Ch.17 – ตอนที่ 28 อี่เจ๋อของพวกเรากล้าหาญที่สุด! (1/1)
Translator : Akanirawan / Author
หลังวางสายจากจี้หมิงเฟยไปไม่นาน จางชิงหยวนก็มาถึง
ซูเจี๋ยนรีบเข้าไปต้อนรับอีกฝ่าย หลังจากพูดคุยกันอย่างเรียบง่ายอยู่ครู่หนึ่ง ซูเจี๋ยนก็ได้รู้ว่าด็อกเตอร์จางคนนี้เป็นคุณหมอประจำครอบครัวที่ตระกูลอันได้ว่าจ้างชุบเลี้ยงไว้โดยเฉพาะ ซูเจี๋ยนอดไม่ได้ต้องสาปแช่งอยู่ในใจอย่างเงียบงัน : คนรวยนี่ก็รวยจนน่าเกลียดจริงๆ!
คุณหมอจางตรวจร่างกายอันอี่เจ๋ออย่างละเอียดรอบหนึ่ง จากนั้นก็แจ้งซูเจี๋ยนว่าอันอี่เจ๋อป่วยเป็นไข้หวัด จัดยาให้อันอี่เจ๋อชุดหนึ่งอย่างคล่องแคล่ว ซูเจี๋ยนมองอันอี่เจ๋อที่ยังดูง่วงงุนมึนงงอยู่บ้าง ปากก็เอ่ยถามขึ้น : “เขาไข้ขึ้นสูงขนาดนี้ แค่กินยาเล็กน้อยจะหายเหรอ”
คุณหมอจางยิ้มตอบ : “การฉีดยาย่อมให้ผลลัพธ์ดีกว่ามาก ทั้งยังเห็นผลเร็วกว่าด้วย เพียงแต่ ตั้งแต่สมัยนายน้อยยังเด็กก็ไม่ชอบฉีดยามาแต่ไหนแต่ไร ยอมรับแค่ยากินเท่านั้น”
ฮะฮ่า! กลายเป็นว่าเจ้าอันอี่เจ๋อนี่กลัวโดนจับฉีดยา! ซูเจี๋ยนชอบอกชอบใจที่ได้รู้เรื่องนี้ กลอกตาขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก็แสร้งเอ่ยขึ้นอย่างมีแผนการ : “ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นก็ฉีดยาให้เขาซักเข็มเถอะ! เขาตัวร้อนขนาดนั้น ทำให้ไข้ลดลงได้เร็ว ทุกคนก็จะได้วางใจได้”
“แต่ว่า….”
ซูเจี๋ยนเอ่ยขัดอาการลังเลไม่กล้าตัดสินใจของคุณหมอจาง : “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เขาไม่ใช่เด็กแล้วนะ โตป่านนี้แล้ว ไม่ใช่ว่าจะแยกแยะผิดถูกไม่ได้ซะหน่อย คุณลงมือ….อะแฮ่มๆ…ลงเข็มเถอะค่ะ”
คุณหมอจางยังมีท่าทีพะว้าพะวงอยู่ แต่ซูเจี๋ยนยืนกรานอย่างแน่วแน่มาก อีกทั้งเรื่องที่ขอก็ไม่ได้มากมายอะไร แค่ให้ฉีดยาเข้าบริเวณบั้นท้ายของชายหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียงสักเข็มหนึ่งเท่านั้น คุณหมอจางจึงได้แต่ยอมทำตามโดยดี ซูเจี๋ยนเหล่มองอันอี่เจ๋อโดนถลกกางเกงลงไป เผยให้เห็นบั้นท้ายตึงแน่น ก็กระหยิ่มยิ้มย่องกับชัยชนะขนานใหญ่อย่างอดไม่ได้
