ตอนพิเศษ 116 (จบบริบูรณ์)

ใต้เงาอสูร

ตอนพิเศษ (จบบริบูรณ์)

 

เหยี่ยนหวู่ฟางได้ยินเช่นนั้นจึงเดินจากไป ไม่นานไป๋จุ่นก็เดินหน้าตาไม่รับแขกออกมา

“มาทำไม?”

ท่านเหลียนชือหน้าตึงทันควัน “เป็นคนอย่าได้ใช้เสร็จแล้วถีบหัวส่งจะได้ไหม! เมื่อก่อนเจ้ายังเจ็บแค้นที่ข้าไม่อาจอยู่ข้างกายเจ้าได้ทุกวัน ตอนนี้พอนางกลับมาแล้วก็คิดแต่จะขับไล่ข้างั้นรึ!”

ไป๋จุ่นพลันหัวเราะเสียงดัง “ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกน่า แต่ข้ากับหวู่ฟางก็ตกลงกันแล้วว่าจะกลับเมืองเหยียนตูไปเยี่ยมอาฉากับเจ้านกน้อยสักครั้ง ยังมีเรื่องแต่งงานมีเมียของพวกหุ่นปั้นทั้งเมืองที่รอให้ข้าไปสะสางอีก ท่านมาหาข้ามีเรื่องอะไรล่ะ?”

ท่านเหลียนชือตวัดค้อน “ไม่มีเรื่องสำคัญอะไรแค่แวะมาเยี่ยมเยียน เผอิญเจอพวกเจ้ากำลังหล่อรูปสำริดพอดี ข้าก็แค่คิดจะเสนอความเห็นกับเจ้าสักอย่าง อาศัยพลังบำเพ็ญของเจ้าตอนนี้คิดจะอำพรางเขาคู่หนึ่งน่าจะไม่ใช่เรื่องยาก ทำไมเจ้าถึงได้ชอบเที่ยวโอ้อวดเขาคู่นี้นัก หรือว่าทำแบบนี้แล้วรู้สึกหน้ามีตามากกว่า”

ไป๋จุ่นหรี่ตามองอีกฝ่ายนิ่งแล้วเอ่ยขึ้นบ้าง “ข้าเองก็มีเรื่องสงสัย ว่าทำไมท่านปู่ของเสี่ยวหมิงถึงมีชีวิตยืนยาวถึงเก้าสิบปีได้?”

“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร” ท่านเหลียนชือตอบกลับอย่างไม่เข้าใจ เสี่ยวหมิงอะไร เป็นใครกัน?

“คำตอบก็คือ… เพราะเขาไม่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านน่ะสิ” ไป๋จุ่นยกมือขึ้นลูบเขาตนเองอย่างภูมิใจ “กิเลนถือว่าเขาบนหัวนับเป็นความงามอย่างหนึ่ง ในเมื่อข้าชอบแล้วท่านมายุ่งได้งั้นหรือ”

ท่านเหลียนชือถูกอีกฝ่ายตอกกลับจนไร้คำพูด “เจ้าช่างเป็นกิเลนที่ปล่อยเนื้อปล่อยตัวที่สุดที่ข้าเคยเห็นมาจริงๆ”

ไป๋จุ่นหัวเราะเขินๆ “ยินดีรับคำชมเชย ขอบคุณมาก ขอบคุณมาก” พูดพลางตบไหล่อีกฝ่ายเสียงดัง “ท่านอยู่รอกินข้าวด้วยกันก่อนสิ ข้าไปไม่นานก็กลับมาแล้ว” พูดจบก็ขี่เมฆมงคลจากไปพร้อมเหยี่ยนหวู่ฟางทันทีโดยไม่อยู่รอฟังคำตอบ

ระหว่างทางเหยี่ยนหวู่ฟางรู้สึกกังวลไม่คลาย

“ไม่รู้ว่าอาฉาจะเห็นด้วยไหม…”

