะถลกออกมาได้ จงใจเหลือกะโหลกปลาวาฬที่ใหญ่ที่สุดไว้ เตรียมเอากลับไปสำนักศึกษา ให้พวกลูกศิษย์ได้เปิดโลก 

 

 

อยู่ในช่องแคบเป็นเวลาหกวันเต็มๆ ถึงจัดการกับเนื้อปลาพวกนั้นจนเสร็จ ทั้งกองทัพเรือเต็มไปด้วยกลิ่นคาวปลา ลมพัดทีหนึ่ง กลิ่นคาวที่รุนแรงทำให้คนรู้สึกคลื่นไส้ แต่เพื่อเงิน เหล่าทหารเรือไม่มีใครบ่นเลยสักคำ จับตาดูปลาแห้งอย่างระมัดระวังทั้งวันทั้งคืน ไม่ให้นกนางนวลมาขโมยไป 

 

 

เรือมู่หลานส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด ดูเหมือนว่ามันจะพังสลายได้ทุกเมื่อ ห้องโดยสารที่อยู่ข้างบนก็เปลี่ยนไปมาก แม้แต่ใบเรือก็กางไม่ได้ จึงต้องให้เรือลำอื่นลากไปข้างหน้าอย่างช้าๆ เติงโจวคือจุดหมายปลายทางในการเดินทางครั้งนี้ของอวิ๋นเยี่ย ไม่รู้ว่าฮ่องเต้จะให้เขาพาทหารเรือกว่าห้าพันนายขึ้นฝั่งทำไม บอกแค่ว่าเดี๋ยวก็รู้เอง 

 

 

ตอนนี้พระราชโองการของหลี่ซื่อหมินไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนอีกต่อไปว่าต้องการให้อวิ๋นเยี่ยทำสิ่งใด จะบอกแค่เพียงว่าต้องทำอะไรอย่างกว้างๆ ส่วนเรื่องอื่นก็แล้วแต่ตัวเขาเอง ทำภารกิจให้เสร็จคือเรื่องสำคัญที่สุด สำหรับเรื่องอื่น เขาจะแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น รอให้ถึงฉางอันแล้วค่อยคิดบัญชี ตระกูลอวิ๋นก็อยู่ที่เชิงเขาอวี้ซัน หนีไปไหนไม่พ้นอยู่แล้ว 

 

 

ท่าเรือเติงโจวเป็นแหล่งรวบรวมขุนนางจัวจวิ้น พากันนั่งอยู่ในกระท่อมไม้มองดูท้องทะเลอย่างใจจดใจจ่อ ผู้ตรวจราชการมณฑลของทั้งห้าเมือง เซินโจว เหิงโจว ติ้งโจว โยวโจว และเยี่ยนโจวนั่งอยู่ตรงนั้น โดยมีหยวนต้าเข่อ ผู้ตรวจราชการมณฑลเติงโจวนั่งเป็นเพื่อนด้วย ถึงแม้ว่าจิตใจจะรู้สึกราวกับน้ำมันกำลังเดือดพล่านแต่ก็ต้องสงบสติอารมณ์ มิฉะนั้นพวกขุนนางใต้บังคับบัญชาที่กำลังวิตกกังวลและราษฎรที่มารอเอาเสบียงอาหารจะยุ่งเหยิงวุ่นวายกันไปหมด 

 

 

“สหายหยวน กองทัพเรือของอวิ๋นโหวมาถึงช้ากว่าวันที่กำหนดไว้ตั้งสองวัน หรือว่าเกิดอะไรขึ้นในทะเล สองสามวันก่อนได้ยินมาว่าเกิดปรากฏการณ์พายุทอร์นาโด ไม่รู้ว่าที่อวิ๋นโหวมาถึงช้ากว่ากำหนดจะเกี่ยวข้องกับพายุทอร์นาโดหรือเปล่า” 

 

 

คนที่ถามก็คือเฝิงไท่ ผู้ตรวจราชการมณฑลโยวโจว ตอนนี้โยวโจวขาดแคลนเสบียงอาหารมาสองวันแล้ว พวกชาวบ้านพากันเร่ร่อนอยู่ในถิ่นทุรกันดารเป็นกลุ่มๆ รากหญ้าผิวต้นไม้ก็ถูกกัดกินจนหมด โชคดีที่ตัวเองทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี เอาเสบียงอาหารของจวนออกมาบรรเทาทุกข์ ถึงแม้จะทำเช่นนี้แต่ก็ไร้ประโยชน์ 

 

 