คุณหมอจางเงยหน้าขึ้น ร้องขอออกมา : “นายหญิงน้อย รบกวนช่วยกดนายน้อยไว้หน่อยเถอะ”
ซูเจี๋ยนซึ่งกำลังเตรียมตัวจะข่มเหงรังแกอันอี่เจ๋อเต็มที่ พอได้ยินคำว่า ‘นายหญิงน้อย’ นี้ก็ชะงักกลางอากาศ แทบลื่นพรืดล้มทับร่างอันอี่เจ๋อ
เพราะการเคลื่อนไหวอย่างวุ่นวายครั้งนี้ส่งผลกระทบมากเกินไป อันอี่เจ๋อจึงคล้ายจะตื่นขึ้นมาแล้ว เปิดตามองด้วยสีหน้างุนงงสับสน : “เธอ….จะทำ….อะไร”
ซูเจี๋ยนเห็นเขาสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาแล้วก็ดีอกดีใจอย่างมาก รู้สึกว่าการกลั่นแกล้งครั้งนี้จะมีรสชาติขึ้นมายิ่งกว่าเดิม รีบกอดรัดตัวอีกฝ่ายไว้แน่น ปากก็กล่าวเสียงใส : “ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่ช่วยรักษาอาการป่วยให้คุณเท่านั้นแหละ
อันอี่เจ๋อขมวดคิ้ว กวาดตามองไปรอบด้าน พอเห็นสถานการณ์ชัดเจน สีหน้าก็ปั้นไว้ไม่อยู่อีก : “ฉันไม่…ไม่ฉีดยา!”
ซูเจี๋ยนยิ้มกว้างเต็มใบหน้า จ้องมองเขาเต็มตา : “ไม่ฉีดยาแล้วไข้จะลดได้ยังไง ต้องเข้มแข็งเข้าไว้สิ!”
อันอี่เจ๋อเริ่มดิ้นรน ทว่าเพราะพิษไข้รุมเร้า จึงได้แต่ดิ้นรนอย่างอ่อนแรง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจหลุดพ้นได้ ทั้งซูเจี๋ยนยังออกแรงทั้งหมดจับตัวเขาไว้ ส่งเสียงดังกังวาน : “ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว ไม่เจ็บซักนิด”
อันอี่เจ๋อยังคงพยายามดิ้นหนี แต่ซูเจี๋ยนจะปล่อยให้เขาหนีไปแบบนี้ได้อย่างไร? ทว่าแม้ตอนนี้ตนจะนับได้ว่ามีพละกำลังเหนือกว่าอันอี่เจ๋อชั่วคราว แต่ร่างกายของอีกฝ่ายก็สูงใหญ่ล่ำหนากว่าซูเจี๋ยนมาก ดังนั้นจึงได้แต่ใช้แรงทั้งหมดกอดรัดอันอี่เจ๋อไว้ในอ้อมอก ทั้งซูเจี๋ยนยังรีบเปิดปากแผดร้องเจื้อยแจ้วเสียงใส : “อี่เจ๋อของพวกเรากล้าหาญที่สุด! เป็นเด็กดี เชื่อฟังนะ หยุดขยับตัววุ่นวายเดี๋ยวนี้ ให้คุณหมอฉีดยาจึ้กเดียวเอง” อีกทางหนึ่งในใจกลับกำลังหัวเราะลั่น แทบลงไปชักดิ้นชักงอ
