GGS:บทที่ 841 แพงกว่าทอง

 

เหล่าแฟนคลับของซูจิ้งในตอนนี้ได้เห็นภาพที่ซูจิ้งโพสต์ไว้ในไมโครบลอก ตอนนี้พวกเขาได้ออกมาเคลื่อนไหวแล้ว

“ไม่ใช่ว่าพี่จิ้งเขาศึกษาแค่ศิลปะการแต่สู้และพุทธศิลป์หรอกหรอ แล้วนี่ทำไมเขายังไปเรียนการวาดภาพเขียนพู่กันจีนเพิ่มอีกล่ะ”

“ลองดูใกล้ๆนี่ก็สวยเหมือนกันนะรูปพวกนี้”

“ใช่ สวยมากจนเหมือนกับเทพธิดาในสรวงสวรรค์เลย”

“พี่จิ้งต้องโกหกแน่ๆ เขาไม่น่าจะเพิ่งเรียนได้แค่เจ็ดแปดวันหรอกนะ หากว่าเขาเพิ่งเริ่มเรียนจริงๆแล้วเขาจะวาดภาพอันวิจิตรแบบนี้ได้ยังไงกัน

“เขาน่าจะแค่คุยโวเฉยๆมั้ง ฉันว่าน่าจะเจ็ดแปดปีมากกว่า””

“สาวงามพวกนี้เป็นใครกัน”

“คนที่ห้าคือหวังซือหยา ประธานบริษัทซือหยา คนที่หกคือมู่หรงเซียนเอ๋อ”

“คนที่เจ็ดนี่ไม่ต้องบอกก็น่าจะรู้กันนะ คุณพี่สะใภ้ฉือชิง ถึงจะยังไม่ใช่แต่ก็ใกล้แล้วแน่ๆ ลองดูความวิจิตรของภาพเธอสิ พี่จิ้งวาดได้สวยที่สุดในหมู่สาวงามเลย”

มู่หรงเซียนเอ๋อได้ทำการติดป้ายชื่อของเธอไว้ใต้ไมโครบลอกของซูจิ้งทันที นั่นก็เพราะว่ามีแฟนคลับของเธอหลายๆคนที่รู้ข่าวแต่ว่าไม่สามารถเข้ามาดูได้เนื่องจากคนเต็ม

ในตอนที่มู่หรงเซียนเอ๋อโดนข่าวป้ายสีเล่นงานนั้น ไม่มีใครเลยในวงการบันเทิงที่จะกล้าออกมายืนอยู่เคียงข้างเธอ

มีเพียงซูจิ้งเท่านั้นที่รีบช่วยเหลือเธอในทันทีจนพ้นวิกฤตในครั้งนั้นมาได้ นั่นทำให้แฟนคลับของมู่หลงเซียนเอ๋อชื่นชมในตัวซูจิ้งอย่างมากและได้กลายเป็นแฟนคลับของซูจิ้งไปด้วยเช่นกัน

จึงเป็นธรรมดาที่พอเมื่อเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทั้งคู่พร้อมๆกันพวกเขาก็ต้องสนใจเป็นพิเศษอยุ่แล้ว แต่ด้วยการที่พวกเขาไม่ได้ติดตามเหนียวแน่นขนาดนั้นจึงเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะตกตะลึงในความสามารถของซูจิ้งมากกว่าแฟนคลับของซูจิ้งที่พอจะคุ้นชินกันบ้างแล้ว

“ช่างสวยงามราวกับนางฟ้าในสรวงสวรรค์ยิ่งนัก”

“นี่เป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ยที่ฉันได้เห็นภาพวาดพู่กันจีนที่น่าตื่นตาตื่นใจแบบนี้”

“”ซูจิ้งนี่เก่งสารพัดอย่างจริงๆแหะ ถ้าไม่ใช่ว่าเขานั้นมีแฟนอยู่แล้วล่ะก็ เขาคงเป็นคู่ที่เหมาะสมกับเทพธิดาของเราเป็นแน่”

“ลองดูที่รูปของแฟนเขาสิ รูปแฟนของซูจิ้งที่เขาวาดช่างดูสวยงาม มีชีวิตชีวา และน่าหลงใหลจริงๆ”

“แหงซิ ถ้าเป็นนายนายจะกล้าวาดผู้หญิงคนอื่นได้สวยกว่าแฟนตัวเองรึเปล่าล่ะ ก็รู้ๆกันดีอยู่แล้วนี่”

 

ในส่วนไมโครบลอคของฉือชิงในตอนนี้เองก็ตกตะลึงไปกับภาพวาดหญิงงามของซูจิ้งไม่น้อยไปกว่ากัน

