หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 979 ใหญ่โตมโหฬาร
ในความมืด
อุกกาบาตบินไปอย่างรวดเร็ว ทว่าภายใต้ความเร็วสูงกลับไม่ก่อให้เกิดเสียงดังใดๆ ทั้งมิติยังคงอยู่ในความเงียบงัน
กลุ่มของมู่เฉินนั่งอยู่บนอุกกาบาต
อุกกาบาตก้อนนี้ที่พวกเขานั่งอยู่นั้น ไม่ใช่ก้อนที่มาในตอนแรก ระหว่างการเดินทางพวกเขาเปลี่ยนพาหนะสามครั้งแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้มู่เฉินรู้สึกเสียใจก็คือพวกเขาไม่พบโคลนโลหิตสักชิ้น หลังจากเปลี่ยนอุกกาบาตมาสามก้อน เห็นได้ชัดว่าเป้นอย่างที่มั่วเฟิงบอกไว้นี่เป็นความโชคดีของมั่วหลิงที่สามารถหาชิ้นก่อนหน้าได้
“นับเวลาน่าจะอีกสักครึ่งวันก็จะเข้าใกล้ดินแดนเสินโซ่แล้ว” จิ่วโยวลืมตาขณะที่มองในความมืดแล้วพูด
มู่เฉินพยักหน้าจ้องมองไปในระยะไกลเพื่อหาอุกกาบาตที่จะปรากฏขึ้น
เมื่อจิ่วโยวเห็นก็อดยิ้มไม่ได้ “เมื่อเราเข้าใกล้ดินแดนเสินโซ่จำนวนอุกกาบาตก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ข้าเชื่อว่าเราจะเก็บเกี่ยวได้ในเวลานั้น”
มู่เฉินอดถูจมูกด้วยความเสียใจไม่ได้ ก่อนจะทำใจให้เย็นลง
อุกกาบาตนำทั้งสี่พุ่งทะลุผ่านช่องว่างมิติอย่างรวดเร็ว ในการเดินทางต่อมาพวกเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนอุกกาบาตอีก นั่นเพราะอุกกาบาตก้อนนี้จะไปจนสุดทาง…
เวลาผ่านไปในความมืด จนกระทั่งวินาทีหนึ่งทันใดนั้นมู่เฉินก็ลืมตาเงยหน้าขึ้นมองไปทางซ้ายมือ
ความมืดบริเวณนั้นปรวนแปร จากนั้นเขาก็เห็นอุกกาบาตหลายลูกบินผ่านมาจากระยะไกล
เมื่อมู่เฉินเห็นอุกกาบาตเหล่านั้น คลื่นหลิงก็พุ่งมารวมกันในดวงตา เขามองไปที่อุกกาบาต แต่หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาก็ถอนสายตาด้วยความผิดหวัง
นั่นเป็นเพราะไม่มีแสงโลหิตอยู่ในอุกกาบาตเหล่านั้นเลย เห็นได้ชัดว่าอุกกาบาตกลุ่มนี้ไม่มีโคลนโลหิต ทว่าแม้เขาจะผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ลดความหวังลงสักนิดเลย เนื่องจากการปรากฏของอุกกาบาตบ่งบอกว่าพวกเขาเข้าใกล้ดินแดนเสินโซ่แล้ว ในเวลานั้นจำนวนของอุกกาบาตจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น…
ตามที่มู่เฉินคาดไว้ ในช่วงเวลาต่อมาความมืดเงียบงันก็เริ่มมีชีวิตชีวามากขึ้น อุกกาบาตจำนวนมากส่งเสียงหวีดหวิวโดยรอบอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายก็บินผ่านกลุ่มมู่เฉิน
ณ เวลานี้ทั้งสี่คนไม่รั้งตัวเองอีกต่อไป พวกเขาเคลื่อนไหวกันอีกครั้ง คลื่นหลิงรวมตัวกันในดวงตาพยายามสัมผัสรัศมีโลหิตบนอุกกาบาตเหล่านั้นอย่างเต็มที่
ภายใต้การตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดมู่เฉินก็ตรวจพบบางสิ่งเป็นครั้งแรก
บนอุกกาบาตสีเทาดำซึ่งมีขนาดประมาณหนึ่งร้อยจั้ง มู่เฉินสามารถสัมผัสได้ถึงแสงโลหิตที่แผ่ออกมาอย่างบางจาง นั่นคือโคลนโลหิตแน่นอน