ใบหน้าของทั้งสองคนอยู่ใกล้กันมาก ซูเจี๋ยนโอบกอดอันอี่เจ๋อไว้ในอ้อมแขนไปพลาง เอ่ยปากเกลี้ยกล่อมอีกฝ่ายไปพลาง ริมฝีปากก็แตะผ่านผิวอันอี่เจ๋อไปอย่างไม่ตั้งใจหลายครั้ง อันอี่เจ๋อปรายตามองอีกฝ่าย ค่อยๆ หยุดดิ้นรน
ซูเจี๋ยนยิ้มกว้างถึงใบหู : “เด็กดี เชื่อฟังจริงๆ เลย”
คุณหมอจางที่อยู่ด้านข้างหัวเราะออกมาเบาๆ กล่าวขึ้น : “นายน้อยกับนายหญิงน้อยสนิทสนมใกล้ชิดกันดีจริงๆ”
ซูเจี๋ยนถูกคำว่า ‘นายหญิงน้อย’ สามพยางค์นี้ฟาดเปรี้ยงเข้ามาในโสตประสาทจนร่างกายสั่นสะท้าน รีบโพล่งตอบ : “คุณหมอจาง คุณอย่าได้เรียกฉันว่า ‘นายหญิงน้อย’ อีกเลย คือฉัน….ไม่ชินจริงๆ” ข้าน้อยยกธงขาวยอมจำนนให้แล้ว ไอ๋หยา~
“เอ่อ นี่ก็…..” คุณหมอจางหันไปมองอันอี่เจ๋ออย่างกลุ้มใจ
อันอี่เจ๋อที่ยังอยู่ในอ้อมแขนของซูเจี๋ยนก็พลันเอ่ยทะลุกลางปล้องขึ้นมา : “งั้นก็….เรียกว่า ‘คุณผู้หญิง’ เถอะ”
ซูเจี๋ยน : “……” เวรเหอะ! ไอ้คำนี้มันแตกต่างจาก ‘นายหญิงน้อย’ ยังไงไม่ทราบ! อันนึงก็เหมือนฟ้าผ่าระดับ 1 ส่วนอีกอันก็เหมือนฟ้าผ่าระดับ 1.01 นั่นแหละ แทบไม่ต่างกันเลยโอเคไหม!
คุณหมอจางกลับตอบรับอย่างพึงพอใจ : “ทราบแล้ว” จากนั้นก็เตรียมจ่อเข็มจะฉีดยาให้อันอี่เจ๋อ ซูเจี๋ยนถลึงตาอย่างพาลพาโลอยู่ด้านข้าง จ้องเขม็งอยู่ที่ปลายเข็มในมือคุณหมอจาง ในใจก็ส่งเสียงเชียร์ดังกระหึ่ม : จิ้มสิ! จิ้มลงไปให้มิดเลย!
ขณะที่ปลายเข็มเสียบผ่านผิว อันอี่เจ๋อก็ตัวสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุม ซูเจี๋ยนอารมณ์ดีขึ้นมาทันตา แต่ก็ยังวางท่าเป็นห่วงเป็นใย ลูบผมอันอี่เจ๋อพลางปลอบโยน : “ไม่มีอะไรต้องกลัวนะ ไม่เจ็บหรอก” เฮอะ แน่ล่ะว่ายิ่งนายเจ็บเท่าไหร่ก็ยิ่งดี!
อันอี่เจ๋อฝังศีรษะเข้ากับอ้อมอกซูเจี๋ยน ไม่ส่งเสียงออกมาแม้แต่แอะเดียว
คุณหมอจางดึงเข็มเก็บกลับไปเรียบร้อย ยิ้มบางๆ กล่าว : “ดูเหมือนนายหญิ……คุณผู้หญิงจะเก่งกาจที่สุดแล้วจริงๆ”
ซูเจี๋ยนมองดูอย่างร่าเริงยินดี กระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยออกมาอย่างถ่อมตัว : “แหม ก็ยกย่องกันเกินไป ยังต้องพยายามอีกเยอะค่ะ”
คุณหมอจาง : “……”
……………………………….