“ไม่เห็นด้วยแล้วอย่างไร จะรอเวลาให้หนึ่งจิตหนึ่งวิญญาณของเจ้านกน้อยสลายไปเองงั้นหรือ บุญบารมีของเขาก็ใกล้จะสมบูรณ์พร้อม เหลือแค่ด่านเคราะห์สุดท้ายเท่านั้น”

ผู้ที่บำเพ็ญเพียรจนสำเร็จมรรคผล หากข้างกายพ่วงคนสติปัญญาบกพร่องอายุหมื่นปีเอาไว้ด้วยก็คงไม่สมควร แม้ความรักที่เขามีต่อเจ้านกน้อยจะทำให้ผู้คนประทับใจ ทว่าการรั้งนางเอาไว้ตามความต้องการของตนเพียงฝ่ายเดียว ไม่แน่ว่าจะดีสำหรับเจ้านกน้อย

หากยอมปล่อยมือ นางยังมีโอกาสกลับชาติมาเกิดใหม่ได้ ผ่านไปสักหลายชาติภพ สามจิตเจ็ดวิญญาณอาจมีโอกาสสะสมครบถ้วน ก็สามารถกลับมาเป็นคนปกติได้อีก เสียดายที่หลี่ควานไม่ยินยอม เรื่องนี้ไป๋จุ่นเข้าใจจิตใจลูกน้องดี กลัวแต่ว่าวันหน้าจะมีด่านเคราะห์กรรมที่ไม่จำเป็นโดยมีสาเหตุจากชวี่หรู แล้วด่านเคราะห์กรรมแห่งรักหลังบำเพ็ญเพียรสำเร็จก็มักจะหนักหนาสาหัสยากจะผ่านจริงๆ

ปกติหลี่ควานฉาเป็นเด็กหนุ่มฉลาดเฉลียว ไหวพริบดี แต่ยามดื้อรั้นกลับพลิกแพลงสถานการณ์ไม่เป็น เขานั่งฟังสองสามีภรรยาแจกแจงผลดีผลเสียอย่างเงียบๆ พลางหันไปมองชวี่หรูตามความเคยชิน สามหมื่นปีเปลี่ยนเด็กหนุ่มหัวร้อนให้เป็นชายหนุ่มที่สุขุม แต่ไม่อาจเปลี่ยนหัวใจที่ยังคงซื่อสัตย์มั่นคง

“หากข้ายอมแพ้ เจ้านกน้อยก็จะสลายหายไปจริงๆ แล้วใช่ไหม”

“พวกข้าคิดหาวิธีเก็บร่างนี้ไว้ได้แล้ว หลายหมื่นปีที่ผ่านมาเจ้าย่อมคุ้นชินกับร่างนี้ พวกข้าล้วนเข้าใจดี”

คำพูดดีๆ หากไป๋จุ่นเป็นคนพูดมักจะทำให้ความหมายเปลี่ยนเป็นวิบัติได้อย่างง่ายดาย หลี่ควานฉาหน้าแดงก่ำ “ท่านประมุข! ข้าไม่ได้…”

ไป๋จุ่นยกมือตัดบทพลางพยักหน้าหงึกหงัก “ข้าเข้าใจๆ ข้าก็ไม่ได้หมายความแบบนั้นเหมือนกัน”

เหยี่ยนหวู่ฟางเห็นทั้งสองพูดจาเหลวไหลเสียเวลาก็ส่ายหน้าอย่างระอา ก่อนจะเอ่ยตรงไปตรงมา “อาฉา หากมีวิธีที่จะนำชวี่หรูกลับคืนมาได้ พวกเราย่อมไม่รอช้าแน่ แต่ไม่ว่าพวกเราจะคิดหาวิธีการอย่างไรก็ไม่พบ เจ้าเองก็เห็นไม่ใช่หรือ เจ้าเฝ้าดูแลนางมาสามหมื่นปี หากนางมีจิตวิญญาณ นางต้องให้อภัยเจ้าแน่นอน ตอนนี้ด่านเคราะห์สุดท้ายของเจ้าใกล้มาถึงแล้ว พวกข้าจะอยู่เคียงข้างช่วยเจ้าฝ่าด่านเคราะห์นี้ไปให้ได้ ถ้าอย่างไรก็ใช้โอกาสนี้ปล่อยชวี่หรูไปเถิด อันที่จริงเจ้ากับนางไร้วาสนาต่อกัน เจ้าฝืนทำแบบนี้จะทำให้นางพลอยลำบากไปด้วย”

