ตอนที่ 2-1 คืบเดียว

จังหวะรัก นักบัลเลต์

ตอนที่ 2-1 คืบเดียว

 

 

 

 

“อ้าๆ ไมค์ เทสต์ ไมค์ เทสต์” 

 

 

ทันทีที่มีเสียงประกาศว่าจะจัดประชุมเช้าที่หอประชุมซึ่งไม่ได้จัดนานแล้วออกมาจากไมโครโฟนตัวจิ๋ว เสียงโฮ่ร้องก็เริ่มดังออกมาจากทุกห้องเรียน 

 

 

เซจินและอีเซบ่นพึมพำพร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยับยู่ยี่ เนื่องจากเพิ่งจะเปลี่ยนชุดเสร็จเพราะมีเรียนภาคปฏิบัติในคาบแรก แต่สุดท้ายทั้งคู่ก็ต้องเปิดตู้ล็อกเกอร์ แล้วหยิบชุดนักเรียนออกมาใส่ใหม่อีกครั้ง 

 

 

“ร้อนจะตายอยู่แล้ว ทำไมต้องเป็นประชุมเช้าที่หอประชุมด้วยเนี่ย” 

 

 

“ฉันว่า อาจจะเป็นเพราะผลจากการประกวดเมื่อวันก่อนก็ได้นะ” 

 

 

“หือ แล้วใครได้รางวัลล่ะ” 

 

 

“จะเป็นใครล่ะ ก็ชเวซูฮยอนน่ะสิ” 

 

 

ทันทีที่อีเซซึ่งหยิบเสื้อนักเรียนขึ้นมาสะบัด เขาก็ทำสายตาชี้ไปทางซูฮยอน สีหน้าของเซจินก็บูดบึ้งขึ้นมาอย่างฉับพลัน อีเซรู้สึกกดดันกับสีหน้าที่ตอบสนองออกมาจากใจจริงนั่น จนต้องหยุดพูดในทันที ก่อนจะค่อยๆ เหลือบมองตาเซจิน พอได้ยินเสียงคนเรียก เขาก็รีบวิ่งออกไปที่นั่นอย่างกับวิ่งหนี 

 

 

“ฟ้าช่างไม่ยุติธรรมจริงๆ ชเวซูฮยอน สงสัยเจ้านั่นจะเป็นคนดวงดีสินะ” 

 

 

เซจินพูดเสียงแข็ง พลางสวมเสื้อนักเรียนทับชุดเลโอตาร์ดด้วยท่าทางหงุดหงิด ฉันเองก็รีบสวมแขนเข้าไปในเสื้อแล้วติดกระดุม แต่เสียงบ่นของเซจินนั้นไม่มีทีท่าว่าจะหยุด แถมยังเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ 

 

 

“มันจะเป็นเรื่องใหญ่อะไรขนาดนั้น ถึงกับต้องเรียกนักเรียนทั้งโรงเรียนมารวมกันที่หอประชุม การได้รางวัลนี่มันทำไมงั้นเหรอ รุ่นพี่อีกงเองก็ได้ที่หนึ่งทุกครั้งไม่ใช่รึไง ยังไงก็ต้องป่าวประกาศให้พวกอาจารย์รู้สินะ” 

 

 

“…นี่ คิมเซจิน” 

 

 

“จะทำไม ฉันพูดผิดหรือไง บอกตามตรงนะ ชเวซูฮยอน เจ้านั่นน่ะ นอกจากเรื่องที่ได้ไปใช้ชีวิตต่างประเทศแล้ว มีอะไรอื่นที่แตกต่างจากพวกเรางั้นเหรอ หน้าตาเหรอ นักเต้นเขาใช้หน้าตาเต้นรึไงล่ะ แค่เก่งภาษาอังกฤษนิดหน่อย มันจะยิ่งใหญ่อะไรนักหนา ถึงได้พยายามทำตัวอย่างกับว่าตัวเองเป็นหัวหน้า” 

 

 

“เบาๆ สิ” 

 

 

ด้วยความที่กลัวว่าซูฮยอนที่อยู่ตรงหลังห้องเรียนจะได้ยินคำพูดเหน็บแนมของเซจิน ฉันจึงรีบเอานิ้วมือมาทาบปาก แล้วหันไป ชู่ ใส่เซจิน พร้อมกับส่งสายตา 

 

 

“ถ้าได้ยินก็ปล่อยให้ได้ยินไปสิ!” 