คุณหมอจางกำชับเรื่องที่ควรระวังจนครบถ้วนแล้วก็จากไปทันที
อันอี่เจ๋อที่ง่วงงุนหลับสนิทไปแล้ว ซูเจี๋ยนช่วยห่มผ้าให้อย่างดี จากนั้นก็หันไปเปิดคอมพิวเตอร์ เปิดดูอะไรไปเรื่อยเปื่อย แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่พบอะไรที่น่าสนใจเลย ขณะที่กำลังเบื่อหน่ายสุดขีด จู่ๆ ก็มองเห็นโพสต์ในหน้าเว็บเกี่ยวกับสูตรการทำโจ๊ก จึงรู้สึกคันไม้คันมือขึ้นมาทันที ในเมื่อคู่ขาแสนดีคนนั้นได้กำชับกำชาไว้อย่างเป็นห่วงเป็นใยหลายรอบ เพราะฉะนั้นตนก็ควรทำอะไรอร่อยๆ ให้อันอี่เจ๋อได้ทานสักหน่อย คิดแบบนี้แล้วจึงค้นหาสูตรอาหารอ่อน ที่มีประโยชน์สำหรับคนป่วยในอินเทอร์เน็ตอย่างกระฉับกระเฉง
เพราะไม่รู้จะทำอะไรต่อ ซูเจี๋ยนก็เลยเข้าไปงีบหลับตอนกลางวัน ไม่คิดว่าพอตื่นมาอีกที ท้องฟ้าก็มืดเสียแล้ว ถึงเวลาพลบค่ำเป็นที่เรียบร้อย ซูเจี๋ยนขยับลงจากเตียง บิดขี้เกียจเล็กน้อย จากนั้นก็แอบไปดูอันอี่เจ๋อที่อยู่ในห้องนอน พบว่าอันอี่เจ๋อยังคงหลับสนิท ซูเจี๋ยนย่องเข้าไปอยู่ตรงหน้าเขาแบบมือเท้าเบากริบ จากนั้นก็ยื่นมือออกไป คิดจะแกล้งบีบจมูกอีกฝ่าย ทว่านิ้วเพิ่งแตะปลายจมูกของอันอี่เจ๋อ ก็นึกขึ้นมาได้ว่าชายหนุ่มกำลังป่วยหนักอยู่ จึงหดมือกลับมาอย่างละอายใจ แต่ก็รู้สึกไม่ยินยอมอยู่บ้าง สุดท้ายก็อดไม่ได้ จึงจิ้มปลายจมูกโด่งคมของอันอี่เจ๋อไปเบาๆ แค่นเสียงกล่าว : “คนแซ่อัน ยอมให้นายวันนึงละกัน”
ซูเจี๋ยนไม่เคยได้สำรวจตรวจตราอันอี่เจ๋อในระยะประชิดแบบนี้มาก่อน ยามนี้ เมื่อได้กวาดตาชมดูอีกฝ่ายใกล้ๆ ซูเจี๋ยนก็ได้แต่ต้องยอมรับโดยดี ว่าอันอี่เจ๋อคนนี้สมกับที่เป็นหนุ่มหล่อจริงๆ จมูกเป็นสันได้รูปชัดเจน ดวงตาก็เรียวรีคมกริบ ดูแล้วช่าง….เหมือนกับเกิดมาเพื่อล่อลวงหญิงสาวโดยเฉพาะแท้ๆ! อีกทั้งเพราะตอนนี้เขานอนหลับ ดวงตาทั้งสองข้างปิดสนิท ดูแล้วให้ความรู้สึกสงบสุขุมนุ่มนวล ไม่หลงเหลือภาพลักษณ์แข็งทื่อตายด้านในยามปกติแม้แต่น้อย กลับรู้สึกได้ถึงความอ่อนเยาว์ของชายหนุ่มอยู่บ้าง โดยเฉพาะขนตาที่เรียงตัวกันอยู่นั้น ทั้งหนาทั้งยาว บางครั้งก็จะสั่นไหวน้อยๆ ดึงดูดหัวใจผู้คนให้ไหวสะท้านตามไปด้วย ซูเจี๋ยนยื่นมือออกไปอย่างอดไม่ได้ จิ้มๆ แตะๆ ปลายขนตาแผงนั้น ในใจก็คิดอย่างพาลๆ : นี่แหละที่เขาเรียกว่าตัวหายนะของสตรีเพศ! ตัวหายนะของสตรีเพศในใต้หล้าชัดๆ!
