“ใช่…แต่แน่นอนว่าวิธีนี้ก็อาจไม่ได้ผล อย่างไรก็ตามมันเป็นวิธีการที่ง่ายที่สุดและเป็นไปได้มากที่สุด” จางลี่เฉินนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ขณะที่แสงไฟพุ่งผ่านดวงตาของเขาไปเขาก็พยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดนั้น “เป็นความคิดที่ไม่เลว ถึงอย่างไรมันก็ดีกว่าการขับวนไปมารอบ ๆ มหาสมุทร คุณช่วยไปบอกความคิดเห็นของคุณกับกัปตันจะได้ไหม?”
“กัปตันคิดเรื่องนี้ได้อยู่แล้วโดยที่ผมไม่จำเป็นต้องเข้าไปเตือน ทันทีที่เรือติดอยู่กับเสาเขาก็ได้บอกผู้นำทางให้เริ่มตรวจสอบเส้นทางการเดินทางที่บันทึกไว้ในเครื่องมือทางทะเลแล้ว นอกจากนี้ปัญหาหลักที่เรามีอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่วิธีการหาทางกลับแต่จะนำเรือออกจากเสาหินเหล่านี้ได้อย่างไรต่างหาก”
โดยปกติแล้วเด็ก ๆ ในโรงเรียนมัธยมของอเมริกาจะมีภาพลักษณ์ที่ไม่ค่อยฉลาดและไม่รู้วิธีที่จะร่วมมือกันเท่าไหร่นัก แต่แทนที่พวกเขาจะดูถูกเด็กคนอื่นอย่างขำขันในการดิ้นรนเพื่อหาทางให้กับผู้อื่น ยูโดร่าคนนี้กลับแตกต่างไปจากเด็กชายคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด คำพูดของเขาเน้นไปที่ประเด็นสำคัญโดยตรงอย่างไม่อ้อมค้อม
ความประพฤติของเขาได้รับการยินยอมจากจางลี่เฉิน “ถ้าอย่างนั้นคุณมีทางออกสำหรับสิ่งนี้ไหมยูโดร่า?”
“โชคดีที่เสายักษ์ทั้ง 2 ต้นนี้ตั้งอยู่ในมหาสมุทร ความคิดของผมคือเราควรหาไม้มากองไว้ใต้เสาหินเพื่อก่อกองไฟ เมื่อกระแสน้ำลดมันจะให้ความร้อนขึ้นอย่างต่อเนื่องกับเสาหิน ตามเวลาที่น้ำขึ้นสูงด้วยหลักการของการขยายตัวที่เกิดจากความร้อนจากกองไฟและการหดตัวที่เกิดจากน้ำเย็นบวกกับแรงบิดอันทรงพลังของเรือ ก็พอเป็นไปได้ที่จะทำลายเสาหินเหล่านี้”
แม้ว่าการทำลายเสาหินที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางกว้างกว่า 10 เมตรโดยใช้หลักการของการขยายตัวทางความร้อนและการหดตัวจะดูเป็นความคิดเห็นที่แปลกประหลาดแต่ก็พอเป็นหนทางที่เป็นไปได้จริง ๆ
ใคร ๆ ก็สามารถบอกได้ว่าหากวัสดุของเสาหินนั้นทำหน้าที่นำความร้อนได้ดีก็ไม่จำเป็นต้องมีแรงบิดของอลิซาเบธ ฮอลิเดย์เข้าช่วยเลย เสายักษ์จะพังทลายลงด้วยน้ำหนักของมันเองตราบใดที่พวกมันทำการขยายตัวทางความร้อนหลายครั้งและหดตัวลงบนฐาน
“เป็นความคิดที่น่าจะเป็นไปได้!”
