ตอนที่ 788 เผชิญหน้า

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 788 เผชิญหน้า

สุริยากระจ่างฟ้า

ท้องนภาแจ่มใส

นกอินทรีบินอยู่บนท้องนภาไกล

ค่ายของทหารดาบเทวะกองทัพที่สองถูกรื้อถอนเรียบร้อยแล้ว ที่แห่งนี้จึงมีทหารแข็งแกร่งอยู่ถึง 60,000 นาย

พวกเขาควบอยู่บนหลังอาชา สวมชุดเกราะสีเงินสว่างไสว ในมือมีดาบยาวและดาบนั้นได้กระทบกับแสงสุริยาจนเกิดประกายเยือกเย็น

บริเวณเส้นขอบฟ้าที่ห่างออกไปมิไกลเท่าใดนัก เดิมทีเคยส่องสว่าง ทว่าบัดนี้กลับถูกย้อมด้วยสีดำ

เส้นสีดำมืดนั้นค่อย ๆ ขยับเข้ามาในระยะสายตาเรื่อย ๆ

มันค่อย ๆ แผ่ขยายวงกว้างขึ้นจนบริเวณนั้นกลายเป็นสีดำสนิทในที่สุด

พวกมันเหยียบย่ำไปบนหิมะขาวโพลน ควบอาชาทะยานเข้ามา

ราวกับมวลหมู่เมฆดำครึ้มกำลังปกคลุมพื้นที่แห่งนี้จนมิด

ดุจดั่งน้ำหมึกที่ละเลงไปทั่วผืนปฐพี

ท่ามกลางกองทหารนั้น ได้ปรากฏราชรถคันมหึมาอยู่ 1 คัน

ในราชรถนั้นมีทหารนายหนึ่งรูปร่างกำยำยืนอยู่

เขาคือแม่ทัพใหญ่ของทหารจำนวน 500,000 นาย และยังเป็นเสด็จอาของท่าป๋าเฟิงจักรพรรดิแห่งแคว้นฮวง อีกทั้งยังดำรงบรรดาศักดิ์ชินอ๋องนามว่าท่าป๋าหยู !

อายุ 45 ปี ดำรงตำแหน่งทหารมาทั้งชีวิตและมีทักษะการรบที่โดดเด่น

เขาได้รับมอบหมายจากจักรพรรดิแคว้นฮวงให้เดินทางมายังสนามรบเซียวเหอหยวน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อกลบร่างของทหารดาบเทวะกองทัพที่สองไว้ใต้ผืนปฐพีนี้ และแน่นอนว่าสิ่งสำคัญกว่านั้นก็คือการตัดศีรษะเจ้าสุนัขฟู่เสี่ยวกวน เพื่อนำไปถวายแก่ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หยู แลกกับการได้ยึดครองพื้นที่บริเวณด่านภูเขาเยี่ยนและพื้นที่ใกล้เคียง !

เขามีความคุ้นเคยกับสนามรบนี้ดี และเข้าใจว่าเหตุใดศัตรูจึงเลือกสถานที่แห่งนี้ในการต่อสู้

มีเพียงแค่แม่น้ำเซียวเท่านั้นมิใช่หรือ จะทำอันใดข้าได้กัน ?

ทหารดาบเทวะอันเลื่องชื่อลือนาม วันนี้ข้าอยากจะเห็นเสียจริงว่าชื่อเสียงที่พวกเจ้าได้รับมา จะเหมาะสมกับความสามารถหรือไม่

เขาหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นมองทหารกองนั้น อืม…มิเลวนี่ !

“จงประกาศคำสั่งออกไปว่า ให้เดินทางไปยังแม่น้ำเซียวเพื่อตั้งค่ายและทำอาหารให้เรียบร้อย”

พวกเจ้าต้องการให้ข้าข้ามแม่น้ำไปเยี่ยงนั้นหรือ ?