หลี่ควานฉาอ้าปากค้าง สุดท้ายก็ไร้ถ้อยคำจะโต้แย้ง คอตกอย่างพ่ายแพ้ “ข้ายอมปล่อยนางแล้ว แต่ร่างสังขารนี้…”

“มอบให้พวกข้า!” สองสามีภรรยาเอ่ยขึ้นพร้อมกัน จากนั้นเหยี่ยนหวู่ฟางก็ดึงหนึ่งจิตหนึ่งวิญญาณออกมาพาไปยังดินแดนโพธิคยา ส่วนไป๋จุ่นก็ย้ายร่างชวี่หรูเข้าตำหนัก

พวกเขาคิดจะทำอะไรกันแน่?

หลี่ควานฉาได้แต่เดินวนเวียนอยู่หน้าตำหนัก หูก็เงี่ยฟังเสียงด้านในอย่างตั้งใจ ทว่าไม่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวแม้สักนิด กระทั่งผ่านไปนานราวสองเค่อ ประตูตำหนักก็เปิดพร้อมร่างของชวี่หรูที่เดินออกมา พอนางเห็นเขาก็ยิ้มกว้าง

“พี่ฉา”

สามหมื่นปีไม่ได้เปิดปากวันนี้กลับพูดได้ หลี่ควานฉาจิตใจสับสนนัก หันมองไป๋จุ่นอย่างไม่เข้าใจ “ท่านประมุข นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

“กายเนื้อของเจ้าเฟ๋ยเฟ๋ยไม่อาจบำเพ็ญเพียรจนกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ ในเมื่อสังขารของเจ้านกน้อยว่างลงพอดี ลงมือครั้งเดียวก็สำเร็จถึงสองอย่าง หากเจ้าชอบก็ถือว่านี่เป็นโอกาสให้เจ้าได้ตามตื๊อนางอีกครั้ง แต่หากไม่ชอบก็ปล่อยให้เจ้าเฟ๋ยเฟ๋ยบำเพ็ญเพียรไป ไม่ต้องข้องเกี่ยวกัน”

สุดท้ายแน่นอนว่าเขาเลือกที่จะตามตื๊อมอบใจให้นางอีกครั้ง หลี่ควานฉาในวันนี้สลัดความอ่อนเยาว์ไม่ประสาออกไปเสียสิ้น เทียบกับเมื่อสามหมื่นปีก่อน เขาเพิ่มความสุขุมหนักแน่นขึ้นหลายส่วน บุรุษหนุ่มผมยาวสีเงิน เสื้อผ้าเรียบร้อย ใบหน้าประดับรอยยิ้มที่สุภาพถ่อมตน

เจ้าเฟ๋ยเฟ๋ยนอกจากจะวุ่นวายใจว่าเขายังคงยึดถือนางว่าเป็นชวี่หรูอยู่หรือไม่ อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรให้ลำบากใจแล้ว

“ช่างเป็นชีวิตที่เศร้าเกินไปแล้ว”

ไป๋จุ่นนั่งอยู่บนดอกบัวแดงแห่งทะเลจิ้งไห่ ในมือปั้นดินเลนเล่น ยิ้มพลางเอ่ยกับเหยี่ยนหวู่ฟาง “ดวงวิญญาณยังคงแปลกหน้า ร่างกายกลับมีความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยา เจ้าเฟ๋ยเฟ๋ยตอนนี้จะต้องรู้สึกทรมานบีบคั้นจิตใจอย่างยิ่ง”

ปากก็พูด มือก็หยิบไม้ท่อนเล็กขึ้นมา เหยี่ยนหวู่ฟางเห็นแล้วต้องรีบถาม “ท่านคิดจะทำอะไร?”

