บทที่ 441.1 ยามที่หิมะตกลงมาอีกปี

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ภายใต้แสงอาทิตย์อัสดงของวันนี้ บนท้องฟ้าประดับประดาด้วยจุดลายปลาหลีสีทองระยิบระยับ ราวกับว่ามีปลาหลีสีทองขนาดมหึมาตัวหนึ่งว่ายสะบัดหางอยู่บนม่านฟ้า คนบนโลกไม่เคยได้เห็นร่างทั้งหมดของมัน

ผู้ดูแลหลักห้องตกปลาของเกาะชิงเสียคือผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรที่มีความอาวุโสมากคนหนึ่ง เขาพาเด็กหนุ่มท่าทางขลาดกลัวคนหนึ่งลงจากเรือขึ้นฝั่ง เดินตรงไปยังประตูภูเขาด้วยตัวเอง

ผู้ฝึกลมปราณของห้องตกปลาเกาะชิงเสียมีความคล้ายคลึงกับหน่วยจานกานของราชวงศ์ต้าหลี ผู้ฝึกตนเฒ่ามีนามว่าจางเย่ (ตัวอักษรเย่ของชื่อนี้แปลว่าลักยิ้ม) เป็นชื่อประหลาดที่แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายของอิสตรีอย่างหนึ่ง แต่เขากลับเป็นคนสนิทที่แท้จริงของสกัดคงคาเจินจวินหลิวจื้อเม่า จางเย่คือผู้ฝึกตนที่ติดตามหลิวจื้อเม่าก่อนใครเพียงหนึ่งเดียวไม่ใช่หนึ่งใน ตอนนั้นหลิวจื้อเม่ายังเป็นแค่ผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตชมมหาสมุทร ทว่าจางเย่กลับมีชาติกำเนิดมาจากเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่แท้จริง อีกทั้งตอนนั้นก็ยังเป็นขอบเขตชมมหาสมุทรแล้วด้วย เรื่องราวภายในระหว่างพวกเขา คนรุ่นอาวุโสของเกาะชิงเสียสามารถเอามาเล่าในวงเหล้าได้หลายมื้อ

เด็กหนุ่มมีชื่อว่าเจิงเย่ คือต้นกล้าที่ดีที่เพิ่งถูกขุดออกมาจากเกาะเหมาเยว่ เกิดมาก็เหมาะกับการเป็นผู้ฝึกตนผี แต่คุณสมบัติที่ดีไม่ได้หมายความว่าจะสามารถมีอนาคตที่ดีอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน หากไม่มีห้องตกปลาของเกาะชิงเสียยื่นเท้าเข้าแทรก เด็กหนุ่มเจิงเย่จะต้องถูกเจ้าเกาะเอามาเป็นอาหารเลี้ยงวิญญาณและบ่มเพาะให้เป็นทารกผี ช่วงแรกเริ่มขอบเขตของเด็กหนุ่มจะต้องทะยานพันลี้ภายในวันเดียว ราวกับว่ากลายเป็นลูกรักแห่งสวรรค์ที่เกาะเหมาเยว่ทุ่มเทแรงกายแรงใจอบรมปลูกฝัง แต่ในความเป็นจริงแล้ว วันที่เจิงเย่เลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตกลางจะต้องถูกกรีดจิตลอกวิญญาณ ถึงเวลานั้นเด็กหนุ่มจึงจะรู้ว่าอะไรที่เรียกว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด

จางเย่คือผู้ฝึกตนที่มีนิสัยเงียบขรึมพูดน้อย อันที่จริงไม่ค่อยชอบคุยกับใครนานนัก ต่อให้อยู่กับหลิวจื้อเม่า จางเย่ก็ยังพูดไม่มาก เพียงแต่ว่านี่เป็นเรื่องสำคัญจึงจำต้องเปิดปากเอ่ยเตือนอีกครั้ง “เจิงเย่ ท่านเฉินผู้ถวายงานของพวกเราคนนั้น เจ้าเองก็คงเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับเขามาบ้างไม่มากก็น้อย เขาคือบุคคลยิ่งใหญ่ที่ร้ายกาจมากคนหนึ่ง ตอนนี้เขาพักอยู่ใกล้กับประตูภูเขา อีกเดี๋ยวถ้าเจ้าได้พบท่านเฉินแล้วไม่ต้องจงใจพูดถึงแต่เรื่องดีๆ แทนข้าและเกาะชิงเสีย ทุกอย่างให้พูดไปตามความจริง ตอนอยู่เกาะเหมาเยว่ เจ้าเองก็เคยได้ยินแผนการที่อาจารย์และบรรพจารย์ของเจ้าเล่าให้ข้าฟังอย่างตรงไปตรงมากับหูตัวเองมาก่อน ดังนั้นชีวิตน้อยๆ นี้ของเจ้า หากสืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว อันที่จริงก็ถือว่าเป็นท่านเฉินที่ช่วยเอาไว้ อีกอย่างข้ารู้ว่าเจ้ากังวลเรื่องอะไร คิดว่าเพิ่งจะออกจากบ่อมังกรก็ต้องมาเข้าถ้ำพยัคฆ์อีกแล้วใช่ไหม? ข้าจะบอกกับเจ้าตามตรงก็แล้วกัน ท่านเฉินผู้นี้ไม่มีทางทำร้ายเจ้าแน่นอน เจ้าอยู่ที่เกาะเหมาเยว่มีแต่จะตายอย่างอเนจอนาถ แต่เมื่อมาอยู่เกาะชิงเสียของพวกเรากลับกลายเป็นโชควาสนาในการฝึกตนที่แท้จริง บอกตามตรง แม้แต่ข้าก็ยังอิจฉาเจ้า ในถ้ำสถิตตระกูลเซียน ต่อให้เป็นพวกเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่ได้รับสืบทอดจากศาลบรรพชนก็ไม่มีทางจะโชคดีอย่างเจ้า”

เจิงเย่นิสัยอ่อนแอขี้ขลาด ตอนอยู่เกาะเหมาเยว่ก็ตกใจจนอกสั่นขวัญหาย แล้วยังถูกอาจารย์ทำให้เสียใจอย่างสุดซึ้งมาก่อน ตอนนี้จิตใจจึงยังไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ได้แต่พยักหน้ารับอย่างต่อเนื่อง คิดว่าต่อให้สถานการณ์เลวร้ายแค่ไหนก็คงไม่เลวร้ายเท่าที่เกาะเหมาเยว่แล้ว

จางเย่เงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยเนิบช้าว่า “เพียงแต่ว่าเมื่อเจริญก้าวหน้าแล้วก็อย่าลืมกำพืดของตัวเอง ถึงอย่างไรก็เป็นเกาะชิงเสียของพวกเราที่กระชากเจ้าขึ้นมาจากหลุมไฟ วันหน้าไม่ว่าได้ไปเสวยสุขอยู่กับท่านเฉินที่ไหน ก็ยังต้องนึกถึงบุญคุณช่วยชีวิตของเกาะชิงเสียเราบ้าง เจิงเย่ เจ้าคิดว่าอย่างไร?”

เจิงเย่กลืนน้ำลาย “ข้าทราบแล้ว ข้าจะไม่มีทางลืมพระคุณยิ่งใหญ่ของท่านผู้เฒ่าเทพเซียนเด็ดขาด”

จางเย่คลี่ยิ้ม “คำพูดเหล่านี้ ข้าจะรับฟังเจ้าพูดแค่ครั้งเดียว วันหน้าเก็บไว้ในใจก็พอ ไม่ต้องคอยพร่ำพูดถึง พูดไปพูดมาก็เหมือนกับเหล้าหนึ่งไห วันนี้หนึ่งคำ พรุ่งนี้หนึ่งอึก ไม่นานก็เหลือติดก้นไห ในใจไม่เห็นเป็นสำคัญ”