ข้ามิไปหรอก เพราะข้าจะกินให้อิ่มและนอนให้พอ มาดูกันว่าผู้ใดจะมีความอดทนมากกว่ากัน

ผู้ที่อยู่ข้างกายของเขาคือหลานชายนามว่า ท่าป๋าชิง เขารู้สึกประหลาดใจในคำสั่งนี้เล็กน้อย จึงหันมาเอ่ยถามว่า

“เสด็จปู่ พวกเรามีคนมากกว่าแล้วเหตุใดจึงมิบุกไปเลยพ่ะย่ะค่ะ ? ”

ท่าป๋าหยูยกมือขึ้นลูบเครายาว จากนั้นก็ยกยิ้มขึ้น

“หากบุกเข้าไปก็อาจจะติดกับที่ศัตรูวางเอาไว้ พวกเจ้ายังหนุ่มยังแน่นอดทนสักหน่อยเถิด หากพวกมันทนมิไหวก็จะบุกเข้ามาเองนั่นแหละ เดิมทีแม่น้ำสายนี้พวกมันตั้งใจใช้ขวางกั้นข้า แต่กลับกลายเป็นขวางกั้นพวกมันเสียเอง นี่คือการควบคุมอำนาจในสงคราม พวกเราจะมิเดินตามแผนที่อีกฝ่ายวางเอาไว้เป็นอันขาด”

“อีกอย่างหนึ่ง…นี่คือพื้นที่ของแคว้นฮวง พวกมันเดินทางมาไกลโข พวกเราก็ควรให้การต้อนรับอย่างดี เช่นนั้นก็เชิญพวกมันเดินมาเองเถิด จงอย่ารีบร้อนใจไปเพราะการทำสงครามควรใจเย็น”

การที่ท่าป๋าหยูเดินหมากเช่นนี้ ทำให้ไป๋ยู่เหลียนต้องมองเขาใหม่

ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ ข้าฝังระเบิดเอาไว้แล้ว อีกทั้งยังเก็บค่ายเสร็จสิ้นแล้ว ทว่าอีกฝ่ายมิข้ามแม่น้ำมาและยังปรากฏควันลอยฟุ้ง พวกเจ้ามาทำสงครามหรือมากินข้าวกลางป่ากันแน่ ?

ไป๋ยู่เหลียนขมวดคิ้วเข้าหากันพลางคิดในใจว่าคนพวกนี้จะรอให้ถึงยามราตรีแล้วค่อยโจมตีเยี่ยงนั้นหรือ ?

ตาเฒ่าสั่งให้ทหารขุดหลุมก่อไฟทำอาหาร เมื่อกินอิ่มแล้วค่อยว่ากันสินะ

ทหารดาบเทวะกองพลที่หนึ่งถึงกองพลที่สี่เดินทางมาถึงสนามรบที่นัดหมายไว้เรียบร้อยแล้ว ผู้บัญชาการทั้งสี่ก็ได้หยุดชะงักงันเช่นกัน นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่ ?

ท่านแม่ทัพไป๋ออกคำสั่งต่อพวกตนว่าเมื่อศัตรูเริ่มการต่อสู้ พวกเขาค่อยเข้าโจมตี แต่ดูจากสถานการณ์มันมิถูกต้องสักเท่าใดนัก !

ผู้คนจำนวนมากราวกับฝูงมดหยุดอยู่ที่ริมแม่น้ำเซียวและคล้ายกำลังทำอาหาร แล้วพวกตนควรจะทำเยี่ยงไรต่อไปดีเล่า ?

เดินทางมาตั้งไกล บัดนี้เหล่าทหารจึงเริ่มหิวแล้วเช่นกัน เช่นนั้นพวกเราก็มาทำอาหารบ้างเถิด

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ ณ เซียวเหอหยวนเกิดภาพน่าประหลาดใจขึ้นมา

ทหารจากสามกองทัพดำรงอยู่ในความสงบมิเข้าต่อสู้กัน !

ควันไฟลอยฟุ้งอีกทั้งยังมีกลิ่นหอมของอาหารลอยมาท่ามกลางสายลม

เมื่อทหารดาบเทวะกองทัพที่หนึ่งเดินทางมาถึงสถานที่แห่งนี้ก็ตกตะลึงงันเช่นกัน

เดิมทีพวกเขาคาดว่าจะได้เห็นฉากต่อสู้อย่างดุเดือด พวกเขาจึงรีบเร่งมาอย่างมิหยุดพัก แต่ละนายอยู่ในอารามเหนื่อยหอบแต่คาดมิถึงว่าจะมิมีสิ่งใดเกิดขึ้นเลย

เกิดอันใดขึ้นกันแน่ ?