ไป๋จุ่นกะพริบตาปริบๆ “ข้าจะจิ้มเป็นดอกไม้”

เขายังจดจำบทเรียนจากประสบการณ์ครั้งก่อนได้ หากจิ้มมั่วๆ ไปจะไม่ประสบความสำเร็จอย่างสิ้นเชิง หุ่นสตรีตัวแรกของเขาต้องจากไปอย่างทุกข์ระทม ตลอดทั้งชีวิตไม่สามารถเติบโตได้ เป็นเพราะร่างกายภายในไม่สมบูรณ์ถูกต้อง แต่เวลานี้สองสามีภรรยาแบ่งหน้าที่กันชัดเจนตามความสามารถ

ไป๋จุ่นรับผิดชอบปั้นเปลือกนอก หญิงสาวรับผิดชอบแกะสลักอย่างประณีตบรรจงภายใน นับจากฝ่าเคราะห์กรรมร่วมกันในคราวก่อนแล้วย้อนกลับคืนมาได้ จิตใจและปัญญาจึงกระจ่างแจ้ง สว่างไสวกว่าเดิมมาก ตอนนี้สามีภรรยาร่วมมือกัน มีข้อสงสัยก็หันหน้าปรึกษากันอย่างละเอียด

สตรีที่อยู่ระหว่างการทำงานงดงามที่สุด แสงสีแดงวับแวมเหนือทะเลส่องสะท้อนไปบนลาดไหล่และต้นคอ หญิงสาวก้มหน้า คิ้วเรียวขมวดมุ่น เขาชอบสีหน้าดื้อรั้นมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้เช่นนี้ของนางนัก

พลันจิตใจแห่งรักก็พลุ่งพล่าน ไป๋จุ่นขยับเข้าใกล้ “ฮูหยิน เจ้าจำค่ำคืนนั้นของพวกเราบนดอกบัวแดงที่ทะเลจิ้งไห่นี้ได้ไหม วันนั้นเป็นครั้งแรกที่เจ้าได้เห็นใบหน้าแท้จริงของข้า เพราะตะลึงในความหล่อเหล่าของข้า เจ้าจึงคิดลวนลามข้าใช่หรือไม่”

หญิงสาวอมยิ้มกับตรรกะความคิดพิสดารไม่เคยเปลี่ยนของสามี แต่พอคิดทบทวนอย่างละเอียดแล้วก็ต้องยอมรับว่าความจริงเป็นเช่นนั้น “ท่านพูดไม่ผิด ตอนนั้นท่านหล่อเหลาเกินห้ามใจ ความสามารถสูงส่ง สุดท้ายข้าก็อดใจไม่ไหวจริงๆ”

ไป๋จุ่นฟังแล้วก็บิดตัวไปมาอย่างเขินอาย “วันนั้นข้าเสียดายที่พวกเราไม่ได้เข้าหอกันจนเสร็จสิ้นบนดอกบัวแดงที่งดงามนี้ ถ้าอย่างไรวันนี้พวกเรามาแก้มือกันเถอะ ทิวทัศน์รอบตัวสวยงาม บรรยากาศเงียบสงบ ลมพัดเย็นกำลังดี มาๆ ข้าจะช่วยเจ้าถอดเสื้อผ้า…”

“อาจุ่น!”