“กัปตันของพวกเราก็พูดแบบนั้นเหมือนกัน ฉันคิดว่าเขาน่าจะสั่งให้รวบรวมคนและมุ่งหน้าไปที่ชายฝั่งเพื่อตัดฟืนเมื่อน้ำลดในตอนกลางวัน เราควรมีท่อนไม้มาก่อไฟให้เพียงพอบนเรือ อย่างไรก็ตามจุดสำคัญในเวลานั้นก็คือชาวพื้นเมืองบนชายฝั่งที่ไม่รู้ว่าจะเป็นแบบมนุษย์กระป๋องหรือราชินีที่ชั่วร้าย”
ทั้งมนุษย์กระป๋องและราชินีชั่วร้ายต่างก็เป็นตัวละครในอลิซในแดนมหัศจรรย์ อดีตเป็นผู้ช่วยที่มีประโยชน์สำหรับตัวเอกในขณะที่ในภายหลังเป็นวายร้ายที่ยิ่งใหญ่
“หวังว่าพวกเขาจะเป็นแบบมนุษย์กระป๋อง” จู่ ๆ ชีล่าผู้ที่ไม่สนใจอะไรเลยมาตลอดเวลาก็กระซิบขึ้นมา
เมื่อเปรียบเทียบกับเด็กผู้หญิงที่ขาดความสนใจเมื่อได้ยินคำพูดของยูโดร่าแล้วจางลี่เฉินคิดถึงปัญหาที่สำคัญยิ่งกว่า การจะใช้เวลาในการทำลายเสายักษ์ในทะเลและอลิซาเบธ ฮอลิเดย์ที่แต่เดิมวางแผนที่จะแล่นเรือรอบนิวยอร์กเพียง 1 รอบทำให้มีการจัดสรรของในปริมาณที่จำกัด
เมื่อการจัดหาอาหารอยู่ในระดับต่ำฝูงชนบนเรือก็มีแนวโน้มที่จะเกิดความสับสน ในเวลานั้นแผนการทำงานร่วมกันเพื่อค้นหาไม้และเริ่มก่อกองไฟเพื่อทำลายเสาหินจะกลายเป็นเพียงเรื่องตลกไปในทันที หากจางลี่เฉินคิดเรื่องนี้ได้เองอย่างนี้โดยธรรมชาติแล้วกัปตันอลิซาเบธ ฮอลิเดย์เองก็สามารถคิดถึงเรื่องนี้ไดด้วยเช่นกัน
เมื่อรุ่งเช้ามาถึง เขาก็ลากร่างอันอ่อนล้าของเขากลับไปที่ห้องควบคุมและถามเพื่อนคนที่ 3 ที่เพิ่งนับเสบียงเสร็จว่า “แอนเจลลา เรามีอาหารเหลืออยู่เท่าไหร่?”
“เค้กฉลองที่ยังไม่หมดมีประมาณ 1,400 ปอนด์ มีไข่ 3700 ฟอง และแป้ง 1,000 ปอนด์ มันเพียงพอสำหรับคนบนเรือทั้งลำถ้าเรากินเท่าที่จำเป็น…”
“เราไม่มีเชื้อเพลิงเหลืออยู่บนเรือนัก มีเพียงโอกาสเดียวที่จะออกจากเสาหินได้ มันเป็นจุดจบอย่างไม่ต้องสงสัยถ้าเรายังคงกินอาหารของเราเท่าที่จำเป็นในเวลานี้ วางอาหารทั้งหมดไว้บนโต๊ะซะแล้วให้พวกผู้ชายทุกคนขึ้นฝั่งไปรวบรวมท่อนไม้มาให้ได้มากที่สุด อย่างไรก็ตามสำหรับผู้ชายที่ไม่เต็มใจที่จะมีส่วนร่วมในการสละพลังงานของพวกเขาก็ให้ขนมเพียง 2 ปอนด์เท่ากับพวกผู้หญิงซะ”
“เซอร์ ผมเกรงว่าการไปทำเช่นนั้นจะทำให้ทุกคนกลับมาตื่นตระหนกอีกครั้งก็ได้นะครับ!”