เจิงเย่เป็นเพียงเด็กกำพร้าคนหนึ่งที่ปีนั้นอาจารย์พากลับมาจากตลาดแคว้นสือหาว อาจารย์ของเขาตาถั่ว แค่มองเบาะแสออกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น กลับเป็นบรรพจารย์ขอบเขตประตูมังกรของเกาะเหมาเยว่เสียอีกที่สายตาเฉียบคม มองปราดเดียวก็เห็นไปถึงฐานกระดูกที่หาได้ยากของเจิงเย่ วางแผนไว้ว่าจะใช้เวทลับวิชาผีที่ชั่วร้ายควักเอาพลังต้นกำเนิดและฐานกระดูกของเจิงเย่ออกมา บ่มเพาะให้กลายเป็นภูตผีวิญญาณหยินห้าขอบเขตกลางสามตน ก่อนหน้านี้บรรพจารย์เกาะเหมาเยว่ได้พูดกับเจิงเย่อย่างตรงไปตรงมาว่า หากตนมีรากฐานได้อย่างเกาะชิงเสียก็คงไม่มีทางสูบบ่อน้ำให้แห้งเพื่อจับปลาเช่นนี้ เพราะไม่แน่ว่าเจิงเย่อาจเติบโตกลายมาเป็นเซียนดินโอสถทองคนแรกของเกาะเหมาเยว่ แต่พวกเขาไม่มีเงินเทพเซียนมากมายขนาดนั้นให้นำมาย่ำยีจริงๆ

เจิงเย่ที่ได้ฟังเสียววาบไปทั้งสันหลัง

อะไรที่ควรพูดควรทำก็พูดและทำไปพอสมควรแล้ว จางเย่จึงพาเจิงเย่มาที่นอกประตู แล้วเคาะประตูเบาๆ “ท่านเฉิน พาคนที่เหมาะสมมาให้ท่านแล้ว”

ในหัวใจของเจิงเย่พลันเกิดความหวาดกลัวมหาศาลขุมหนึ่งทะลักขึ้นมา ประหนึ่งถูกกระแสน้ำขึ้นโถมทับ สองขาอ่อนเปลี้ย

ก็เหมือนที่เทพเซียนผู้เฒ่าคนนั้นกล่าวไว้ เขาจะไม่กลัวว่าได้ออกจากหลุมไฟแล้วต้องกระโดดลงไปในกระทะน้ำมันอีกใบหนึ่งได้อย่างไร?

จากนั้นเด็กหนุ่มเจิงเย่ก็ได้พบบุรุษที่ชื่อว่าเฉินผิงอันเป็นครั้งแรกในชีวิต

ประตูห้องถูกเปิดออก

แม้ว่าเจิงเย่จะเพิ่งอายุสิบสี่ปี แต่เรือนกายกลับสูงใหญ่ไม่แพ้บุรุษฉกรรจ์คนใด ดังนั้นไม่จำเป็นต้องแหงนหน้าก็มองเห็นรูปโฉมของบุรุษผู้นั้นได้อย่างชัดเจน

คนผู้นั้นสวมชุดผ้าฝ้ายหนาหนักสีเขียว บนศีรษะปักปิ่นหยกสีขาว เรือนกายสูงเพรียว ใบหน้าผอมตอบ

ทั้งไม่เหมือนเทพเซียนผู้เฒ่าอย่างจางเย่ แล้วก็ไม่เหมือนคุณชายผู้สูงศักดิ์อย่างลวี่ไช่ซาง หยวนหยวน

แล้วคนผู้นั้นก็ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “สวัสดี ข้าชื่อเฉินผิงอัน เจ้าล่ะ?”

เจิงเย่อยากพูด แต่ร่างทั้งร่างของเขากลับเกร็งขมึง แขนขาทั้งสี่แข็งทื่อ ริมฝีปากขยับเบาๆ อึ้งอยู่นานก็ยังพูดไม่ออกแม้แต่ครึ่งคำ