หญิงสาวตวัดค้อนเขาอย่างตำหนิแล้วหันไปมองดูผืนน้ำรอบตัว “ครั้งนั้นท่านไม่ยอมให้ข้ามอง หลอกข้าว่าไอมารไร้ชาติภพ แต่วันนั้นข้ามองเห็นเมืองตงถู่ที่ข้าถือกำเนิด อาจุ่น ข้ากับฮวายวี่เกี่ยวข้องกันอย่างไร ท่านรู้ตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหม”

ไม่ใช่แค่เมืองตงถู่ หญิงสาวยังเห็นภาพตนเองในหลายชาติภพ อย่างหนึ่งที่เหมือนกันคือนางมักจะอยู่ในห้องหนังสือ และยังมีภาพของบุรุษผู้หนึ่งในอาภรณ์สีแดงฉานดุจโลหิต

“ข้าคือฮวายวี่ใช่ไหม?”

ไป๋จุ่นนิ่งเงียบนานครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าอย่างยอมจำนน “ใช่ แต่ฮวายวี่เป็นแค่เศษเสี้ยวที่เล็กเสียยิ่งกว่าเล็ก เจ้าไม่ต้องใส่ใจไป”

หญิงสาวหลับตา ถอนหายใจยาว “ข้าเคยฝันเห็นฉากนี้มาก่อน ฝันจบก็ร่วงลงไปอยู่ในดินแดนของปีศาจหลัวซา…”

จู่ๆ ไป๋จุ่นก็โยนหุ่นปั้นในมือทิ้งแล้วโถมร่างทับนางไว้ ความหึงหวงแผ่ซ่านไปทั่วทั้งทะเลจิ้งไห่ “หากวันนั้นข้าปล่อยให้เจ้าได้เห็นชาติภพของตนเอง ความรู้สึกของเจ้าที่มีต่อเทพชูมี่จินกังจะแตกต่างไปจากนี้ไหม จิตใต้สำนึกของเจ้าจะยึดถือเขาเป็นคู่ครอง ส่วนข้าคือมือที่สามที่แทรกขาเข้ามาใช่หรือเปล่า!”

หญิงสาวฟังแล้วก็หัวเราะเสียงดัง “ทุกคนล้วนเป็นส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งของข้าทั้งนั้น หากข้าต้องรับผิดชอบทุกคน ข้ามิใช่วุ่นวายจนตายเลยหรอกหรือ หัวใจข้ามีท่านเพียงคนเดียว ตั้งแต่มอบใจให้ท่านข้าก็ไม่เคยหวั่นไหวรวนเรเป็นอื่นอีก”

“พูดจริงนะ?”

“สาบานต่อฟ้าก็ยังได้”

“งั้นจูบข้าหนึ่งครั้ง” เขายื่นปากเข้าใกล้อย่างเอาแต่ใจ “เราควรมีเจ้าตัวเล็กสักคนได้แล้ว…”

แผนการสร้างหุ่นสตรีคราวนี้ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม

สี่สิบเก้าวันให้หลังยามเด็ดหุ่นเด็กบนทะเลจิ้งไห่ บรรดามนุษย์หุ่นมองดูเด็กหญิงตัวน้อยๆ ที่กระโดดโลดเต้นไปทั่วทั้งทะเล พวกเขาล้วนซาบซึ้งใจเสียจนน้ำตาไหลพราก รอมาหลายร้อยปีก็ถึงวันมีเมียจนได้ ต่างคนต่างเลือกเด็กน้อยที่ตนถูกใจ อุ้มกอดไว้ในอ้อมแขนอย่างลิงโลดเบิกบาน เตรียมนำกลับไปเลี้ยงดูกล่อมเกลี้ยงอย่างดี

ไป๋จุ่นมองดูบรรดาเด็กๆ ที่พ้นทุกข์สุขมาเยือนแล้วก็รู้สึกผิดต่อมนุษย์หุ่นหลายรุ่นก่อนหน้าอยู่บ้าง รอคอยมาทั้งชีวิตก็ไม่พบผลงานดุจเทพรังสรรค์ของไป๋จุ่น หุ่นเหล่านั้นอย่างไรเสียก็ไม่ได้วาสนาดีแบบจ้าวซื่อ