“มันจะไม่เป็นแบบนั้น! ตราบใดที่ยังมีโอกาสในการหนี มนุษย์ทุกคนย่อมไม่ละทิ้งความหวัง แต่ถ้าเราล้มเหลวที่จะพังเสาหินนั้นก่อนที่กระแสน้ำจะสูงขึ้น…ก็จงอธิษฐานเอาซะเถอะ หวังว่าพระเจ้าจะทรงอวยพรให้พวกเรา…” เมื่อชายชราเปล่งประโยคสุดท้ายของเขาจบแสงแรกแห่งรุ่งอรุณก็ค่อย ๆ ตัดผ่านพื้นผิวมหาสมุทรมืดขึ้นมาทีละน้อย
“รุ่งสางแล้ว! ตอนนี้รุ่งสางแล้ว! ดูนั่นพระอาทิตย์! นอกจากโลกของเราก็ไม่มีดวงอาทิตย์ที่ไหนอีกแล้ว! พวกเรา…พวกเรายังอยู่บนโลก…”
“บนโลก? นายกำลังจะบอกว่าพวกเราสามารถค้นพบทวีปใหม่ได้อย่างโคลัมบัสเพียงแค่วนเรือเป็นวงกลมรอบ ๆ นิวยอร์กงั้นเหรอ? ตั้งสติได้แล้ว! เราต้องมาอยู่ที่อีกโลกหนึ่งที่โครงสร้างคล้ายโลกเดิมทุกอย่างแม้กระทั่งพระอาทิตย์!”
“มันสว่างแล้วในตอนนี้แต่คบเพลิงยังคงอยู่ใกล้กับเรา ดูเหมือนชาวพื้นเมืองในโลกนี้จะใช้ชีวิตด้วยความเร็วที่ช้ามาก” เมื่อดวงอาทิตย์ปรากฏ ความโกลาหลก็เกิดขึ้นท่ามกลางฝูงชนที่มีความตื่นตระหนกในยามค่ำคืนจนกระทั่งพวกเขาเริ่มใจหวิวเล็กน้อย
โดยไม่มีการเตือนใด ๆ เด็กผู้ชายที่มีรูปร่างอวบใหญ่ชี้ไปที่ร่างสั้น ๆ ที่สวมใส่หนังสัตว์สีดำที่กำลังเดินออกจากป่าขณะถือคบเพลิงก่อนที่จะตะโกนดัง ๆ “ดูนั่นสิ! คนพวกนั้นตัวเตี้ยเป็นบ้า! เวรเอ้ย! นี่พวกเรามาอยู่ในดินแดนของคนแคระหรือไงกัน?”
“มันเป็นคนแคระจริงๆ! เวร! นี่เรากำลังอยู่ในโลกดันเจียนส์ & ดราก้อนหรือไงเนี่ย! อัศจรรย์มาก!”
“นั่นไม่ใช่คนแคระจากดันเจียนส์ & ดราก้อน! พวกนั้นไม่มีหนวดเครา พวกเขาเป็นแค่คนแคระธรรมดา! แต่โดยปกติแล้วอารยธรรมของคนแคระจะต้องก้าวหน้าไปอีกเล็กน้อยสิ”
“เมื่อพูดถึงระดับอารยธรรมแล้วฉันคิดว่าระดับอารยธรรมของพวกนายก็ควรจะสูงกว่านี้เหมือนกัน คนโบราณพวกนั้นไม่เข้าใจความหวาดกลัวดังนั้นอย่าบอกฉันนะว่านายเองก็ไม่เข้าใจความหวาดกลัวนี้ด้วยเช่นกัน?” เมื่อได้ยินการสนทนาที่ตื่นเต้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปของชายหนุ่มที่อยู่รอบตัวเขาพลางจ้องมองไปที่คนแคระที่ดูคล้ายกับคนที่ถูกแขวนคว่ำหัวพร้อมกับเจาะดวงตาออกมาแล้วจางลี่เฉินก็พึมพำเบา ๆ
“พวกเขาเป็นคนแคระจริงๆ! บางทีเราควรไปคุยกับพวกเขาดี ๆ พวกนั้นทั้งตัวสั้นและอ่อนแอ เพียงแค่เหลือบมองเพียงครั้งเดียวเราก็สามารถบอกได้ว่าแล้วพวกนั้นเป็นอันตรายหรือใจดี! นายไม่คิดอย่างนั้นหรอจางลี่เฉิน?”
“ผมตัวเล็กกว่าและอ่อนแอกว่าคุณมาก แต่คุณคิดหรือว่าผมจะไม่เป็นอันตรายเมื่อต้องเจอกับคนแปลกหน้าที่ผมไม่รู้ว่าเขาจะเข้ามาอย่างเพื่อนหรือศัตรู?” คำพูดของจางลี่เฉินทำให้ทีน่านิ่งเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นเมื่อเธอนึกถึงวิธีที่เขาปฏิบัติกับคนแปลกหน้าซึ่งอาจเป็นศัตรูที่ทรงพลังได้แล้วเธอก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น “ทำ…ทำไมนายถึงพูดอย่างนั้น?”