อันอี่เจ๋อคล้ายจะรู้สึกไม่สบายตัว จึงหันหน้าหนีไปน้อยๆ ซูเจี๋ยนก็รีบหดมือกลับทันที แต่พอเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่ตื่น ก็เริ่มหาทางก่อกวนอีกครั้ง มองเห็นใบหูของอันอี่เจ๋ออยู่ใกล้ๆ ก็พลันนึกถึงเรื่องที่เคยโทรคุยกับจี้หมิงเฟยแล้วอีกฝ่ายเล่าให้ฟังว่าใบหูของอันอี่เจ๋อนั้นไวต่อสัมผัสอย่างมาก ถึงขั้นแตะปุ๊บก็แดงปั๊บได้เลย ซูเจี๋ยนเก็บความอยากรู้อยากเห็นไว้เต็มอก ยื่นมือออกไปอย่างไม่อาจรั้งรอ นวดคลึงเข้าที่ติ่งหูของอันอี่เจ๋อเบาๆ
อันอี่เจ๋อตัวสั่นสะท้านขึ้นมาทันทีจริงๆ ซูเจี๋ยนรู้สึกสนุกตื่นเต้นขนานใหญ่ อดขยับมือนวดอีกทีไม่ได้ พูดเป็นเล่นไป ติ่งหูของอันอี่เจ๋อนี่ไม่เพียงแต่นูนเต็มและนุ่มนิ่ม สัมผัสเวลาที่นวดคลึงนั้นก็ละมุนมืออย่างมาก ทั้งยังชวนให้เพลิดเพลินดีไม่เบา ขณะที่กำลังสนุกสนานเพลิดเพลินอยู่นั้น จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงแหบพร่าดังขึ้นแผ่วๆ : “เธอมาจับฉันทำไม”
ซูเจี๋ยนตื่นตระหนก รีบช้อนตามอง กลับเห็นอันอี่เจ๋อที่ลืมตาแป๋วอยู่ ไม่รู้ว่าเขาตื่นมานานแค่ไหนแล้ว กำลังจ้องมองตนเองนิ่งๆ มือของซูเจี๋ยนยังคาอยู่บนใบหูของอีกฝ่ายพลันรีบหดกลับมาอย่างลนลาน คล้ายกับถูกจับได้ว่าแอบทำอะไรลับๆ ล่อๆ ได้แต่เปิดปากแก้ตัวข้างๆ คูๆ : “อะไรล่ะ ฉันก็แค่…เอ้อ ….ฉันก็แค่ดูโหงวเฮ้งให้คุณแค่นั้นเอง!”
อันอี่เจ๋อ : “……”
ซูเจี๋ยนถือโอกาสนี้ลูบติ่งหูของอันอี่เจ๋ออีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่แค่ใบหูของอันอี่เจ๋อที่กลายเป็นสีแดงในพริบตา แม้แต่ใบหน้าก็พลันแดงเรื่อขึ้นมาด้วย เห็นแบบนี้แล้วก็อดไม่ได้ต้องแอบรู้สึกขบขันอยู่ในใจ ทว่ายังปั้นหน้าเคร่งขรึมจริงจัง วิเคราะห์เป็นตุเป็นตะ : “ศาสตร์แห่งโหงวเฮ้งใบหน้ากล่าวไว้ว่า ผู้ที่มีติ่งหูนุ่ม มักจะฝักใฝ่ในเรื่องอย่างว่า”
อันอี่เจ๋อ : “……”
ซูเจี๋ยนตบบ่าอีกฝ่ายอย่างปลอบโยน กล่าวชี้แนะออกมาด้วยท่าทาง ‘ปรารถนาดีจากใจจริง’ : “ฉะนั้น พ่อหนุ่มต้องรู้จักฝึกสมาธิควบคุมจิตใจนะรู้ไหม!”
อันอี่เจ๋อเงียบกริบไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นกะทันหัน : “เธอก้มลงมาหน่อยสิ”
ซูเจี๋ยนไม่อาจเข้าใจความคิดอีกฝ่าย จึงได้แต่ก้มศีรษะลงไปเล็กน้อยอย่างว่าง่าย
อันอี่เจ๋อยกมือขึ้น นวดคลึงติ่งหูของซูเจี๋ยนเช่นกัน
จากนั้น เขาก็เอ่ยออกมาเพียงสองคำ : “นุ่มจัง”
ซูเจี๋ยน : “…….”
————————
(โปรดติดตามตอนต่อไป)