ตอนที่ 786 ใบไม้ผลิเดือนสาม

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 786 ใบไม้ผลิเดือนสาม

เซียวเหอหยวนแห่งแคว้นฮวงยังคงมีหิมะตกโปรยปราย ทว่าที่เมืองจินหลิงแห่งราชวงศ์หยูฤดูใบไม้ผลิได้มาเยือนแล้ว

เพียงแค่ฤดูใบไม้ผลิในปีนี้ ดูเหมือนจะมิค่อยเบิกบานโดยเฉพาะอย่างยิ่งในพระราชวัง

ฮ่องเต้หอบพระวรกายอันเหนื่อยล้าเสด็จมาถึงวังเตี๋ยอี๋ ด้านฮองเฮาซั่งได้จัดเตรียมเครื่องเสวยไว้บนโต๊ะหลายอย่าง และยังมีซุปโสมหนึ่งถ้วยดังเดิม

สองสามีภรรยานั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร แต่ดูเหมือนว่าฮ่องเต้จะมิค่อยอยากอาหารสักเท่าใดนัก

ราชวงศ์อู๋ได้โยกย้ายทหารเป็นการใหญ่ บัดนี้จึงมีทหารจำนวน 300,000 นายเคลื่อนพลออกมาจากภูเขาฉีซานและมาถึงเมืองเปียนเฉิงแล้ว

รายงานด่วนจากหยูชุนชิวส่งมาถึงวังหลวงเมื่อวานนี้ เนื้อหาในรายงานนั้นมิใช่การร้องขอให้มีพระบัญชาเคลื่อนทัพ ทว่าเป็นเพียงคำถามแค่คำถามเดียวว่า ‘เพราะเหตุใด ? ! ’

เพราะเหตุใด ?

นี่คือหน้าที่ของทหารกองทัพชายแดนใต้ และนี่คือสิ่งที่แม่ทัพใหญ่สมควรถามเยี่ยงนั้นหรือ ?

รายงานฉบับนั้นถูกฮ่องเต้เก็บเอาไว้ แน่นอนว่าพระองค์มิอาจตอบคำถามของหยูชุนชิวได้ว่าเป็นเพราะเหตุใด

ฟู่เสี่ยวกวนทำผิดเยี่ยงนั้นหรือ ?

ฟู่เสี่ยวกวนเป็นกบฏเยี่ยงนั้นหรือ ?

ฟู่เสี่ยวกวนทำเรื่องอันใดที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อราชวงศ์หยูเยี่ยงนั้นหรือ ?

หามีไม่ !

ชื่อเสียงของเขาในราชวงศ์หยูมิมีผู้ใดเทียบเคียงได้ หากชาวบ้านรู้ว่าข้าวางแผนลอบสังหารฟู่เสี่ยวกวน ก็มิต้องรอให้ราชวงศ์อู๋เข้ามายุ่งเกี่ยวหรอก เพราะเกรงว่าราษฎรทั้งหลายก็มิเห็นด้วยเช่นกัน

ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนจำเป็นต้องตายในสนามรบของแคว้นฮวง มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นจึงจะสามารถปัดความผิดนี้ไปให้พ้นตัวได้

ทว่าจวบจนบัดนี้ก็ยังมิมีรายงานว่าฟู่เสี่ยวกวนสิ้นชีพ ส่วนเจ้าอ้วนฟู่ต้ากวนกลับบ้าคลั่งขึ้นมา !

ฉินฮุ่ยจือเอ่ยว่าอู๋ต้าหลางเพียงวางมาดเท่านั้น เดิมทีพระองค์ก็คิดว่าเป็นเช่นนั้น ทว่าบัดนี้หาได้เป็นเยี่ยงนั้นไม่ !

สงครามนี้…เกรงว่าจะหลีกเลี่ยงมิได้เสียแล้ว

กองทัพชายแดนใต้จำนวน 300,000 นาย จะสามารถต่อต้านการโจมตีของทหารราชวงศ์อู๋จำนวนมากถึง 500,000 นายได้หรือไม่นะ ?