จางเย่รู้สึกระอาใจเล็กน้อย ได้แต่ตอบคำถามของนักบัญชีท่านนั้นแทนเจ้าคนที่อึ้งงันเป็นไก่ไม้ไปแล้วผู้นี้ “ท่านเฉิน เขาชื่อเจิงเย่ เย่จากเย่ถิงที่แปลว่าเรือนข้างในวัง คือคนน่าสงสารที่ข้าดึงตัวมาจากเกาะเหมาเยว่ สอดคล้องกับความต้องการของท่านเฉิน ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติหรือฐานกระดูกก็ล้วนเหมาะแก่การฝึกตนวิถีผีมาตั้งแต่เกิด คือตัวเลือกแรกในการให้วัตถุหยินและภูตผีเข้าสิงร่าง หากทั้งสองฝ่ายเดินอยู่ในโลกคนเป็น ไม่เพียงแต่ไม่เผาผลาญพลังต้นกำเนิดของเด็กหนุ่ม กลับยังจะช่วยในด้านการฝึกตนของเขาด้วย”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ แล้วจึงหันไปยิ้มให้เจิงเย่ “ข้าพอจะรู้วิชาชั่งน้ำหนักนอกรีตอยู่บ้าง เจ้าแค่ยืนให้ดี ข้าจะลองดูว่าปราณกระดูกของเจ้าหนักแค่ไหน”

เจิงเย่ยืนอึ้งอยู่ที่เดิม ไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง

เฉินผิงอันจึงยังไม่ได้ลงมือ

จางเย่ตบเจิงเย่เบาๆ ยิ้มกล่าวว่า “พูดไม่ได้แล้ว คราวนี้แม้แต่พยักหน้ารับก็ยังทำไม่เป็นงั้นหรือ?”

เจิงเย่ที่ถูกจางเย่ตบไหล่ ในที่สุดวิญญาณก็กลับเข้าร่าง พยักหน้ารับอย่างแรง

เฉินผิงอันจับไหล่ของเด็กหนุ่มยกขึ้นเบาๆ ปลายเท้าของเจิงเย่เขย่งขึ้น แต่กลับไม่ลอยพ้นจากพื้น

เฉินผิงอันปล่อยมือแล้วพยักหน้า “ไม่ได้หนักมากเป็นพิเศษ หลังจากนี้ข้าจะคอยสังเกตสัญญาณจากจิตวิญญาณของเจ้า หากมีอะไรที่ไม่ถูกต้องก็จะไม่มีทางให้เจ้าฝืนทำเด็ดขาด”

เจิงเย่ยังคงไม่เอ่ยอะไร เป็นเพราะไม่กล้าพูด แล้วก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรด้วย

ราวกับว่าวิญญาณหลุดออกจากร่างไปแล้ว

ถึงอย่างไรตอนที่อยู่บนเกาะเหมาเยว่ซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความอึมครึม ก่อนที่บรรพจารย์จะหมายตาในฐานกระดูกของเขา เขาก็ได้ถูกลูกศิษย์ฝ่ายในกลุ่มนั้นรังแกมาจนชินแล้ว พอต้องมาอยู่ต่อหน้าเทพเซียนผู้เฒ่าที่สูงส่งเหนือผู้ใดของเกาะชิงเสียอย่างจางเย่ รวมไปถึงเทพเซียนหนุ่มที่ดูเหมือนว่าจะร้ายกาจกว่าเทพเซียนผู้เฒ่าคนนี้ ไม่ได้ขอให้คนช่วยประคองไว้ก็ถือว่าเป็นความพยายามที่ใหญ่ที่สุดของเจิงเย่แล้ว

จางเย่กล่าวอย่างระอาใจ “ท่านเฉิน นิสัยของเด็กหนุ่มผู้นี้แย่ไปหน่อยหรือไม่? ไม่อย่างนั้นให้ข้าไปหามาใหม่จากรอบๆ ทะเลสาบซูเจี่ยนดีไหม?”

อันที่จริงเฉินผิงอันคอยสังเกตสีหน้าและแววตาของเจิงเย่อยู่ตลอดเวลา ได้ยินประโยคนี้ก็ส่ายหน้ายิ้ม “ไม่เป็นไร ข้ารู้สึกว่าเขาไม่เลวเลย”