เฉินป๋อส่งหน่วยสอดแนมไปที่ทหารดาบเทวะกองพลที่หนึ่งของกองทัพที่สอง เมื่อเอ่ยถามถึงสถานการณ์แล้ว จึงได้รู้ว่าพวกเขาเองก็มิเข้าใจเช่นกัน เนื่องจากไป๋ยู่เหลียนสั่งให้พวกเขาหยุดพักก่อน

เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน “เอาล่ะพี่น้อง พวกเราหยุดพักผ่อนกันที่นี่ก่อนเถิด ขุดหลุมก่อไฟทำอาหารได้ ! ”

ดังนั้น ณ เซียวเหอหยวนจึงมีกองไฟสี่กองจุดขึ้นจนควันโขมง

ส่วนกลุ่มนิรนามจำนวนหกพันคนที่อยู่ปีกข้างของกองทัพทหารดาบเทวะกองที่หนึ่งก็ได้เดินทางมาถึงแล้วเช่นกัน พวกเขาคือนักรบส่วนพระองค์ของแคว้นอี๋ที่เยียนเหลียงเจ๋อส่งมาสังหารฟู่เสี่ยวกวน

โดยมีเทพหงจงแห่งยุทธภพเหนือของแคว้นอี๋เป็นผู้นำ โดยติดตามมาตั้งแต่ที่ด่านภูเขาเยี่ยนจนถึงที่นี่

หงจงมองออกไปยังสถานที่ห่างไกล เดิมทีเขาวางแผนว่าจะรอให้ทหารดาบเทวะเปิดศึกกับชาวฮวงเสียก่อน เมื่อถึงเวลานั้นเขาจะนำชาวบู๊ลิ้มทั้งหกพันคนบุกเข้าไปในค่ายแม่ทัพและสังหารฟู่เสี่ยวกวนเสีย จากนั้นก็รีบเดินทางจากไปอย่างรวดเร็ว

ทว่าบัดนี้…ทหารชาวฮวงอยู่ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำ และทหารดาบเทวะก็อยู่เบื้องหน้านี้ เหตุใดพวกมันจึงมิสู้กันเล่า ?

พวกเจ้ารีบสู้กันสิ !

กลิ่นนั้นช่างหอมเย้ายวนเสียจริง !

โธ่เว้ย !

หงจงรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันใด เจ้าคนพวกนี้นำอาหารน่าทานติดตัวมาด้วยเยี่ยงนั้นหรือ !

พวกเจ้ามาออกรบมิใช่หรือ !

ในกระเป๋าของข้ามีเพียงอาหารแห้ง ๆ แข็ง ๆ เท่านั้น

“หยุดพักผ่อนก่อน…กินข้าวได้ ! ”

ทว่าสิ่งที่เขามิรู้ก็คือทหารดาบเทวะกองทัพที่สองกองพลที่ห้าได้รับคำสั่งจากไป๋ยู่เหลียนว่าให้เข้าล้อมนักรบนิรนามนี้เอาไว้ !

ฟู่เสี่ยวกวนอยู่ในกองทัพที่หนึ่ง ไป๋ยู่เหลียนย่อมรู้สึกมิวางใจสักเท่าใดนัก เยี่ยงไรเสียบัดนี้ก็อยู่ว่าง ๆ มิสู้จัดการ 6,000 คนนี้ก่อนเล่า !

เมื่อพานชู่หยางผู้บัญชาการกองพลที่ห้านำทหารจำนวน 10,000 นายอ้อมเข้ามาทางด้านหลังของพวกบู๊ลิ้มนิรนาม จึงทำให้หงจงตื่นตกใจเสียจนสะดุ้งโหยง !

พวกเจ้ามาสู้กับชาวฮวงมิใช่หรือ เหตุใดถึงเอาดาบมาจ่อข้าเยี่ยงนี้เล่า ?

ต่อให้เป็นทหารดาบเทวะแล้วเยี่ยงไร ?

พวกข้าเป็นถึงชาวยุทธเชียวนะ !