ฮองเฮาซั่งทอดพระเนตรไปที่พระพักตร์ของพระสวามี นางตักซุปให้พระองค์หนึ่งถ้วยก่อนจะทูลว่า “ในวันรุ่งขึ้นหม่อมฉันจะเดินทางไปเมืองเปียนเฉิงเพคะ”

ฮ่องเต้ชะงักงัน “จะเดินทางไปทำอันใดกัน ? ”

“ฟู่ต้ากวนฮึกเหิมถึงเพียงนี้ ย่อมมิใช่แค่ต้องการวางท่าเป็นแน่เพคะ ! ฝ่าบาททรงจำเมื่อคราฤดูใบไม้ผลิ ปีไท่เหอที่สี่สิบเอ็ดได้หรือไม่เพคะ ณ ภูเขาเถิงซีที่เต็มไปด้วยหมู่มวลผกานานาพันธุ์ มีพระองค์ หม่อมฉัน อู๋ต้าหลาง อู๋ฉางเฟิง สวี่หยุนชิง ฝานจื่อกุย หนิงเซียวเซียวและ…”

ฮองเฮาซั่งเงยพระพักตร์มองฮ่องเต้ “และฝานฉงจวี่ น้องชายของฝานจื่อกุย”

“ในยามนั้นฝานฉงจวี่หลงไหลในความงามของสวี่หยุนชิง เขาจึงเอ่ยเกี้ยวพาราสีสวี่หยุนชิงสองสามประโยคซึ่งทำให้นางมิพอใจเป็นอย่างยิ่ง อู๋ต้าหลางเห็นดังนั้นจึงชักกระบี่ออกมาสังหารฝานฉงจวี่ในทันใด ! ”

“แคว้นฝานร้องเรียนไปยังราชวงศ์อู๋เพื่อขอคำอธิบาย… ดังนั้นอู๋ต้าหลางจึงพาศิษย์สำนักเต๋าทั้งเจ็ดเดินทางไปยังแคว้นฝาน หากมิใช่เพราะปรมาจารย์ลัทธิเต๋าออกหน้าด้วยตนเอง ก็เกรงว่าอู๋ต้าหลางจะปลงพระชนม์จักรพรรดิแห่งแคว้นฝานไปแล้ว ! ”

“ศิษย์สำนักเต๋าทั้งเจ็ดเดินทางกลับมาก่อน โดยเหลือไว้เพียงอู๋ต้าหลางและซูฉางเซิงเพียง 2 คน ทว่าพระราชวังของแคว้นฝานก็ยังถูกอาบไปด้วยโลหิต ! ”

“พระองค์น่าจะรู้ดีว่าอู๋ต้าหลางรักสวี่หยุนชิงมากเพียงใด เพียงแต่อู๋ฉางเฟิงได้นำหน้าไปก่อนแล้วก็เท่านั้น ส่วนเขาในฐานะพี่ชาย…จึงทำได้เพียงเสียสละ ทว่าเขาก็ได้อยู่เคียงข้างสวี่หยุนชิงและเลี้ยงดูฟู่เสี่ยวกวนมานานถึง 16 ปีเต็ม ! ”

“เขารักฟู่เสี่ยวกวนประหนึ่งลูกในไส้ ย่อมมิแปลกที่ฟู่เสี่ยวกวนจะเปรียบดั่งดวงใจของเขา บัดนี้ฝ่าบาทจะทรงทำลายดวงใจนั้นทิ้ง แน่นอนว่าเขาต้องบ้าคลั่งและพยายามสุดชีวิตเพื่อปกปักรักษาดวงใจของเขา หากเขาประสงค์ที่จะโจมตีเมืองจินหลิง หม่อมฉันก็มิรู้สึกแปลกพระทัยเลยเพคะ”

ฮ่องเต้สูดลมหายใจเข้าลึก “การที่เจ้าเดินทางไป…จะยุติเรื่องนี้ได้เยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“ฝ่าบาท สิ่งสำคัญคือฟู่เสี่ยวกวนจะต้องมีชีวิตอยู่และการที่หม่อมฉันเดินทางไป บางทีเขาอาจจะเห็นแก่หน้าหม่อมฉันที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อสวี่หยุนชิงก็เป็นได้ ! ”

เมื่อเอ่ยจบฮองเฮาซั่งก็ได้จัดแต่งเกศาของนาง และได้ทอดพระเนตรไปยังฮ่องเต้ “หม่อมฉันหวังว่าเรื่องจะจบลงเพียงเท่านี้นะเพคะ ! ”

สามารถจบลงเพียงเท่านี้ได้จริงหรือ ?