และด้วยเหตุนี้ทำให้ไมโครบลอกของหวังซือหยา เชิงชิเหยา เฉินรั่วหลิน เหว่ยเสี่ยวหยวน และเฉิงหนาน ทั้งหมดได้ถูกชาวเน็ตขุดคุ้ยซะยับเยินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

แทบจะบอกได้เลยว่าพวกเขาไม่ปล่อยให้หลุดรอดสายตาแม้แต่น้อย แม้แต่ข้อความในช่องคอมเม็นต์พวกเขาก็อ่านหมดทุกตัวอักษร

 

นั่นก็เพราะว่าหญิงสาวเหล่านี้นั้นแต่เดิมพวกเธอก็มีความสวยและงามสง่าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

ยิ่งได้ภาพเขียนอันแสนวิจิตรพิศดารของซูจิ้งหนุนนำเข้าไปอีกยิ่งทำให้พวกเธอตกเป็นเป้าสายตาและกลายเป็นประเด็นร้อนในโลกอินเตอร์เน็ตอย่างรวดเร็ว

ซึ่งในตอนนี้ ชาวเน็ตได้ตั้งสมญานามให้พวกเธอไว้แล้วว่า “เจ็ดเทพธิดา”

และแน่นอนว่าอะไรที่ชาวเน็ตสนใจ เหล่าบรรดาดาราทั้งหลายก็จะต้องรีบตามชาวเน็ตให้ทัน

 

เลาชงก็ได้เห็นข่าวนี้ในอินเตอร์เน็ตแล้วเหมือนกัน ทำให้เขาได้มีโอกาสได้เข้าไปดูภาพเขียนเจ็ดเทพธิดา

เมื่อได้เห็นแล้วก็ทำได้เพียงแค่ถอนหายใจออกมา ก่อนจะพูดออกมาลอยๆว่า “ฉือชิงนี่ช่างสวย สวยมากจริงๆ แถมยังโชคดีอีกด้วย”

 

นาลันเฟยก็เห็นภาพเช่นกัน หลังจากที่เธอกลับไปมองภาพของฉือชิงอีกครั้ง เธอเองก็ทำได้เพียงถอนหายใจออกมายาวๆ ตอนนี้ในใจของเธอมีเพียงความรู้สึกพ่ายแพ้ออกมาเท่านั้น

การที่เธอจะพ่ายแพ้ต่อฉือชิงและมู่หลงเซียนเอ๋อนั้นเรื่องนี้เธอเองก็รับได้อย่างไม่มีข้อสงสัยอยู่แล้ว

แต่ที่เธอน้อยใจมากที่สุดก็คือตัวเธอนั้นไม่ติดอยู่ในหมู่เจ็ดเทพธิดาของซูจิ้งมากกว่า

อีกเหตุผลหนึ่งก็คือเธออิจฉาที่ภาพวาดที่ออกมานั้นดูสวยงามเสียยิ่งกว่ารูปถ่ายสวยๆที่เธอถูกถ่ายมาตลอดชีวิตนี้จนทำให้เธอเองก็อยากได้ไว้สักรูปหนึ่งเหมือนกัน

 

ยิ่งเธอเห็นฉือชิงและมู่หรงเซียนเอ๋อถ่ายรูปภาพวาดของพวกเธอขึ้นเป็นรูปแทนตัวตนในไมโครบลอคแล้วยิ่งท้อใจเข้าไปใหญ่ เธออยากได้บ้างจนอดรนทนไม่ไหวต้องโทรไปหาซูจิ้งเพื่อวาดรูปให้เธอ

หลังจากหวังหยานได้เห็นชุดภาพเจ็ดเทพธิดาของซูจิ้งแล้วเธอเองก็นิ่งไปนานเหมือนกัน เธอไม่เคยคิดเลยว่า

ภาพวาดเจ็ดเทพธิดาจีนนี้จะขาดเธอไปได้เช่นกัน

เหล่าดาราฝ่ายหญิง แฟนคลับของซูจิ้ง และชาวเน็ต ต่างพูดถึงเรื่องนี้กันไปทั่วพร้อมกับพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าพวกเธออยากได้ภาพวาดแบบนี้ไว้เหมือนกัน

มีผู้หญิงบางคนได้ไปขอให้ซูจิ้งวาดรูปให้แต่ราคาที่เขาบอกมานั้นก็ถือได้ว่าสูงมาก แม้แต่ผู้ชายบางคนเองที่ขอให้ซูจิ้งวาดรูปให้ เขานั้นก็บอกปัดแบบเรียบง่ายด้วยการบอกว่าต้องจ่ายเงินห้าแสนหยวนเป็นข้อแรกเปลี่ยน