“พี่น้องทุกคน สังหารพวกมันให้สิ้นซาก ! ” หงจงตะโกนออกมาเสียงดัง จากนั้นก็ชักกระบี่ออกมาก่อนจะลอยตัวขึ้นกลางอากาศ

‘ปัง… ! ’

‘ปัง ปัง ปัง ปัง…’

เสียงปืนดังกระหน่ำอย่างดุเดือด ชาวยุทธค่อย ๆ ร่วงหล่นลงจากท้องนภาทีละคน หงจงถูกยิงเข้าที่ไหล่หนึ่งนัด เขาสูดลมหายใจเข้าลึกด้วยความรู้สึกเจ็บปวด ทว่ายังคงพุ่งตัวเข้าไปหาคนที่มีมาดเหมือนผู้บัญชาการ

“ไปตายเสีย… ! ”

หงจงตะโกนออกมาเสียงดังลั่น กระบี่ในมือส่องประกายแวววับ และเมื่อมันฟาดฟันลงไปแล้ว อีกฝ่ายต้องจบเห่อย่างแน่นอน

ดังนั้นเขาจึงอ้าปากกว้างและพบว่าฝ่ายตรงข้ามกำลังฉีกยิ้ม จากนั้นก็ใช้หมัดต่อยเข้ามาที่กระบี่ของเขาทันที

“ข้ามิได้ออกแรงมานานแล้ว ! ”

ผู้มีความสามารถระดับแนวหน้าเยี่ยงพานชู่หยางใช้หมัดต่อยไปยังกระบี่ในมือของหงจง

‘พลั่ก… ! ’ เสียงกระบี่ของหงจงลอยออกไป ส่วนพานชู่หยางถอยหลังออกไปสองสามก้าว

“อ่า…ตาเฒ่านี่มิเลว เช่นนั้นก็มารับหมัดของข้าอีกสักที ! ”

ขาทั้งสองข้างของพานชูหยางย่อลง จากนั้นก็ยืดขึ้นแล้วพุ่งตัวขึ้นไปทางหงจงราวกับลูกกระสุน แขนขวาหดลงท่ามกลางอากาศหลังจากนั้นก็ปล่อยหมัดออกไป !

หงจงหรี่ตามอง บัดซบ ! ข้าอุตส่าห์หลับตาคลำหาคู่ต่อสู้ แต่กลับเจอยอดฝีมือเสียได้ !

ในมือหงจงไร้กระบี่แล้ว อีกทั้งแขนขวาก็ได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงยกแขนซ้ายขึ้นแล้วต่อยออกไปเบา ๆ

แรงหมัดของพานชูหยางอัดเข้าใส่หงจงจนกระเด็นออกไป และตามด้วยทหารนายหนึ่งที่ยกปืนขึ้นเล็ง

‘ปัง… ! ’ กระสุนทะลุเข้ากลางหัวใจของหงจง

เวลาผ่านไปเพียงชั่วครู่เท่านั้น แต่สงครามนี้ก็ได้สิ้นสุดลงแล้ว

พานชู่หยางเบ้ปากจากนั้นก็รีบสั่งการทันทีว่า “กลับ ! ”

การต่อสู้เมื่อครู่ ได้ดึงดูดความสนใจของท่าป๋าหยูมิน้อย

เขาหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นมองพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ปืนคาบศิลาเยี่ยงนั้นหรือ เป็นทหารดาบเทวะจริงด้วย

เพียงแต่ว่า…ผู้ที่โดนยิงตายเมื่อครู่มาจากกองทัพใดเล่า ?

เขาคิดเยี่ยงไรก็คิดมิตก จึงวางกล้องส่องทางไกลลง จากนั้นก็ลงมือทานอาหารพลางเอ่ยกับหลานชายว่า “เจ้าดูเถิด ฝ่ายตรงข้ามเริ่มทนมิไหวแล้ว”

ท่าป๋าชิงก็ได้เห็นการต่อสู้เมื่อครู่เช่นกัน เขาขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถามว่า “พวกเราจะอยู่เฉยเช่นนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”

“อยู่เฉยมิดีหรือเยี่ยงไร ? กินข้าวก่อนเถิด อย่ารีบร้อนไปเลย ! ”

ท่าป๋าชิงหันหลังกลับไปมอง จากนั้นก็ยกชามข้าวขึ้นมากินพลางคิดอยู่ในใจว่า…บัดนี้ที่ฮวงถิงว่างเปล่า หากศัตรูส่งกองทัพลอบเข้าโจมตีฮวงถิงแล้วล่ะก็… !