 

 

แต่กลับกัน เซจินกลับเร่งเสียงเดซิเบลให้ดังขึ้นด้วยท่าทางมั่นใจ จนใบหน้าของฉันร้อนวูบขึ้นมา 

 

 

“พอเถอะ รีบออกไปกันได้แล้ว” 

 

 

ฉันผลักหลังของเซจินไปจนเกือบจะถึงทางเดิน ก่อนจะสัมผัสได้ถึงสายตานั้นอีกครั้ง สายตาอันน่ากลัวที่เหมือนจะจ้องจนทั้งตัวเป็นรูพรุน  พอลองเหลือบตาไปดูทางฝั่งห้องเรียน ก็ได้เห็นว่าดวงตาคู่โตและลึกของซูฮยอนกำลังจ้องมองพวกเราอยู่จริงๆ นาทีที่ฉันสบตากับเขา ฉันรู้สึกราวกับว่าเลือดทั่วทั้งร่างกายจางหายไป 

 

 

“ดูท่าจะได้ยินนะ พอเถอะน่า” 

 

 

ฉันหยิกหลังของเซจิน พลางดุ แต่เธอยังคงเชิดคางขึ้นแล้วตะโกนออกมาด้วยเสียงแหลมๆ 

 

 

“ฉันไม่กลัวเลยสักนิด ทำไมเธอถึงได้มองเจ้านั่นอย่างนั้นล่ะ” 

 

 

“ไม่ใช่อย่างนั้น…” 

 

 

“ยังไงซะ ฉันก็เกลียดหมอนั่น เกลียดสุดๆ!” 

 

 

“เลือกบ่นเถอะน่า ขอร้อง” 

 

 

พอฉันจ้องตาเขม็งพร้อมกับตีหลังของเธอดัง พลั่ก เซจินจึงทำปากจู๋ แล้วจึงเริ่มเดินให้เร็วขึ้นผ่านโถงทางเดินไป บางทีเซจินที่บ่นพึมพำออกมาแบบนั้นก็ดูน่ารักดี ฉันจึงยิ้มกริ่ม พร้อมกับรีบเดินไปขนาบข้างเซจิน 

 

 

“ฉันจะฟ้องรุ่นพี่อีกงให้หมดเลย ว่าพอเป็นเรื่องชเวซูฮยอนที่ไร คิมฮวีกยอมทำตัวราวกับจะเป็นจะตายทุกที” 

 

 

…ขอยกเลิกคำว่าน่ารัก ขอยกเลิกจริงๆ 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

ทันทีที่ถึงเวลาฝึกซ้อมการแสดงประจำฤดูหลังจากเลิกเรียน เซจินก็จะงอแงว่าไม่อยากไปๆ อย่างกับจะร้องไห้ออกมาซะเดี๋ยวนั้น ก่อนที่ในท้ายที่สุดจะถูกอีเซจับตัวเอาไว้ได้ แล้วลากไปยังห้อมซ้อมเต้นสอง 

 

 

หลังจากทุกคนออกไป ฉันที่ถูกทิ้งให้อยู่ในห้องเรียนว่างเปล่าเพียงลำพังจึงค่อยๆ หยิบผ้าเช็ดหน้า ชุดลีโอตาร์ด และของอื่นๆ จากล็อกเกอร์มาใส่กระเป๋า 

 

 

ฉันยัดของต่างๆ ลงไปในกระเป๋าออกกำลังกายใบยักษ์ แล้วเริ่มคิดถึงเรื่องอื่นขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล ขณะที่ฉันกำลังแกว่งมือไปมา มือก็พลาดไปโดนขวดน้ำเข้า ต้องขอบคุณเจ้าขวดน้ำที่กลิ้งตกลงมาจนทำให้เกิดเสียงดัง จึงทำให้ฉันสะดุ้งตกใจ 

 

 