เหตุผลก็คือตอนนี้ภาพเขียนของซูจิ้งเป็นที่นิยมอย่างมากในอินเตอร์เน็ต

 

เหตุการณ์นี้ทำให้ผู้คนที่อยู่ในวงการภาพเขียนพู่กันจีนต้องตกตะลึง

นั่นก็เพราะว่าซูจิ้งนั้นไม่เพียงแต่เปิดตัวในวงการนี้ในระดับปรมาจารย์ตั้งแต่ต้น

ต้องไม่ลืมว่าเขาเองก็ยังมีฝีมือด้านการเล่นกู่จิ้งอีกด้วย พูดได้เลยว่าต่อให้ซูจิ้งเลิกเล่นกู่จิ้งไป

เขาเองก็ยังโดดเด่นอยู่ในวงการภาพเขียนพู่กันจีนได้อย่างสบายๆ

เชินกู่ยี่และคนอื่นๆที่รู้เกี่ยวกับความสามารถด้านนี้ของซูจิ้งก่อนใครนั้น พวกเขาเองก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าภาพวาดของซูจิ้งจะมีราคาพุ่งขึ้นไปที่ห้าแสนหยวนเข้าไปแล้ว

พวกเขานั้นประเมินราคาภาพเจ็ดสาวงามของซูจิ้งต่ำเกินไป

แม้แต่ศิลปินที่วาดภาพเหมือนอยู่เป็นนิจก็ยังออกมาโดยพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าภาพเหมือนของเขาไม่มีทางที่จะเทียบได้กับภาพเหมือนของฉือชิงของซูจิ้งได้เลย

ไม่สิ แม้แต่ภาพอื่นในชุดเจ็ดเทพธิดาก็ไม่สามารถเทียบได้เช่นเดียวกัน

อย่างไรก็ตามพวกเขาได้กล่าวเพิ่มเติมเอาไว้ว่างานของพวกเขานั้นสามารถสื่อออกมาได้เต็มที่ก็แค่ความเหมือน พวกเขานั้นวาดภาพเหมือนได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

พวกเขาสามารถวาดภาพให้สวยได้แต่ไม่สามารถวาดให้สวยโดยยังดูเป็นคนๆนั้นอยู่ได้ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ภาพวาดเหมือนของพวกเขาไม่สามารถเทียบได้กับซูจิ้งได้

นี่จึงถือได้ว่าภาพเขียนของซูจิ้งได้สร้างบรรทัดฐานใหม่ของวงการไปแล้ว

 

ในตอนนี้คนที่เคยมีเรื่องกับซูจิ้ง แม้แต่คนที่ไม่ชอบซูจิ้งอยู่แล้วอย่าง ฉิวหยุนจิน เว่ยหยิน โอฉิงซง และซุนหยูเฮง ต่างก็อิจฉาจนอยู่กันไม่สุขและโอดครวญออกมากันว่า ทำไมซูจิ้งถึงได้เก่งไปซะรอบด้านขนาดนี้ ช่างไม่ยุติธรรมเอาซะเลย

โดยเฉพาะกับซุนหยูเฮงที่มีท่าทางจิตตกกว่าใครเพื่อน นั่นก็เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องในงานผู้ว่าการหู่มา หวังซือหยาไม่เคยให้ความสนใจเขาอีกเลย

อีกทั้งเรื่องธุรกิจการเกษตรที่เขามุ่งหวังเอาไว้ในตอนนี้ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิดอีกต่อไป

ก่อนหน้านี้ที่เขานั้นใช้ทุกวิธีทางกดดันให้เตียนจงยี่จนเกือบจะยอมแพ้ไปได้แล้วนั้น

มาตอนนี้เตียนจงยี่สามารถแข่งกับเขาได้ชนิดที่เขานั้นปรับตัวไม่ทัน แถมยังเร็วกว่าตอนที่เขาเล่นงานเตียนจงยี่ซะอีก

เหตุผลนั้นจากการที่เขาประเมินดูแล้ว ดูเหมือนว่าองค์กรสำคัญที่อยู่ในจังหวัดจะอยู่ข้างซูจิ้งเสียเกือบหมด

เขานั้นถึงกับขอให้ทางตระกูลอาศัยเส้นสายของตระกูลกดดันผู้ว่าการหู่ ยอมแม้แต่การเสนอให้เป็นหุ้นส่วนของตระกูล แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ผล