จำได้ว่าฉูหูขึ้นไปยังที่พำนักของเจ้าแม่ซีหวางหมู่เพื่อขอร่างทองคำอมตะให้จ้าวซื่อ อายุขัยของมนุษย์หุ่นมีสิ้นสุด แก่ชราแล้วก็จำต้องโละทิ้ง แต่ความสามารถของไป๋จุ่นยิ่งมายิ่งมาก ยามนวดผสมดินเหนียวก็ใส่บุญบารมีเข้าไปด้วย มนุษย์ดินเหนียวทั่วเมืองเทียบกับเมื่อหลายรุ่นก่อนแล้ว อายุขัยโดยทั่วไปเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมถึงสามส่วน

มีชีวิตให้เสพสุข ที่เหลือก็คือวิชาชีววิทยาแล้ว คนโสดทั่วเมืองมีความอยากรู้อยากเห็นอันไร้ที่สิ้นสุดกับเรื่องราวที่ลี้ลับนั้น ภรรยามีแล้วอย่าได้เอาแต่นั่งเบิ่งตามองอยู่เลย

เดิมพวกหุ่นปั้นเคยคิดจะขอคำแนะนำเรื่องในห้องหอกับท่านประมุข ทว่าเพราะมีนายหญิงอยู่ข้างกายท่านประมุขตลอดเวลา เหล่าหุ่นปั้นก็ให้กระดากอายที่จะเอ่ยปาก แต่แล้วปัญหานี้ก็ได้รับการแก้ไขเมื่อมีหนังสือเล่มหนึ่งแพร่หลายอยู่ในเมืองเหยียนตู แม้ลายเส้นจะหยาบไปบ้างแต่ไม่ส่งผลต่อการเรียนรู้ มนุษย์หุ่นปั้นแทบจะยกหนังสือเล่มนี้เป็นตำราการเข้าหอแล้ว มีเวลาว่างเมื่อใดก็สุมหัวเรียนรู้ไปด้วยกัน

“โอ้! ท่านี้ยากมากจริงๆ ข้าจะทำแบบนี้ได้หรือ”

วันหนึ่งไป๋จุ่นออกไปเดินตรวจเมืองเพียงลำพังก็ให้รู้สึกประหลาดใจนัก เพราะปกติจะต้องมีมนุษย์หุ่นปั้นส่งเสียงทักทายตลอดทาง แต่วันนี้ไม่มีใครสนใจเขาเลย กระทั่งไปถึงลานกว้างก็เห็นมนุษย์หุ่นปั้นนั่งสุมหัวรวมตัวกันดูบางอย่างอยู่ เขาจึงแทรกตัวเข้าไปดูด้วย

สมุดภาพ? หนังสือ?

“ทำไมรูปวาดช่างอัปลักษณ์เช่นนี้ นี่คงไม่ใช่เจ้าปีศาจทุนเทียนหรอกนะ”

“ไม่ใช่ นี่คือตำราเข้าหอ… อ๊ะ!” พอพวกมนุษย์หุ่นปั้นเห็นว่าผู้ใดมาก็แตกตื่นวิ่งหนีกระจัดกระจาย ทิ้งหนังสือเล่มนั้นไว้อย่างเดียวดาย

ไป๋จุ่นนั่งลงอ่านหนังสือเล่มนั้น ไล่ไปทีละหน้าช้าๆ ครู่หนึ่งก็หัวเราะเสียงดัง “โลกนี้ทำไมถึงมีคนที่โง่ขนาดนี้ได้” อ่านไปหัวเราะไปครู่หนึ่งก็เริ่มผิดสังเกต

เอ๊ะ! ทำไมมีคนเข้าประตูผิดเหมือนข้า?

ทำไมพระเอกเป็นกิเลน ซ้ำยังเป็นกิเลนดำ

ทำไมพระเอกออกกำลังกายเสร็จก็จะมีเขางอกบนหัวด้วย

นี่มันเหมือนกันเกินไปแล้ว!