น้ำหกเลอะพื้นปูนสีเทาทึมๆ ฉันจึงเอื้อมมือออกไปเพื่อจะหยิบขวดน้ำขึ้นมา แต่แล้วก็กลับหยุดมองเหม่อไปยังน้ำที่เลอะอยู่บนพื้นนั้น 

 

 

บางทีการแสดงประจำฤดูในครั้งนี้อาจจะเป็นการแสดงครั้งสุดท้ายที่ฉันจะได้แสดงกับรุ่นพี่อีกงก็ได้ ภายในช่วงเวลาฝึกซ้อมที่ไม่ได้นานมากมายนี้ ฉันจะต้องมองหน้ารุ่นพี่ด้วยใบหน้าอย่างไรดี ฉันกัดริมฝีปากล่างเบาๆ พร้อมกับยื่นมือไปทางน้ำที่หกอยู่บนพื้นอย่างช้าๆ 

 

 

ลี-อี-กง 

 

 

ฉันเขียนอักษรสามพยางค์ที่ไม่กล้าแม้แต่จะเปล่งเสียงเรียกออกมาด้วยปลายนิ้วที่เปียกน้ำ น้ำที่เคลื่อนไปตามรอยนิ้วมือที่เลื่อนผ่านเกิดเป็นเหมือนรอยเปื้อนที่เป็นชื่อของรุ่นพี่ 

 

 

“ยัยบ้า” 

 

 

นี่ไม่ใช่เวลาจะมาทำอะไรแบบนี้สักหน่อย ฉันรีบหยิบขวดน้ำที่กลิ้งอยู่บนพื้นขึ้นมา ทันทีที่เอารองเท้าแตะสีน้ำเงินที่สวมอยู่เช็ดน้ำที่หกเลอะบนพื้น ชื่อของรุ่นพี่ก็เปลี่ยนเป็นรูปร่างที่ไม่มีความหมายอะไรแทน ฉันเอาผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่พาดบ่า แล้วรีบออกจากห้องเรียนไป 

 

 

 

 

 

การฝึกซ้อมของ Le Corsaire ถูกกำหนดให้อยู่ในห้องซ้อมเต้นสาม ซึ่งห้องซ้อมนี้อยู่ด้านในสุดของชั้นหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นสถานที่ที่มีแดดน้อยที่สุด หรือก็คือ เป็นที่ที่หนาวเย็น มืดมน และอยู่ในมุมหลืบนั่นเอง  

 

 

แม้ว่า Le Corsaire จะเป็นการแสดงพิเศษที่ถูกลดทอนให้เน้นการเต้นเดี่ยวและปาเดอเดอ (pas de deux) เป็นหลัก แต่รุ่นพี่อีกงที่เป็นหัวหน้าก็ยังคงบอกว่าต้องการจะใช้ห้องซ้อมเต้นสามอย่างจริงจัง 

 

 

อีกทั้งเซจินยังบอกฉันว่า รุ่นพี่ทำถึงขนาดเสนอตัวบอกว่าอยากเล่นบทอัลลี แล้วก็เป็นคนเสนอชื่อของฉันในบทกัลแนร์อีกด้วย แม้ว่านี่น่าจะเป็นเรื่องที่ได้ยินมาจากอีเซอีกทีก็เถอะ 

 

 

‘สนิทกันขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ’ เซจินถามมาด้วยสายตาที่เหมือนจะเค้นเอาคำตอบให้ได้ ฉันจึงทำได้แต่ยิ้มแห้งๆ กลับไป นั่นเป็นเพราะว่าฉันเองก็ไม่รู้เหตุผลที่รุ่นพี่เสนอชื่อฉันเหมือนกัน 

 

 

ระหว่างที่ฉันคิดนู่นคิดนี่ ทันทีที่มาถึงห้องซ้อมเต้นสาม ฉันก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าไม่มีใครอยู่ข้างในเลย ที่จริงถึงฉันจะชักช้าไปหน่อยแต่นี่ก็ยังเป็นเวลาที่เร็วไปอยู่ดีกว่าที่พวกรุ่นพี่จะมาถึง 

 

 

ฉันเปิดประตูอย่างระมัดระวังแล้วโผล่หัวเข้าไปข้างในห้อง พอเห็นห้องซ้อมเต้นที่ทั้งเงียบ ทั้งมืด และไร้ผู้คนแล้ว ก็เริ่มขนลุก ฉันเอามือทั้งสองข้างลูบแขนแรงๆ พร้อมกับเดินเข้าไปข้างในห้อง แต่แล้วจู่ๆ ก็มีแขนของใครบางคนโผล่ออกมาจากด้านหลัง แล้วโอบรอบเอวของฉัน 

 

 

“กรี๊ดดด!” 