แต่พวกเขาก็ไม่ได้สงสัยอะไรนั่นก็เพราะว่าขนาดซูจิ้งเสนอสมบัติระดับสูงมากมายหลายชิ้น ผู้ว่าการหู่ยังปฏิเสธเขาออกไปหมด

แถมจากการตรวจสอบของพวกเขาก็ยังไม่พบว่าผู้ว่าการหู่มีสายสัมพันธ์กับกลุ่มไหนมากเป็นพิเศษ ขนาดองค์กรภาครัฐอื่นๆเองเขาก็แทบจะไม่เคยเข้าไปยุ่งย่ามหากไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับประชาชนในจังหวัด

นั่นทำให้พวกเขานั้นเชื่อได้ว่าอย่างน้อยๆที่ทิศทางของการพัฒนาจังหวัดเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ไม่น่าจะมาจากอิทธิพลของผู้ว่าการหู่แต่อย่างใด

ด้วยเหตุผลเหล่านี้เขานั้นจึงเชื่อว่าที่ทิศทางการพัฒนาเมืองได้เปลี่ยนไปขนาดนี้นั้น

เป็นเพราะเหล่าองค์กรเอกชนในเมืองได้ร่วมมือกันช่วยผลักดันให้เกิดแนวทางการพัฒนาที่น่าเชื่อถือพอที่จะทำให้หน่วยงานภาครัฐในเมืองคล้อยตามได้

แต่แนวทางที่คนอื่นๆเห็นด้วยนี้กับบริษัทของเขาแล้วเปรียบได้กับยาพิษของบริษัทเขาดีๆนี่เอง เพราะมันเป็นการทำให้ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่เขาวางแผนในการผลิตเอาไว้ไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้

ในตอนนี้เขาได้ให้คนคอยสังเกตซูจิ้งแทบจะทุกฝีก้าวเท่าที่เป็นไปได้เพื่อหาข้อมูลที่พอจะนำไปใช้เล่นงานซูจิ้งได้บ้าง

อย่างไรก็ตามนอกจากการติดตามซูจิ้งนั้นจะไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว ตอนที่คนที่ติดตามซูจิ้งบอกเขามาว่าซูจิ้งนั้นได้ไปเรียนการวาดภาพเขียนพู่กันจีนนั้นเขาถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก

ขนาดเขาเองก็ยังสงสัยเลยว่านี่ซูจิ้งทำตัวสบายๆไปรึเปล่า นั่นก็เพราะคนที่มีชื่อเสียงแบบนี้สมควรจะเคลื่อนไหวแบบระมัดระวังตัวไม่ใช่มาทำตัวเหมือนกำลังเรียนรู้สิ่งต่างๆฆ่าเวลาแบบนี้

 

แต่ก็อีกนั่นล่ะการที่ซูจิ้งเคลื่อนไหวแบบนี้เขาเองก็ยิ่งทำอะไรซูจิ้งไม่ได้เลย นี่ทำให้เขานั้นรับเรื่องนี้ไม่ได้เข้าไปใหญ่

เอาจริงๆแล้วที่ซูจิ้งสามารถทำตัวสบายอารมณ์โดยที่ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจแบบนี้นั้นเป็นเพราะว่าในทุกๆธุรกิจของซูจิ้งนั้น

เขาจะมอบอำนาจสิทธิขาดให้กับหุ้นส่วนไปเลย ซึ่งในกรณีนี้ก็คือเตียนจงยี่และผู้ว่าการหู่

และเขานั้นไม่เคยกลับเข้ายุ่มย่ามกับเรื่องพวกนั้น นอกจากจะเป็นการเพิ่มเติมผลผลิตใหม่ หรือเป็นการยกระดับการผลิตให้ดีขึ้นเท่านั้นเอง ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เหมือนกันที่ซุนหยูเฮงจะรู้เรื่องนี้สักที

“เฮอะ…แกจงทำตัวสบายๆจนน่าหมั่นไส้แบบนี้ไปให้ตลอดรอดฝั่งก็แล้วกัน เมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันหาทางเล่นงานแกได้ล่ะก็ ฉันจะเล่นงานแกทันที คราวนี้ฉันจะไม่ให้โอกาสแกตั้งตัวแม้แต่น้อยเลย คอยดู”

ซุนหยูเฮงตะโกนลั่นอยู่ภายในใจของตัวเอง

 