จางลี่เฉินมองดูคนแคระที่เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ ตามชายฝั่งที่กำลังตะโกนออกมาเสียงดังอย่างมีความสุขพร้อมทั้งโลดเต้นด้วยความดีใจหลังจากเงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจที่เห็นเอลิซาเบธ ฮอลิเดย์ติดอยู่ระหว่างเสาหิน เขาวางนิ้วหนึ่งนิ้วลงบนปากของเขาเพื่อทำให้ทีน่าเงียบ “อย่าถามคำถามมากมายทีน่า คุณเพียงต้องจำไว้ให้ดีว่าคนแคระเหล่านั้นเป็นอันตรายและคุณไม่ควรไปติดต่อกับพวกเขาโดยตรงเพียงลำพัง”
ภายใต้การจ้องมองของชายหนุ่ม คนแคระคนหนึ่งตะโกนอย่างตื่นเต้นก่อนที่จะคุกเข่าลงทีละคนพลางทำท่าบูชาเรือเหล็กขนาดใหญ่
“ชาวพื้นเมืองพวกนั้นกำลังคุกเข่าและโค้งคำนับต่อเรา บางทีพวกเขาอาจมองว่าเราเป็นพระเจ้าของพวกเขา! โอ้พระเจ้า นี่มันจะบ้าเกินไปแล้ว!”
“เราไม่แตกต่างไปจากพระเจ้าในสายตาของชนพื้นเมือง เราสามารถสุ่มเครื่องมือเช่นพวกไฟฉายให้พวกนั้นไปเพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ต้องเจาะไม้มาทำไฟอีกต่อไปก็ได้ เราสามารถเปลี่ยนความก้าวหน้าทางอารยธรรมทั้งหมดของพวกเขาได้!”
“อย่าพูดอย่างนั้นแจ็ค! ในฐานะที่เป็นบุคคลภายนอกเราไม่ควรคิดว่าเราเป็นคนพื้นเมืองที่เหนือกว่าชาวพื้นเมืองเหล่านั้น เราควรบอกพวกเขาว่าเราเป็นกลุ่มของผู้ประสบภัยที่ต้องการความช่วยเหลือ…”
เมื่อชายหนุ่มเห็นชาวพื้นเมืองใต้เรือโค้งคำนับพวกเขา ความหวาดกลัวในใจของพวกเขาแต่ละคนก็ลดน้อยลง ความรู้สึกที่เหนือคำบรรยายที่ไม่สามารถอธิบายได้ของพวกเขาฉายชัดอยู่ในใบหน้าในขณะที่พวกเขาพูดถึงคนแคระที่อยู่ด้านล่างของเรือ บางคนมีความตั้งใจที่จะลงเรือเพื่อโต้ตอบกับชาวพื้นเมืองบนชายฝั่ง
จางลี่เฉินจ้องมองไปที่คนแคระที่กำลังคุกเข่าและโค้งคำนับบนหาดทรายที่แหลมคมที่สามารถผ่าผ่านผิวหนังของมนุษย์ซึ่งเป็นอันตรายอย่างไม่ต้องสงสัยด้วยความมึนงง เขาอดไม่ได้ที่จะกอดเมานท์โทดไว้แน่นตัว
“เซอร์ ผมคิดว่าเราควรไปสร้างปฏิสัมพันธ์กับชาวพื้นเมืองบนชายฝั่งนะครับ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเคารพเรามาก และตราบใดที่เรายังคงมีทัศนคติที่ดีที่เป็นด้านบวกผมเชื่อว่าจะไม่มีอุบัติเหตุใด ๆ เกิดขึ้นแน่นอน” ที่ห้องควบคุมเจ้าหน้าที่ต้นเรือที่ตั้งใจจะแก้ไขความผิดพลาดของเขาแนะนำกัปตันขณะที่เขามองออกไปนอกหน้าต่างซึ่งเห็นว่าคนแคระกำลังคุกเข่าอยู่ที่ที่ชายหาดเหมือนกับถั่ว