 

 

ด้วยความตกใจมาก ฉันจึงสะบัดอย่างแรง พลางกรีดร้อง ตอนนั้นเองฝ่ามืออบอุ่นก็เลื่อนมาปิดปากของฉัน นั่นทำให้ฉันต้องกลั้นหายใจเอาไว้ แล้วหันหน้ากลับไป ถึงจะเหลือเชื่อแต่คนที่กำลังจ้องมองฉันอยู่ด้วยดวงตากลมโตก็คือรุ่นพี่อีกงนั่นเอง 

 

 

“นี่พี่เอง” 

 

 

ริมฝีปากของรุ่นพี่ขยับเบาๆ อยู่ดีๆ ก็เหมือนมีไฟฟ้าแล่นไปตามเส้นประสาททั่วทั้งตัว แล้วก็เข้าไปในหัว พลางโจมตีเข้าที่หัวใจของฉัน ไม่รู้ทำไมฉันถึงขยับตัวไม่ได้เลยสักนิด 

 

 

รุ่นพี่อีกงจ้องฉันที่ไร้แรงขัดขืนตาเขม็ง ก่อนที่อยู่ดีๆ จะหัวเราะเสียงดังออกมา รุ่นพี่หัวเราะอย่างนั้นอยู่สักพัก ก่อนจะพยายามกลั้นขำ แล้วเอามือที่ปิดปากของฉันไว้แน่นออก 

 

 

“ระ รุ่นพี่…” 

 

 

“ตกใจเหรอ” 

 

 

“…อะไรกันคะ ฉันตกใจจริงๆ นะ” 

 

 

“โทษทีๆ ก็ไม่คิดว่าจะตกใจขนาดนั้นนี่” 

 

 

รุ่นพี่ยังคงกลั้นขำพร้อมกับมุมปากทั้งสองข้างที่ยกขึ้น พอเห็นภาพนั้นแล้วฉันก็รู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมเลยสักนิด ฉันบ่นพึมพำแบบไร้เสียง พร้อมกับพยายามจะยืดไหล่ที่หดอยู่ให้กลับมาตั้งตรง แต่แล้วหลังที่แนบชิดกับหน้าอกของรุ่นพี่ก็ทำให้ฉันสัมผัสได้ถึงการเต้นของหัวใจของรุ่นพี่ ด้วยความตกใจฉันจึงกลับมายืนตัวแข็งเป็นหินอีกครั้ง 

 

 

ทันทีที่สัมผัสที่ไม่คุ้นเคยกระตุ้นเส้นประสาททั้งร่างกาย ใบหน้าของฉันก็ร้อนขึ้นเหมือนกับถูกไฟเผาไหม้ ฉันพยายามสะบัดตัวเพื่อออกจากอ้อมกอดของเขา แต่ไม่รู้ทำไม รุ่นพี่กลับออกแรงกอดเอวของฉันแน่นยิ่งขึ้น เหมือนว่าจะไม่ยอมปล่อยฉันไปง่ายๆ 

 

 

“ฮวีกยอม ทำไมถึงมาเร็วจังเลย” 

 

 

“ระ รุ่นพี่ต่างหากล่ะคะที่มาเร็ว” 

 

 

“ก็เพราะอยากเจอเร็วๆ พอเลิกเรียนก็เลยรีบวิ่งมาน่ะสิ” 

 

 

รุ่นพี่พึมพำคำพูดที่ฉันไม่เข้าใจออกมา พลางเอามือลูบหัวฉัน ไม่ว่าเมื่อไหร่ ปลายนิ้วของรุ่นพี่ก็ยังคงอ่อนโยนเหมือนเคย อ่า ใจของฉันกลับมาเต้นตึกตักอีกครั้ง พร้อมกับสัมผัสร้อนผ่าว 