จางเย่ผ่อนลมหายใจโล่งอก ถือว่าทำงานที่ได้รับมอบหมายสำเร็จแล้ว

ทางฝั่งของเกาะเหมาเยว่ไม่กล้าเป็นสิงโตที่อ้าปากกว้างเขมือบอาหาร แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ยกให้เปล่าๆ นี่ก็คือกฎที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรของทะเลสาบซูเจี่ยน หากคนของเกาะชิงเสียบุกขึ้นเกาะไปแย่งชิงมา แม้แต่เกาะเหมาเยว่ก็คงถูกฮุบกลืนไปพร้อมกัน ถึงเวลานั้นอย่าว่าแต่เจิงเย่เลย ทุกคนและทรัพย์สินทั้งหมดบนเกาะเหมาเยว่ก็จะต้องถูกยึดไปเปล่าๆ แต่ในเมื่อเกาะชิงเสียเลือกที่จะใช้วิธีหาเงินอย่างปรองดอง ก็ต้องทำให้เหมือนคนที่ทำการค้า ดังนั้นหลังจากที่เกาะเหมาเยว่เปิดปากบอกราคาที่นับว่าค่อนข้างยุติธรรม จางเย่จึงไม่ได้ต่อรองขอลดราคา แต่จ่ายเงินเทพเซียนก้อนนั้นออกไปโดยตรง

สำหรับเรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับเฉินผิงอัน เขาถามว่า “ทางเกาะเหมาเยว่เสนอราคาเป็นอะไร?”

จางเย่ลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนเอ่ยเนิบช้าว่า “ตามคำบอกของบรรพจารย์เกาะเหมาเยว่ สิ่งที่เรียกร้องจึงไม่ได้ผิดไปจากเดิมสักเท่าไหร่ ทารกผีและวิญญาณหยินที่เจิงเย่ฟูมฟักออกมาได้ในท้ายที่สุดอย่างละหนึ่ง ภายในยี่สิบปี อย่างน้อยก็เทียบเท่าได้กับผู้ฝึกตนขอบเขตถ้ำสถิตสองคน และเมื่อหักต้นทุนในการอบรมปลูกฝังเจิงเย่ให้เป็นห้าขอบเขตกลางออกไปแล้ว เกาะเหมาเยว่จึงเปิดราคามาที่สิบเหรียญเงินฝนธัญพืช”

เฉินผิงอันครุ่นคิด “เมื่อมาถึงข้า ยังต้องบวกค่าลงแรงของผู้อาวุโสจางและทุกคนของห้องตกปลาเกาะชิงเสียด้วย ถ้าอย่างนั้นก็คิดเป็นเงินฝนธัญพืชสิบห้าเหรียญ ลงบัญชีของเกาะชิงเสียไว้ก่อน เดี๋ยวข้าค่อยจ่ายทีเดียวพร้อมกับค่าใช้จ่ายอื่นๆ”

จางเย่พยักหน้ารับ “ไม่มีปัญหา”

มารร้ายกู้ช่านของฝั่งตัวเองก็ดี ลวี่ไช่ซางแห่งเกาะกู่หมิงหรือหยวนหยวนแห่งเกาะหวงหลีก็ช่าง เด็กรุ่นหลังอายุน้อยที่เก่งกาจที่สุดกลุ่มนี้ล้วนไม่ค่อยเหมือนกับผู้ฝึกตนอิสระรุ่นอาวุโสของทะเลสาบซูเจี่ยนสักเท่าไหร่ แต่ละคนเห็นเรื่องการแหกกฎเป็นความบันเทิง ใช้สิ่งนี้มาเป็นต้นทุนในการสร้างชื่อเสียงเพื่อรวบรวมผูกมัดใจคน

จางเย่ไม่กล้าพูดว่าสิ่งที่พวกเขาทำนั้นผิด เพราะเวลาพบเจอกับเจ้าลูกกระต่ายกลุ่มนี้ เขาจางเย่ก็ยังต้องส่งยิ้มให้ แต่ถึงอย่างไรลึกๆ ในใจของจางเย่ก็ไม่ใคร่จะชอบใจนัก

เพียงแต่ว่ากลุ่มคนหนุ่มที่ตอนนี้ไม่ว่ากฎเกณฑ์อะไรก็ไม่สนกลับดูเหมือนจะคลุกคลีใช้ชีวิตอยู่ได้ดียิ่งกว่า นี่ทำให้ผู้เฒ่าแห่งทะเลสาบซูเจี่ยนอย่างจางเย่รู้สึกจนใจเล็กน้อย

ดังนั้นการกระทำเช่นนี้ของเฉินผิงอันจึงทำให้จางเย่รู้สึกดีกับเขา

ไม่อย่างนั้นด้วยชื่อเสียงบารมีที่คนผู้นี้สะสมไว้ในทะเลสาบซูเจี่ยน ต่อให้เขาจะไม่ยอมควักเงินฝนธัญพืชเลยแม้แต่เหรียญเดียว เขาจางเย่และเกาะชิงเสียก็ยังต้องฝืนใจอดกลั้นไว้อยู่ดีไม่ใช่หรือ?