ฮ่องเต้หรี่ดวงเนตรลง ส่วนฮองเฮาซั่งทอดพระเนตรท่าทีของฝ่าบาท อยู่ ๆ ก็บังเกิดความรู้สึกว่าฤดูใบไม้ผลิในเดือนสามนี้ ช่างเยือกเย็นเสียเหลือเกิน

……

……

ณ ห้องอักษรของจวนเยี่ยนยังคงสว่างไสว

ด้านนอกหน้าต่างมีลมพัดโชยทำให้ใบไม้ปลิดขั้วร่วงหล่นลงสู่ผืนธรณี

“ฤดูใบไม้ผลิในเดือนสามมาเยือนแล้วสินะ เมื่อลมนี้พัดโชยบรรดาใบไม้แห้งที่ยังมิร่วงหล่นลงสู่พื้นธรณี บัดนี้คาดว่าจะถูกพัดปลิวร่วงหล่นจนสิ้นแล้ว… ซือเต้า เจ้าไปปิดหน้าต่างเถิด”

เยี่ยนซือเต้าลุกขึ้น จากนั้นก็เดินไปปิดหน้าต่าง ส่วนเยี่ยนฮ่าวชูต้มชามาหนึ่งกา เยี่ยนเป่ยซีจึงวางตำราในมือลง

“พญานกเผิงอาศัยแรงลมเพื่อโผทะยานไป 90,000 ลี้ บัดนี้ลมเริ่มพัดโบกแล้ว แน่นอนว่าเขากำลังจะทะยานขึ้นสูงเรื่อย ๆ พวกเจ้ามิต้องกังวลไปหรอก…” เยี่ยนเป่ยซีรับถ้วยน้ำชาที่เยี่ยนฮ่าวชูส่งมาให้ จากนั้นก็เอ่ยต่อว่า “ต่อให้ราชวงศ์หยูถูกโจมตีจนย่อยยับแล้วเยี่ยงไร ? ขุนเขายังคงอยู่ สายธารายังคงไหลดังเดิม ชาวบ้านที่ดำรงชีวิตอยู่ในผืนปฐพีนี้ก็ยังคงใช้ชีวิตดังเดิม สิ่งเดียวที่เปลี่ยนแปลงก็คือเจ้าเมืองจินหลิงเท่านั้นเอง…”

หัวใจของเยี่ยนซือเต้าเย็นยะเยือกขึ้นมาทันใด การที่บิดาเอ่ยออกมาเยี่ยงนี้ มันต่างอันใดกับคำเอ่ยของกบฏกัน มองดูแล้วบิดาคงจะรู้สึกถึงบางอย่างได้ และได้เตรียมใจเอาไว้แล้ว

ท่านได้ขอเกษียณจากตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีก่อนที่ฟู่เสี่ยวกวนจะไปออกรบ หรือตั้งแต่เมื่อตอนนั้นท่านก็รู้แล้วว่าฝ่าบาทมิประสงค์ดีต่อฟู่เสี่ยวกวน ? อีกทั้งยังรู้ด้วยว่าราชวงศ์อู๋จะบุกโจมตีราชวงศ์หยูเยี่ยงนั้นหรือ ?

เยี่ยนเป่ยซีจิบน้ำชาเข้าไปหนึ่งอึก “ก็เช่นเดียวกับใบไม้เหล่านี้ หากใบไม้เดิมบนต้นมิร่วงโรย จะมีใบไม้ใหม่เกิดขึ้นมาได้เยี่ยงไรกัน ? ”

“ทว่า…” เยี่ยนซือเต้าเอ่ยออกมาเล็กน้อยว่า “ถึงเยี่ยงไรที่นี่ก็เป็นบ้านเกิดของพวกเรา และฝ่าบาทก็มีพระบัญชาไปยังกองทัพชายแดนใต้เรียบร้อยแล้วด้วย”

เยี่ยนเป่ยซีเลิกคิ้วอันขาวโพลนขึ้น “พวกเจ้ามิเข้าใจฟู่ต้ากวนเอาเสียเลย ในครานี้…เขามิได้ทำเพื่อวางท่าเท่านั้น แต่จะบุกเข้าโจมตีจริง ๆ แน่นอนว่าหยูชุนชิวและเผิงยวี๋เยี่ยนก็มิอาจต้านทานการโจมตีของเขาได้ นอกเสียจาก…”