 

 

ฉันกระวนกระวายใจกลัวว่าเขาจะได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นเร็วขึ้น หรือจับได้ว่าใบหน้าของฉันกำลังแดงแจ๋ ฉันจึงเอาแต่ก้มหน้าก้มตา แล้วผลักไหล่ของรุ่นพี่อย่างเบามือต่างจากเมื่อสักครู่นี้ แขนของรุ่นพี่ค่อยๆ ผละออก ตำแหน่งที่โดนสัมผัสยังคงเหลือไออุ่นเอาไว้ พร้อมกับความรู้สึกเสียดาย 

 

 

“จนกว่าคนอื่นๆ จะมา เรามาวอร์มกันก่อนเถอะ” 

 

 

แผ่นหลังของรุ่นพี่ที่เดินเข้าไปกลางห้องซ้อมราวกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แม้แต่ภายในเงาก็ยังเหมือนกับจะมีแสงสว่างส่องเป็นประกายออกมา ฉันกอดเอวของตัวเองที่รุ่นพี่ได้ทิ้งไออุ่นไว้ พลางมองแผ่นหลังนั้นที่ห่างไกลออกไป 

 

 

สำหรับฉันแล้ว รุ่นพี่ได้ให้สิ่งต่างๆ มากมาย แต่ขณะเดียวกันก็ได้ขโมยมันไปด้วย ทั้งบัลเลต์ ความตื่นเต้น แล้วก็… หัวใจดวงนี้ที่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

นานมากแล้วที่ฉันไม่ได้อยู่ท่ามกลางคลื่นมนุษย์ที่เบียดเสียดขนาดนี้ ฉันกำลังประคองร่างกายที่โซเซไปมาภายใต้ความวุ่นวายที่ไม่คุ้นเคย 

 

 

“ฮวีกยอม! ทางนี้!” 

 

 

อีเซที่เดินฝ่าผู้คนที่พลุกพล่านนำหน้าไปไกล หันกลับมาโบกมือให้ฉัน พลางกระโดดขึ้นลง ด้วยร่างกายที่สูงและผอม เขาจึงยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงนั้น และกลายเป็นจุดรวมสายตาของผู้คนในทันที 

 

 

บรรยากาศที่ลอยออกมาจากใบหน้าที่ดูใจดี รับกับเส้นผมสีน้ำตาลนั่น ช่างเหมือนกับพี่ชายของเขาจริงๆ แต่อีเซจะให้ความรู้สึกสดใสกว่ารุ่นพี่อีกงหน่อยๆ 

 

 

“ตามมาดีๆ สิ เพราะเธอตัวเล็กเลยมองไม่ค่อยเห็น เกิดหายไปก็หาไม่เจอพอดีน่ะสิ” 

 

 

แม้อีเซจะยิ้มบางๆ คล้ายกับรุ่นพี่อีกง แต่น้ำเสียงน่าชังที่พูดออกมา ทำให้ฉันแกล้งกำหมัดขึ้นมาแล้วรีบวิ่งเข้าใส่หลังของเขา 

 

 

เมื่อเทียบกับรุ่นพี่อีกงที่รู้สึกว่าเข้าถึงได้ยากแล้ว อีเซจะมีนิสัยสบายๆ แล้วก็ร่าเริง ทำให้สามารถสนิทได้ในทันที แล้วยิ่งพออาศัยอยู่ในละแวกบ้านเดียวกัน เจ้านั่นก็มักจะมาหาฉันอย่างกะทันหันเพื่อชวนฉันออกไปเที่ยวด้วยกันอยู่บ่อยๆ วันนี้เองก็เช่นกัน  

 

 

เป็นเพราะเจ้านั่นชวนไปดูหนังพร้อมกับยื่นตั๋วที่จองเอาไว้แล้วมาให้ ถึงฉันจะตอบกลับไปว่าวันนี้ตั้งใจจะนอนตื่นสายให้เต็มที่ แต่สุดท้ายฉันก็ลังเล แล้วก็ตามอีเซออกไปข้างนอกอยู่ดี 

 

 

ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างก็ถูกแต่งแต้มไปด้วยเสื้อผ้าที่มีลวดลายหลากสีสัน ถนนจึงเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา และนั่นทำให้ฉันรู้สึกสมเพชในสภาพของตัวเองที่ใส่เสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ขายาวปอนๆ เดินออกมาจากบ้าน 

 

 

ย่านที่มีผู้คนพลุกพล่านในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์เป็นสถานที่ที่ฉันซึ่งใช้ชีวิตอยู่แต่ในห้องซ้อมปรับตัวได้ยาก หลังจากที่ทำความคุ้นชินกับห้องซ้อมที่เงียบสงบ อีกทั้งยังถูกจำกัดด้วยดนตรี การเต้น เวลา เป็นเพราะฉันคุ้นเคยกับชีวิตประจำวันเดิมๆ มาตลอด เลยรู้สึกเหมือนกับว่าโลกที่เปลี่ยนไปแค่วันเดียวนั้น คือโลกอีกใบที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับฉันเลยสักนิด 

 

 

“เรื่องนี้เขาบอกว่าสนุกจริงๆ นะ จริงสิ เธออยากกินป๊อปคอร์นไหม” 

 

 

ภายในโรงภาพยนตร์ที่แน่นยิ่งกว่าริมถนน ฉันรับตั๋วมาจากอีเซ พร้อมกับยืนมองรอบๆ ด้วยความรู้สึกแปลกๆ ฉันส่ายหัวให้กับคำถามของอีเซโดยไม่ส่งเสียงตอบอะไร ก่อนจะชี้ไปยังเครื่องดื่มวิตามินที่วางเรียงอยู่ในตู้ 

 

 

“โธ่ ดูหนังก็ต้องกินโคล่ากับป๊อปคอร์นสิถึงจะถูก” 

 

 

“ฉันต้องควบคุมน้ำหนักน่ะ ของกินเล่นน่ะ ห้ามอย่างเด็ดขาดเลยนะ” 

 

 

“เรื่องนั้นก็ส่วนเรื่องนั้น เวลาสนุกก็ต้องสนุกสิ” 

 

 

อีเซจิ๊ปากแสดงความรู้สึกเสียดาย แต่ในไม่ช้าขวดพลาสติกที่มีของเหลวสีเหลืองอยู่จนปริ่มก็ตกมาอยู่ในมือของฉัน หลังจากที่อีเซบอกว่าจะขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อน ฉันก็รับป๊อปคอร์นยักษ์ที่อัดแน่นจากเจ้านั่นมากอดเอาไว้ในอก แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ว่าง 

 

 

ในโรงภาพยนตร์คือสวรรค์ของคู่รัก ส่วนฉันก็ได้แต่จ้องมองผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาตรงหน้าอย่างรวดเร็วโดยไม่แม้แต่จะสบตากันสักนิด พลางพิงศีรษะที่รู้สึกวิงเวียนไปข้างหลัง 

 

 

ฉันสะดุดตาเข้ากับพวกผู้หญิงที่แต่งตัวสวยงาม และมาพร้อมกับรอยยิ้มที่เปล่งประกาย ท่าทางที่ดูไม่ปลอดภัยเวลาใส่รองเท้าส้นสูง ให้ความรู้สึกเหมือนกับเด็กผู้หญิงที่เพิ่งใส่รองเท้าบัลเลต์ครั้งแรก ฉันเลยแอบหัวเราะออกมาเบาๆ 

 

 

แล้วฉันก็เริ่มเพลิดเพลินไปกับเท้าของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาตรงหน้าอย่างจริงจัง รองเท้าราคาแพงที่วิบวับ ส้นสูงที่เซไปมา รองเท้าแตะที่มีลูกปัดประดับอยู่ รองเท้ากีฬาหลากสีสัน หรือจะเป็นรองเท้าผ้าใบยับๆ ที่ดูสกปรก… 

 

 