“สหายเฝิงไม่ต้องกังวล คลื่นลมบนทะเลค่อนข้างแรง อาจจะก่อให้เกิดภัยพิบัติที่ไม่คาดคิดได้ทุกรูปแบบ อวิ๋นโหวขนส่งเสบียงอาหารมาจากทางไกล เขาเป็นคนมีความสามารถ จะต้องมีวิธีจัดการกับความยากลำบากเป็นแน่” 

 

 

ถึงแม้ว่าหยวนต้าเข่อจะพูดเช่นนั้นออกมา แต่ในใจกลับกำลังถอนหายใจ พายุทอร์นาโดพวกนั้น ได้สร้างความเสียหายอย่างหนักให้กับพ่อค้าที่อยู่ภายใต้การดูแลของเขา ครั้งสุดท้ายที่เห็นเรือของราชสำนักก็คือเมื่อสิบวันก่อน แต่ตอนนี้กลับไม่เห็นรายงานของพวกเขาอีกเลย คนที่เป็นกังวลไม่ได้มีแค่ผู้ตรวจราชการมณฑลที่ประสบภัยพิบัติสองสามคนนั้น เขาเองในฐานะผู้ตรวจราชการมณฑลเติงโจวก็เป็นกังวลเช่นกัน หากเกิดอะไรขึ้นกับอวิ๋นเยี่ย ก็ไม่รู้ว่าฝ่าบาทจะโมโหใส่คนอื่นหรือไม่ 

 

 

“หากอวิ๋นโหวยังมาไม่ถึง เซี่ยงโจวของข้าคงจะเกิดโศกนาฏกรรมขึ้นเป็นแน่ จะต้องเกิดการกินกันเองขึ้นอย่างแน่นอน ข้ายอมให้ตัวเองถูกต้มเป็นโจ๊ก หากมันสามารถบรรเทาความหิวโหยของราษฎรได้ ข้าจะเสียดายร่างกายของตัวเองได้เช่นไร” 

 

 

เสบียงอาหารในดินแดนเหอเป่ยถูกขนส่งออกไปหมดแล้ว มีเพียงการขนส่งฉุกเฉินจากเหอหนาน กวนจง และจิงจี แม้แต่เสบียงอาหารของเหล่าทหารเหลียวตงก็ถูกส่งมาแล้วส่วนหนึ่ง แต่น่าเสียดายที่แก้ปัญหาเร่งด่วนไม่ได้ ไม่มีใครคาดคิดถึงภัยพิบัติครั้งนี้ เมื่อดอกไม้กำลังจะเบ่งบานย่อมต้องการน้ำมากที่สุด แต่พระเจ้ากลับไม่ยอมให้มีฝนตกแม้แต่หยดเดียวนานกว่าสองเดือน ต้นกล้าในนาที่กำลังจะได้เก็บเกี่ยวผลผลิตกลับกลายเป็นแกลบเต็มไปหมด จับทีหนึ่งก็มีแต่แกลบ เมล็ดข้าวสักเมล็ดก็ไม่มี 

 

 

ไม่ทันคาดคิดถึงภัยพิบัติที่ร้ายแรงเช่นนี้ เหอเป่ยทำสงครามมาเป็นเวลานาน พวกชาวนาไม่ได้มีรากฐานที่มั่นคง บ้านทุกหลังคาเรือนไม่ได้มีเสบียงอาหารสำรอง ภัยพิบัติเกิดขึ้นอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ทำให้ต้าถังรับมือไม่ทัน 

 

 

ผู้ตรวจราชการมณฑลทั้งหกหัวเราะอย่างเศร้าโศก เห็นพระอาทิตย์ตกลงทางทิศตะวันตก วันนี้กองทัพเรือน่าจะไม่มาแล้ว และเมื่อพวกเขากำลังจะหันหลังกลับบ้านและฝากความหวังให้กับวันพรุ่งนี้ ฉับพลันบนท้องทะเลพลันมีเสียงแตรอันทรงพลังดังขึ้นมา เสาเรือโผล่ขึ้นมาจากทะเล จากนั้นก็มีเสาเรือและใบเรือจำนวนนับไม่ถ้วนโผล่ตามขึ้นมา ผ่านไปไม่นาน กองทัพเรือที่หนาแน่นก็ปรากฏขึ้นมาให้ผู้คนเห็น ธงสีแดงที่เขียนตัวหนังสือคำว่าถังสีดำขนาดใหญ่ห้อยอยู่บนเสาเรือ หนึ่งในเรือรบที่ใหญ่ที่สุดมีธงที่เขียนตัวหนังสือคำว่าอวิ๋นถูกเรือลำอื่นลากมาอย่างหยิ่งผยอง 

 

 

ท่าเรือระเบิดขึ้นมาทันที เฝิงไท่กระโดดเข้าไปหาขุนนางที่อยู่ข้างหลัง ราษฎรพากันตะโกน “เรือมาแล้ว เสบียงอาหารมาแล้ว ใครบอกว่าราชสำนักไม่สนใจว่าเหอเป่ยจะเป็นตายร้ายดี ฝ่าบาทขนเสบียงอาหารมาให้แล้ว!” 