“นอกเสียจากอันใดขอรับ ? ”

“นอกเสียจากฟู่เสี่ยวกวนจะออกหน้าเอง”

เมื่อเอ่ยจบเยี่ยนเป่ยซีก็ได้หัวเราะเย้ยหยันพลางส่ายศีรษะไปมา “แม้จะมิรู้ว่าบัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนเป็นตายร้ายดีเยี่ยงไร แต่พ่อเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าเขายังมีชีวิตอยู่ และเขาจะมิออกหน้าให้ราชวงศ์อู๋ยุติการโจมตีราชวงศ์หยูอย่างแน่นอน ต่อให้…ต่อให้ฮ่องเต้ไปขอร้องก็มิมีวันเป็นไปได้”

เยี่ยนฮ่าวชูชะงักงันไปชั่วครู่ จากนั้นก็ลอบคิดในใจว่าฮ่องเต้คือพ่อตาของเขา จากความสัมพันธ์ตลอดหลายปีมานี้ถ้าเห็นแก่ครอบครัวและญาติมิตรที่อยู่ในเมืองจินหลิง บางทีเขาอาจจะยอมออกหน้าให้ราชวงศ์อู๋ยุติการโจมตีก็เป็นได้

“กระจกที่แตกร้าวไปแล้ว มิอาจต่อขึ้นใหม่โดยไร้รอยได้ บัดนี้ฮ่องเต้ได้ทำร้ายจิตใจของฟู่เสี่ยวกวนอย่างรุนแรง ! ”

เยี่ยนซือเต้านิ่งเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นมาว่า “ท่านพ่อ ตระกูลเยี่ยนของพวกเราควรทำเยี่ยงไรดี ? ”

“ให้สตรีทุกนางเตรียมตัวเดินทางออกจากเมืองจินหลิง”

“ไปยังราชวงศ์อู๋เยี่ยงนั้นหรือขอรับ ? ”

“มิใช่…” เยี่ยนเป่ยซีส่ายหน้า “ให้เดินทางไปยังแคว้นฝานเสียก่อน”

“แล้วบุรุษเล่าท่านพ่อ ? ”

“ผู้ที่เป็นขุนนางจะเดินทางไปที่ใดมิได้ ! นอกเหนือจากนั้น…ให้เดินทางไปยังราชวงศ์อู๋”

เยี่ยนเป่ยซีหยุดชั่วครู่ จากนั้นก็เอ่ยต่อว่า “จงเดินทางไปพร้อมกับคนในจวนต่ง โดยแต่งกายเป็นพ่อค้า แล้วเดินทางไปยังราชวงศ์อู๋ทางเรือ”

“แล้วพวกเสี่ยวโหลวเล่า ? ”

“มิต้องกังวลเรื่องพวกนาง ในเมื่อฟู่ต้ากวนกล้าโจมตีราชวงศ์หยู เขาจะต้องส่งคนมาคุ้มกันพวกนางอย่างแน่นอน”

เยี่ยนเป่ยซีลุกขึ้นยืนช้า ๆ จากนั้นก็เดินไปที่หน้าต่าง เขามองออกไปยังโคมไฟและใบไม้ที่พัดปลิวอยู่เนิ่นนานโดยมิได้เอ่ยอันใดออกมา

“สิ่งเดียวที่ข้ากังวลคือพวกเจ้า…ยามอยู่ในราชสำนักควรทำสิ่งใดก็ทำตามปกติเถิด มิต้องเอ่ยวาจาใดให้มากความ รอฟังข่าวจากทางเหนือแล้วค่อยว่ากันอีกที ! ”

“พวกข้าเข้าใจแล้วขอรับ ท่านพ่อควรออกเดินทางไปก่อน”

“ข้ามิไปที่ใดทั้งสิ้น ข้าอายุตั้ง 80 ปีแล้วยังจะไปที่ใดได้อีกกัน ? ข้าจะอยู่ที่เมืองจินหลิงนี้เพื่อรอดูใบไม้ใบสุดท้ายร่วงโรยและรอวันที่มันผลิใบใหม่ขึ้นมา”