“หนังสือเล่มนี้มาจากไหน!!”

ภายในเมืองน้อยใต้สุดของชมพูทวีป

จู่ๆ เจ้าแมงป่องโลหิตก็ตัวสั่นสะท้าน เย็นยะเยือกไปทั้งตัว

“ไม่ได้การแล้ว!”

แมงป่องหญ้าถามด้วยใบหน้าโง่งม “มีอะไรไม่ดีหรือ ฉบับลอกเลียนแบบทำกำไรมากกว่าต้นฉบับมากมายนัก วันนี้ก็ขายออกไปได้อีกสองร้อยกว่าเล่มแล้ว เถ้าแก่ดีใจไหม?”

บนโลกนี้ผู้ที่คิดลอกเลียนแบบผลงานตนเองดูท่าจะมีแต่เจ้าแมงป่องโลหิตที่คิดออกมาได้ ฉบับลอกเลียนแบบมีราคาถูก แต่ต้นฉบับของแท้มีราคาแพง เทียบกับปล่อยให้คนอื่นลอกเลียนแล้ว มิสู้ตนเองชิงลงมือก่อนย่อมได้เปรียบ

ดีที่วันนั้นฟังคำทักท้วงของท่านเหลียนชือ จึงยังมิได้ลงลายมือชื่อตนเองลงไปในเล่ม บัดนี้เขาคิดชื่อนักเขียนที่เหมาะสมกับบทประพันธ์เอาไว้แล้ว

นั่นก็คือ ‘หนุ่มเนตรสวรรค์’

เดิมคิดว่ายังสามารถยันไว้ได้ครึ่งเดือน ให้เขาพอทำกำไรได้สักก้อนค่อยเผ่น คิดไม่ถึงว่าระดับการเวียนกันอ่านจะสูงส่งเกินไป ลางสังหรณ์ของเขาบอกภัยร้ายกำลังจะมาเยือนที่หน้าประตูแล้ว

“นับจากวันนี้ไป ข้าตัดสินใจว่าเจ้าส่งมอบชื่อเสียงอันเกรียงไกรนี้ให้กับเจ้า” แมงป่องโลหิตเห็นท่าไม่ดีจึงตัดสินใจมอบหมายภารกิจสำคัญให้กับแมงป่องหญ้า

“บอกข้าว่าเจ้าคือใคร?”

“แมงป่องหญ้า”

“ไม่ใช่ เจ้าคือหนุ่มเนตรสวรรค์แล้วตอนนี้”

แมงป่องหญ้ามึนงง “ถ้าข้าคือหนุ่มเนตรสวรรค์ เช่นนั้นรายได้ทั้งหมดนี้ต้องเป็นของข้าด้วยใช่หรือไม่?”

“ขอถาม… เจ้ามียางอายบ้างไหม?” แมงป่องโลหิตถามเขาด้วยรอยยิ้มน้อยๆ

เรื่องเงินทองสามารถทำให้พี่น้องก็แตกคอกันได้ไม่ยาก ขณะที่สองแมงป่องกำลังจ้องตาวัดใจกัน จู่ๆ ชั้นหนังสือด้านหลังก็ติดไฟลุกพรึ่บ หนังสือบนชั้นถูกเผาวอด แมงป่องโลหิตปิดหูกรีดร้องสุดเสียง

“ข้าเป็นแค่ตัวแทนจำหน่าย ไม่เกี่ยวกับข้านะ!”

โครม!

ประตูถูกถีบเข้ามาอย่างแรง พร้อมเสียงทักทายสดใสและใบหน้าหล่อเหลาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มกว้างขององค์วัชระ

“เจ้าแมงป่องเสียบไม้ย่าง ไม่เจอกันนาน ยังสบายดีอยู่ใช่ไหม”

————- จบบริบูรณ์———————–