ทันใดนั้นมู่เฉินก็ขยับตัวเหวี่ยงกำปั้นออกไป คลื่นหลิงไร้ขอบเขตก่อตัวเป็นแนวแสงพุ่งออกไปซัดอุกกาบาตแตกด้วยหมัดเดียว ขณะที่เศษหินกระจัดกระจายในทุกทิศทาง แสงโลหิตก็บินออกมาเช่นกัน
ฝ่ามือของมู่เฉินงุ้มงอ แรงดูดระเบิดออกมาดึงแสงโลหิตเข้ามาในมือของเขา
มู่เฉินแบมือออก ในแสงสลัวลางก็มองเห็นโคลนโลหิตที่มีขนาดกำปั้นทารก กลิ่นเลือดเข้มข้นกระจายออกมา
นี่เป็นโคลนโลหิตที่มู่เฉินอยากได้มานาน
เมื่อได้รับโคลนโลหิตเป็นครั้งแรก ความสุขก็ผุดขึ้นอย่างไม่สามารถควบคุมได้บนใบหน้าของมู่เฉิน แต่ยามนี้เขาไม่มีเวลาที่จะกลั่น อุกกาบาตกลุ่มใหญ่กำลังบินเข้ามาโดยรอบ ภายใต้ความเร็วสูงทุกคนได้เปิดประสาทสัมผัสจนถึงขีดสุด เพื่อรับรู้ถึงโคลนโลหิตในอุกกาบาตเหล่านั้น
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
อุกกาบาตบินผ่านอย่างต่อเนื่อง โดยที่บางก้อนก็แตกสลายภายใต้การโจมตีของพวกเขา แม้ว่าอุกกาบาตจำนวนมากจะว่างเปล่าไม่มีโคลนโลหิต แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีผลเก็บเกี่ยวใดเลย หลังจากห่าอุกกาบาตแตกสลายไปจำนวนหนึ่ง พวกเขาก็พบโคลนโลหิตแปดชิ้น แต่ละชิ้นมีขนาดไม่เท่ากัน
“ก็ยังดี”
จิ่วโยวค่อนข้างพอใจกับการเก็บเกี่ยวนี้ โชคของพวกเขาดีทีเดียว เพราะตามสถานการณ์ปกติเป็นเรื่องธรรมดาที่จะไม่พบแม้แต่โคลนโลหิตสักชิ้น ต่อให้ระเบิดอุกกาบาตนับสิบก้อน
มั่วเฟิงก็พยักหน้า แยกโคลนโลหิตที่รูปร่างไม่สม่ำเสมอแปดชิ้นออกเป็นสี่ส่วน
มู่เฉินแบมือรับโคลนโลหิตสองชิ้นไว้ เขาเคล้นคลึงเป็นเม็ดยาห้าเม็ดก่อนกินลงไป
อาการเดือดพล่านปรากฏขึ้นในร่างกายอีกครั้ง ทันใดนั้นมู่เฉินก็เหมือนจะได้ยินความกระหายที่มาจากร่างกาย ความรู้สึกเดือดปุดราวกับลาวาไหลเข้ามาทำความสะอาดเลือดเนื้อของเขา…
พลังงานทรงพลังที่มีอยู่ในโคลนโลหิตเป็นอาหารบำรุงชั้นดีสำหรับร่างกาย
แสงสีแดงจ้ากระจายทั่วใบหน้าของมู่เฉิน จากนั้นครู่หนึ่งแสงก็ค่อยๆ จางหายไป เขาลืมตาขึ้นพร้อมกับแสงกะพริบวูบไหวในม่านตาสีดำ เขากำมือช้าๆ ค่อยๆ สัมผัสพลังงานที่มีประสิทธิภาพที่ไหลผ่านแขนขาและเส้นลมปราณของเขา
แม้ว่านี่จะเป็นครั้งที่สองที่เขาได้รับสัมผัสผลลัพธ์น่าอัศจรรย์จากโคลนโลหิต แต่เขาก็ยังอดอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจไม่ได้ เขาเงยหน้าขึ้นขณะที่กำลังจะเปิดปากพูด ท่าทางก็เปลี่ยนไป สายตามองไปที่ความมืดมิดอันไกลโพ้น
ในระยะไกลแสงสลัวรางปรากฏขึ้นในความมืดสะท้อนช่องว่างมิติบนรูม่านตาของมู่เฉิน
“เรากำลังใกล้ถึงดินแดนเสินโซ่แล้ว” จิ่วโยวรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงก็อุทาน
มู่เฉินรู้สึกโล่งใจเมื่อได้ยิน กระทั่งคนอย่างเขายังรู้สึกเหมือนถูกกดทับในช่วงของการเดินทางในความเงียบงันนี้
“รอบดินแดนเสินโซ่เป็นวงแหวนอุกกาบาตที่มีก้อนหินจำนวนมาก ดังนั้นจึงเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่เราจะมองหาโคลนโลหิต…” มั่วเฟิงเงยหน้าขึ้นมองไปขณะที่พูด
วงแหวนอุกกาบาต?
เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดนั่น หัวใจก็สั่นสะท้าน เขาอดเลียริมฝีปากไม่ได้ ขณะที่ความหวังเต็มหัวใจจนถึงจุดที่จะระเบิด…
ฟิ้ว!
ขณะที่หัวใจของมู่เฉินเต็มไปด้วยความคาดหวัง อุกกาบาตที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าก็พุ่งทะลุความว่างเปล่าต่อไปซึ่งกินเวลาเกือบครึ่งชั่วโมงก่อนที่มู่เฉินจะรู้ตัวว่าความมืดรอบด้านหายไปอย่างรวดเร็ว ในบริเวณไกลมีแสงเบ่งบาน ซึ่งรอบแสงนั่นมีอุกกาบาตจำนวนนับไม่ถ้วนที่ทำให้มู่เฉินเกิดแววตาตกตะลึง
อุกกาบาตกำลังหมุนคว้างรอบดินแดนเสินโซ่ แต่ละก้อนมีขนาดใหญ่กว่าก้อนที่เคยเห็นมาก่อนหน้าเสียอีก
ตู้ม!
อุกกาบาตที่พาพวกเขามาพุ่งเข้าชนวงแหวนอุกกาบาตก่อนที่จะเคลื่อนไปยังดินแดนเสินโซ่
เมื่อเข้ามาแล้ว ดวงตาของมู่เฉินก็เปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว นั่นเป็นเพราะในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจเขาพบโคลนโลหิตในอุกกาบาตอย่างน้อยห้าก้อน
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
ดังนั้นมู่เฉินจึงขยับตัวอย่างรวดเร็ว แสงหลิงพุ่งออกมาราวกับมังกรพิโรธ กระแทกกับก้อนอุกกาบาตเหล่านั้นอย่างรุนแรง ทำให้เศษหินกระจายออกไปทุกทิศทาง
เมื่อเศษหินกระเด็นออก แสงโลหิตนับไม่ถ้วนก็พุ่งออกมา
มู่เฉินเร้าแรงดูดในมือ แสงโลหิตเหล่านั้นก็บินมาตามทิศทางของเขา จากนั้นก็ลอยอยู่เหนือฝ่ามือ กระทั่งคนอย่างเขายังอดไม่ได้ที่จะยิ้มจนเผยฟันขาวออกมา
เขาเหมือนจะรู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังเข้าใกล้ขั้นสองของกายามังกรหงส์แล้ว…
ปัง! ปัง!
เมื่อมู่เฉินเคลื่อนไหว พรรคพวกทั้งสามคนก็เคลื่อนไหวด้วยเช่นกัน พวกเขาใช้โอกาสที่ผ่านวงแหวนอุกกาบาตลงมือโจมตีเต็มกำลัง เมื่ออุกกาบาตแตกออกมากขึ้น พวกเขาก็ได้รับผลการเก็บเกี่ยวค่อนข้างดี
การเก็บเกี่ยวนี้ทำให้กระทั่งมั่วเฟิงที่เย็นเยียบเหมือนก้อนน้ำแข็งอยู่ตลอดเวลายังมีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า
“ตู้ม!”