ณ วัดหลานเล่อ วัดของศาสนาพุทธ

เจ้าอาวาสซูหยุน ปรมาจารย์เชิงหยาน และพระภิกษุที่จำวัดอยู่ที่นี่รูปอื่นๆกำลังอ่านหนังสือ และติดตามข้อมูลข่าวสารในโลกอินเตอร์เนต

พวกเขาในตอนนี้ได้เข้าไปดูรูปเจ็ดเทพธิดาที่โพสต์เอาไว้โดยซูจิ้งในไมโครบลอค

พวกเขาจ้องมองเจ็ดเทพธิดาจนทำให้จิตในสั่นไหวจนทำให้โจวฮงหยวน เสี่ยวไจ๋ และพระรูปอื่นๆเองต่างก็เริ่มสงสัยว่าถ้าเจ้าอาวาสและเหล่าปรมาจารย์ได้เห็นภาพเจ็ดเทพธิดานี้เข้าจะเป็นเช่นไรกันบ้าง

เจ้าอาวาสและเหล่าปรมาจารย์เองเมื่อได้เห็นภาพเจ็ดเทพธิดาของซูจิ้งแล้วต่างก็นิ่งเงียบกันไปพักใหญ่

เมื่อผ่านไปซักพัก เจ้าอาวาสจึงได้เอ่ยถามแบบพูดลอยๆว่า “พวกท่านรู้สึกอะไรกันบ้าง”

ปรมาจารย์เชิงหยานเองก็นิ่งเงียบไปอีกพักใหญ่ก่อนจะพูดออกมาว่า “ท่านเจ้าอาวาส ท่านลองถามซูจิ้งหน่อยได้รึเปล่าว่าเขานั้นฝึกจิตใจแบบไหนกันแน่

 

ถึงตอนนั้นเขาจะบอกว่าเขาใช้การฝึกที่ได้มาจากการศึกษาทั้งทางพุทธ เต๋า และเซนและนำมาปรับใช้เป็นของตัวเองก็ตาม ในตอนนั้นอาตมาเองก็หาได้เชื่อมากนัก แต่หลังจากเห็นภาพพวกนี้แล้วทำให้อาตมาเชื่อได้แล้ว”

เมื่อพูดเสร็จ ปรมาจารย์เชิงหยานได้ชี้ไปยังรูปของฉือชิงและกล่าวออกมาต่อว่า “ตอนที่เขาวาดภาพนี้เขานั้นใช้แนวคิดแห่งพุทธในการวาด แต่เป็นแนวคิดแห่งเต๋า”

เหล่าพระชั้นผู้ใหญ่ต่างพยักหน้าเห็นด้วยเช่นเดียวกัน

โจวฮงหยวน เสี่ยวไจ๋ และพระรูปอื่นเองก็เข้าใจในทันที่ว่าที่พวกเจ้าอาวาสและพระผู้ใหญ่รูปอื่นๆนั้นที่นิ่งไปนานไม่ใช่เพราะว่ารู้สึกหลงใหลแบบพวกเขา แต่เป็นการมองเห็นความจริงแท้นี่เอง

ปรมาจารย์เชิงหยานอยู่ก็หันไปหาเจ้าอาวาสด้วยสายตาที่กระจ่างใสและพูดออกมาว่า

 

“ถึงแม้ว่าคุณซูจะบอกว่าเขานั้นศึกษาวิถีพุทธแบบผิวเผินแต่กลับวาดรูปออกมาได้ลึกซึ้งขนาดนี้(หมายถึงรูปเทพธิดานางอื่นที่ไม่ใช่รูปของฉือชิง) แล้วหากคุณซูวาดรูปพระพุทธขึ้นมาล่ะ รูปนั้นก็น่าจะเหนือกว่ารูปพระพุทธทั่วไปใช่รึเปล่า”

เจ้าอาวาส โจวฮงหยวน และเสี่ยวไจ๋ เมื่อได้ยินคำพูดนี้ สายตาของพวกเขาเป็นประกายวิบวับในทันที

ขอให้ซูจิ้งวาดรูปพระพุทธให้อย่างนั้นหรอมันช่างน่าสนใจมากเลยทีเดียว แต่ยังซะเรื่องนี้ก็ต้องมาว่ากันทีหลังอีกที

เพราะยังไงซะพวกเขานั้นรู้ดีว่าถึงซูจิ้งจะทำตัวดูสบายๆทำนู่นทำนี่เรื่อยเปื่อย แต่จริงๆแล้วเขานั้นยุ่งมาก

การที่เขามาเรียนเขียนภาพแบบนี้ก็สมควรเป็นวิธีการฝึกฝนทางจิตใจแบบหนึ่งของเขาก็เท่านั้นเอง