 

 

“มาสักที มาสักที” ผู้ตรวจราชการมณฑลเซี่ยงโจวน้ำตาไหล คนอื่นๆ ก็ยิ้มอย่างมีความสุข ยืนจับมือกันและกัน รอให้เรือมาเทียบท่า จากนั้นก็เริ่มขนเสบียงอาหาร ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาเกรงใจกัน หากล่าช้า ก่อให้เกิดความวุ่นวาย มันคงจะเป็นเรื่องไม่ดี 

 

 

อวิ๋นเยี่ยเตรียมตัวกระโดดขึ้นฝั่งเมื่อเรือลำใหญ่เข้าไปเทียบท่า อยากจะพักผ่อนอย่างสบายใจสักหน่อย เขาเบื่อหน่ายกับการสั่นคลอนของเรือเต็มทีแล้ว แม้แต่กินข้าวก็ยังกินน้อยกว่าวันปกติตั้งหนึ่งชาม  

 

 

กำลังจะหันกลับไปบอกลูกน้องว่าหยุดสามวัน สนุกสนานกันให้เต็มที่ แต่กลับเห็นว่าบนเรือมีแต่คนพิการคนที่ได้รับบาดเจ็บเต็มไปหมด มือถูกก้างปลาแทง ใช้ผ้าพันแขนแขวนไว้ที่คอ พันหัวที่ถูกแมลงกัด ผ้าพันรอบหัวราวกับพวกชาวต่างถิ่น ส่วนคนที่เท้าได้รับบาดเจ็บสาหัส ต้องใช้คนสองคนช่วยกันพยุง 

 

 

อู๋เสอหัวเราะราวกับเป็ด พันผ้าพันแผลให้อวิ๋นเยี่ยทั้งตัวอย่างรวดเร็ว แล้วยังได้ยินเขาพูดอยู่ตลอดเวลา ท่านโหวนี้คือแผลจากปลาฉลามที่ตกลงมาตอนที่กำลังต่อสู้กับพายุทอร์นาโด 

 

 

หลิวจิ้นเป่ากลับกลายเป็นวีรบุรุษที่ถูกสรรเสริญไปทั่ว เพื่อปกป้องท่านโหว ตอนที่ปลาวาฬสองตัวขึ้นมาบนเรือ เขาเป็นคนฆ่าปลาวาฬสองตัวนั้นคนเดียว จากนั้นเขาก็กระดูกหักทั้งตัว เส้นเอ็นบิดเบี้ยวไปหมด เช่นนี้ ถึงช่วยชีวิตทหารเรือกว่าสี่สิบคนที่ตกลงไปในน้ำ และกระสอบเสบียงอาหารกว่าสิบกระสอบได้สำเร็จ เขาไม่ใช่คนธรรมดา หลิวจิ้นเป่าฟังจนน้ำลายไหล 

 

 

“อู๋เสอ เจ้าจะทำอะไร ยังจะมาบอกว่าเป็นปลาฉลาม แค่ปลาจวดตัวเดียวก็แทบจะเอาชีวิตข้าไปอยู่แล้ว หากเป็นปลาฉลาม คงจะถูกทับเป็นน้ำจิ้มไปแล้ว ตอนนั้นหลิวจิ้นเป่ากำลังปล่อยว่าว ใครเห็นเขาต่อสู้กันปลาวาฬ แถมยังสองตัว?พวกเจ้าจะโม้ก็โม้ไป แต่อย่าให้มันเกินจริง เดี๋ยวคนอื่นจะหัวเราะเยาะเอา” 

 

 

“อวิ๋นโหว ท่านเป็นท่านโหว จะถูกปลาจวดตกใส่จนสลบไปได้เช่นไร อย่างน้อยก็ต้องเป็นปลาฉลาม เช่นนี้ถึงจะคู่ควรกับท่าน หลิวจิ้นเป่าฆ่าปลาวาฬสองตัวนั้นจริงๆ หัวปลาวาฬสองตัวนั้นเขาก็เป็นคนเลื่อยมันออกมา ไม่เชื่อท่านลองไปดู” เหอจงอู่เป็นพยานให้กับหลิวจินเป่า นี่ต้องเป็นความคิดของไอ้หมอนี่แน่ๆ วัดหงหลูไม่เคยมีคนดีๆ  