มู่เฉินซัดหมัดออกไปอีกครั้ง อุกกาบาตแตกกระจายจากคลื่นหลิง ก่อนที่แสงโลหิตจะพุ่งเข้ามาในมือเขาและถูกเก็บไว้โดยไม่แม้แต่จะมอง
หลังจากเก็บเกี่ยวอีกชิ้น ขณะที่มู่เฉินกำลังจะเคลื่อนไหวต่อ ทันใดนั้นท่าทางของเขาก็เปลี่ยนไป ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองไปที่ด้านขวาของดงอุกกาบาตนับไม่ถ้วน
เมื่อสายตาของเขามองไป ก็อดไม่ได้ที่จะหดเกร็งม่านตา
ในขณะเดียวกันพรรคพวกก็รู้สึกถึงบางอย่าง พวกเขาหันไปมอง ทันใดนั้นใบหน้าก็เปลี่ยนไปโดยควบคุมไม่ได้ ร่องรอยความดีใจยิ่งผุดขึ้นในดวงตา
นั่นเป็นเพราะในครรลองสายตามีอุกกาบาตขนาดมโหฬารฉายอยู่ ซึ่งใหญ่ประมาณหลายหมื่นจั้ง ขนาดนั้นใหญ่เกินกว่าเมื่อเทียบกับก้อนอื่นทั้งหมด
แน่นอนว่าขนาดของอุกกาบาตไม่ได้เป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงในการแสดงออกของพวกเขา แต่ยามนี้แสงโลหิตที่หนาแน่นทะลักออกมาจากพื้นผิวอุกกาบาต ทำให้หินทั้งก้อนย้อมด้วยสีแดงเข้ม
กลิ่นเลือดเข้มข้นกระจายออกมาจากอุกกาบาต ต่อให้มองจากระยะไกลพวกเขาก็รู้สึกถึงเลือดเนื้อในร่างกายเดือดพล่านไปเลยทีเดียว
“ใหญ่โตมโหฬาร…รัศมีโลหิตก็หนาแน่น…”
มู่เฉินจ้องมองหินยักษ์ ลมหายใจหนักหน่วงขึ้น เขายืนยันได้เลยว่าหากพวกเขาได้รับโคลนโลหิตในอุกกาบาตก้อนนี้ ผลลัพธ์จะยิ่งกว่าการเก็บเกี่ยวทั้งหมดที่ได้รับมาก่อนแน่นอน!
“โคลนโลหิตในอุกกาบาตนี้คงใกล้จะอยู่ในระดับแก่นแล้ว…” ดวงตาของจิ่วโยวเปล่งประกาย รัศมีโลหิตหนาแน่นเช่นนี้หายากแม้ในดินแดนเสินโซ่
“เตรียมพร้อมเคลื่อนไหว เราต้องคว้ามาให้ได้!” จิ่วโยวพูดเสียงหนักแน่น
ที่ด้านข้างมู่เฉิน มั่วเฟิงและมั่วหลิงก็พยักหน้า พวกเขาไม่มีทางปล่อยให้โคลนโลหิตที่มีขนาดน่าตกใจเช่นนี้หลุดมือไปได้หรอก
ทว่าขณะที่พวกเขาเข้าใกล้กับความใหญ่โตมโหฬารนั้นและกำลังจะลงมือ ความผันผวนแปลกประหลาดก็กระเพื่อมในพื้นที่วงแหวนอุกกาบาตแถบนี้
“ฮ่าๆ ไม่คิดว่าจะได้พบกับเผ่าวิหคโลกันตร์ที่นี่… แต่ถ้าพวกเจ้าฉลาดพอก็อย่าคิดแตะต้องโคลนโลหิตในอุกกาบาตก้อนนี้จะดีกว่า”
เมื่อเสียงพูดเปล่งออกมา เงาร่างหลายร่างที่ถูกปกคลุมด้วยสายฟ้าก็ปรากฏขึ้นบนอุกกาบาตที่อยู่ไม่ไกล สายตาคนกลุ่มนั้นจับจ้องที่ทั้งสี่พร้อมกับสีหน้ายิ้มก็ไม่ใช่บึ้งก็ไม่เชิงปรากฏขึ้น
สายตาของจิ่วโยวและมั่วเฟิงจับจ้องไป จากนั้นแววตาก็เย็นเยียบลงฉับพลัน
“เผ่าอีกาสายฟ้า?”