เพียงแต่ว่าความรู้สึกดีน้อยนิดแค่นี้ก็เอามาใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้อยู่ดี

พอคิดมาถึงตรงนี้ จางเย่ก็ยิ่งหงุดหงิด ด้วยรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง แต่กลับคิดไม่ออกว่าไม่ถูกต้องตรงไหน

ทะเลสาบซูเจี่ยนก็เป็นเช่นนี้

เขาคือผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรที่ไร้ความหวังบนมหามรรคา สร้างโอสถก็ยิ่งไม่ต้องเพ้อฝันแล้ว หลิวจื้อเม่าเองก็ทำเรื่องทุกอย่างที่ควรทำไปหมดแล้ว แสดงน้ำใจและคุณธรรมแก่เขาจนหมดสิ้น ในทะเลสาบซูเจี่ยนที่ผู้คนฮึกเหิมเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาแห่งนี้ จางเย่จึงไม่ต่างจากคนแก่ในหมู่ชาวบ้านที่เป็นดั่งแสงเทียนริบหรี่กลางสายลม และเมื่อเปรียบเทียบกับคนธรรมดาแล้ว ผู้ฝึกตนย่อมมีความรู้สึกและสัมผัสที่เฉียบคมต่อความเสื่อมโทรมของร่างกาย ความโรยราของจิตวิญญาณตัวเองดียิ่งกว่าใคร ความรู้สึกของคนใกล้ตายที่ราวกับว่าค่อยๆ ถูกฝังลึกลงไปในดินทีละชุ่นทีละชุ่นเช่นนั้น หากจางเย่ไม่ใช่คนที่จิตใจกว้างขวาง นิสัยไม่สุดโต่งและสุดขั้วเกินไป ป่านนี้ก็คงทำอะไรบางอย่างที่บ้าคลั่งและเสียสติไปแล้ว ถึงอย่างไรที่นี่ก็คือทะเลสาบซูเจี่ยนที่ผู้คนสามารถกระทำการชั่วช้าได้โดยไม่ต้องเกรงใจใคร แต่หากกระทำดีเมื่อไหร่ก็เท่ากับรนหาที่ตายอยู่แล้ว คิดจะหาวิธีระบายความอัดอั้นก็มีถมเถไป

เด็กหนุ่มเจิงเย่จึงได้พักอยู่บนเกาะชิงเสียเช่นนี้

อยู่ในห้องติดกับเฉินผิงอัน

เมื่อเด็กหนุ่มจากเกาะเหมาเยว่ปิดประตูลง นั่งลงบนเตียง เขาก็รู้สึกราวกับอยู่คนละโลก

เขานอนไม่หลับเลยตลอดทั้งคืน กว่าจะสะลึมสะลือหลับได้ก็หลับไปถึงสายโด่งของวันที่สองกว่าจะตื่น พอเจิงเย่ลืมตาขึ้นแล้วเห็นว่าตัวเองอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ใบหน้าของเขาก็เลื่อนลอย เป็นนานกว่าจะจำได้ว่าตอนนี้ตัวเองไม่ใช่ผู้ฝึกตนของเกาะเหมาเยว่อีกแล้ว คิดไปคิดมาก็พยายามปลุกความกล้าให้ตนเองอย่างต่อเนื่อง ผลกลับกลายเป็นว่าเพิ่งจะเดินออกจากห้องก็เห็นคนผู้หนึ่งที่สวมชุดหม่างสีหมึกนั่งแทะเมล็ดแตงอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กหน้าประตูห้องที่อยู่ติดกัน และอีกฝ่ายก็กำลังหันหน้ามามองเขา

—–