 

 

“ท่านโหว ตอนนี้ราษฎรในดินแดนเหอเป่ยเอวบางร่างน้อยไปหมด เป็นช่วงที่อันตรายมากที่สุด น้ำมันหกลงบนไม้แห้ง มีแค่ประกายไฟก็สามารถกลายเป็นหายนะได้ สถานการณ์เช่นนี้ข้าน้อยเคยเจอมาแล้ว ฝางเสวียนหลิงก็ทำเช่นนี้ ก่อนอื่นต้องทำให้ราษฎรรู้ว่า เพื่อช่วยเหลือพวกเขา ราชสำนักได้ส่งท่านโหวที่สูงศักดิ์ที่สุดคนหนึ่งไปหาเสบียงอาหารมาให้พวกเขา ท่านโหวท่านนี้ได้ผ่านความยากลำบากมามากมายกว่าจะหาเสบียงอาหารมาได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง?” 

 

 

อวิ๋นเยี่ยพยักหน้า นึกถึงสถานการณ์ที่น่าสังเวชของตัวเองในป่าก็รู้สึกเสียใจ คำว่าความยากลำบากตั้งมากมายไม่ใช่การพูดเกินจริง 

 

 

“เพื่อหาเสบียงอาหาร ท่านได้ต่อสู้กับคนป่าเถื่อนที่น่ากลัวที่สุดในตอนใต้ เป็นผู้นำของเหล่าหารเรือทำการต่อสู้ที่นองเลือด ลำลายล้างประเทศมาแล้วนับไม่ถ้วน ในที่สุดถึงได้มีเสบียงอาหารเพียงพอสำหรับราษฎรในดินแดนเหอเป่ย ยังไม่ทันได้ชะล้างฝุ่น ก็แล่นเรือออกเดินทางมาเหอเป่ยข้ามวันข้ามคืน นี่ก็เป็นเรื่องจริงใช่หรือไม่” 

 

 

อวิ๋นเยี่ยพยักหน้าอีกครั้ง คิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า:“แต่พูดจนพวกชาวบ้านมีอำนาจมากเกินไป” 

 

 

“ไม่ถือว่าเกินไป ท่านโหว ท่านอาจจะไม่ทราบ สมัยสามก๊ก ซุนเฉวียนต้องทรมานมากแค่ไหนจากการกวาดล้างพวกชาวบ้าน สมัยราชวงศ์ฉินผู้คนกว่าสามแสนคนบุกโจมตีหลิ่งหนาน คนที่มีการศึกษาในเหอเป่ยรู้กันทุกคน เพราะฉะนั้นพวกชาวบ้านมีอำนาจมาก ทหารเรือต้องใช้เลือดไปแลกมา กว่าจะได้เสบียงอาหาร นี่คือประเด็นสำคัญ” 

 

 

อวิ๋นเยี่ยพยักหน้าอย่างเชื่องช้า ก็ได้ พวกชาวบ้านมีอำนาจ เพื่อความมั่นคงของเหอเป่ย ข้าจะนอนสักสองสามวันก็คงไม่เป็นไร 

 

 

เหอจงอู่ที่มีความคับแค้นใจอยู่เต็มอกก็พูดอีกว่า:“เมื่อหกวันก่อนพวกเราเจอกับพายุทอร์นาโดอีกครั้ง ภัยธรรมชาติเช่นนี้พวกเรายังหนีพ้นมาได้ สติปัญญาของท่านทำให้พวกเราทุกคนซาบซึ้ง แค่พูดเกินจริงสักหน่อย ท่านลองถามพวกทหาร จะมีใครกล้าพูดอะไร 

 

 

ท่านไม่สนใจเรื่องพวกนี้ การถูกเลื่อนตำแหน่งและความร่ำรวย เป็นเรื่องตลกสำหรับท่าน แต่พวกทหารต้องการความสำเร็จครั้งนี้ในการเลื่อนตำแหน่งและการได้รับการส่งเสริมยกย่อง แม้แต่ข้าน้อยก็ยังต้องการความดีความชอบสักเล็กน้อย จะได้ไม่มีใครกล้าเอาการตายของทูตต้าถังโยนมาให้ข้าน้อย ท่านโหว เพื่อพวกข้าทุกคน ท่านทนลำบากหน่อยเถอะขอรับ!”