ระหว่างที่กำลังสังเกตสารพัดรองเท้านานาประเภทอย่างสนุกสนาน จู่ๆ สายตาของฉันก็ไปจับจ้องอยู่กับรองเท้าคู่ที่คุ้นตา รองเท้ากีฬาสีเงินที่มีสายสัญลักษณ์ของแบรนด์นั้นห้อยแกว่งไปมาอยู่ มันคือรองเท้ากีฬาคู่ที่เซจินบ่นจนติดปากว่าอยากซื้อเมื่อหลายเดือนก่อน จนถึงขั้นร้องเป็นเพลง และเมื่อวานซืนเธอก็เพิ่งจะอวดว่าได้มันมาไว้ในครอบครองแล้ว 

 

 

ฉันค่อยๆ เงยหน้าขึ้นช้าๆ เพื่อดูใบหน้าของเจ้าของรองเท้า เอ่อ เป็นเซจินจริงๆ ด้วย ฉันลุกพรวดขึ้นมาด้วยความดีใจ ในตอนที่ฉันกำลังจะเรียกเธอ ฉันก็เกิดหยุดชะงัก แล้วกลืนเสียงที่ลอยขึ้นมาจนถึงปลายลิ้นแล้วกลับลงคอไป นั่นเป็นเพราะว่าเซจินที่กำลังยืนยิ้มห่างออกไปไม่กี่ก้าวนั้นดูแปลกไปอย่างเห็นได้ชัด 

 

 

ทั้งการทำผมมัดเป็นมวยกลมๆ ดูน่ารัก แล้วก็กางเกงขาสั้นที่มีลายหรูหรา เป็นสไตล์ที่มองเพียงแวบเดียวก็ยังรู้สึกสนใจเลย ขาของเซจินที่เผยออกมาจากกางเกงขาสั้นทั้งขาวและสวย 

 

 

ขณะที่ฉันกำลังยืนเหม่อจ้องมองเซจินที่ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาทาบแก้มที่แดงระเรื่อ พร้อมกับท่าทางอมยิ้ม ฉันก็สังเกตเห็นแผ่นหลังของผู้ชายที่ยืนห่างจากเธอไปเล็กน้อย 

 

 

ดูเหมือนว่าเส้นหลังและไหล่ที่แข็งแรงข้างใต้เสื้อไหมพรมสีครีมอ่อนนั่น ไม่ได้ดูแปลกตาเลยสักนิด วินาทีที่ฉันได้เห็นใบหน้าของผู้ชายคนนั้นที่หันหน้ามาอย่างช้าๆ ลมหายใจของฉันก็เหมือนจะหยุดลงซะเดี๋ยวนั้น 

 

 

“รุ่นพี่…” 

 

 

เป็นครั้งแรกที่ได้เจอรุ่นพี่อีกงในที่แบบนี้ การแต่งตัวของรุ่นพี่อีกงที่ไม่ใช่ทั้งในชุดออกกำลังกาย ชุดซ้อม หรือชุดนักเรียนนั้น ดูดีและดูเป็นผู้ใหญ่กว่าที่ฉันเคยคาดคิดไว้ 

 

 

ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าที่ที่ทั้งสองคนยืนอยู่กับที่ที่ฉันกำลังยืนอยู่มันถึงเป็นคนละที่กันนะ ทั้งสองคนหลอมรวมกับคลื่นของโลกอันวุ่นวายนี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ พอได้เห็นภาพแบบนั้นแล้ว ที่ปลายลิ้นปี่ก็รู้สึกเจ็บแปลบๆ ฉันจึงได้แต่กลืนน้ำลายแห้งๆ ลงคอที่แสบร้อน พร้อมส่งเสียงครวญครางเบาๆ ทำได้เพียงมองแผ่นหลังของพวกเขาอยู่ไกลๆ 

 

 

“นี่! ยืนเหม่ออะไรอยู่ล่ะ” 

 

 

สัมผัสจากมือของอีเซที่จู่ๆ ก็จับลงมาบนไหล่ของฉัน ทำให้ฉันได้สติ เสียงต่างๆ ที่ดังหนวกหูเริ่มดังขึ้นมาใหม่อีกครั้ง และหูของฉันก็เริ่มวิ๊ง ฉันเงยหน้ามองอีเซด้วยสีหน้าอึ้งๆ ก่อนจะอุทานออกมา พร้อมกับหันกลับไปมองตรงที่ที่รุ่นพี่อีกงและเซจินเคยยืนอยู่อีกครั้ง 

 

 

“…เอ๊ะ”