“ฉันเคยไปเที่ยวภูเขาน้ำแข็งมาก่อนตอนที่ฉันยังเด็ก ฉันเป็นคู่ที่ 3 ที่อยู่บนเรือบรรทุกสินค้า ฉันเคยแล่นเรือจากนิวยอร์กไปคองโกและคนแคระเหล่านี้ก็ดูเหมือนชาวพื้นเมืองของชนเผ่าแอฟริกันมาก กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือความคิดของพวกเขาอาจจะแปลกประหลาดและแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงจากวิธีคิดเชิงตรรกะที่พวกเรามี ความจริงที่ว่าพวกเขาแสดงความเคารพต่อเราไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่เป็นอันตราย”
“แต่เรายังต้องไปรวบรวมคนเพื่อไปเก็บไม้บนชายฝั่งอยู่นะครับ เราต้องติดต่อกับพวกเขาหากพวกเขายังไม่ยอมไปไหน เราอาจไปกันตอนนี้…”
“รอซะ! มีความอดทนให้มากขึ้นแฮร์รี่ เมื่อถึงเวลาที่ท้องฟ้าสว่างไสวและกระแสน้ำลดหายไปหมดเราจะแยกย้ายกันออกไปทำตามหน้าที่และโต้ตอบกับพวกเขาหากยังมีคนแคระอยู่บนชายฝั่ง ให้พวกผู้ชายเตรียมขวานเพื่อความปลอดภัยและบอกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทุกนายให้เตรียมโหลดปืนให้พร้อม!”
“เยส เซอร์!” แฮร์รี่พยักหน้าก่อนที่จะวิ่งออกไปจากห้องควบคุมของเรือและบอกลูกเรือให้ลงไปเพื่อเตรียมการบางอย่าง
ในฐานะที่เป็นเรือเดินสมุทรหรู เส้นทางของอลิซาเบท ฮอลลิเดย์มักจะปลอดภัยอยู่เสมอแต่มาตรการที่จำเป็นในการป้องกันเรืออับปางก็มีความครอบคลุมมากเช่นกัน ภายใต้คำสั่งของเจ้าหน้าที่ต้นเรือ มันใช้เวลาอยู่สักครู่สำหรับลูกเรือกว่า 50 คนที่มีขวานอยู่ในมือของพวกเขาและมีการรักษาความปลอดภัยด้วยปืนยาว 10 กระบอก
ในขณะนี้คนแคระบนชายฝั่งได้โค้งคำนับเอลิซาเบธ ฮอลิเดย์มาเป็นเวลานานแล้ว บางทีพวกเขาอาจคิดว่าความจริงใจในการแสดงออกของพวกเขานั้นเพียงพอแล้วเมื่อพวกเขาเริ่มยืนขึ้นทีละคนตามผู้นำของพวกเขาที่มีขนยาว ๆ ผูกติดอยู่กับหัวพร้อมทั้งตะโกนอย่างตื่นเต้นออกมาว่า “อีย๊าาาาาา!!!!” จากนั้นพวกเขาก็วิ่งกลับเข้าไปในป่า
กัปตันถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเเห็นคนแคระวิ่งเข้าป่าไปจากทางหน้าต่าง หลังจากได้เห็นชาวพื้นเมืองคนสุดท้ายวิ่งเข้าป่าไปแล้วเขาจึงจับไมโครโฟนและประกาศเสียงดังว่า “ท่านผู้โดยสายที่มีเกียรติทุกท่าน ผมคือกัปตันฟยอดน่า ไนติงเกลแห่งเอลิซาเบธ ฮอลิเดย์ ผมคิดว่าทุกคนคงรู้อยู่แล้วว่าตอนนี้เรากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยุ่งเหยิงและค่อนข้างลำบากใจ ในฐานะกัปตัน ผมจะทำให้ดีที่สุดในการนำทุกคนออกจากสถานการณ์เช่นนี้และกลับนิวยอร์ก อย่างไรก็ตามในการทำเช่นนี้ผมก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความร่วมมือจากพวกคุณทุก ๆ คน”
หลังจากปลอบใจและสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนบนเรือเสร็จ ฟยอดน่ายังคงวิเคราะห์ถึงการเดิมพันที่มีความเสี่ยงโดยใช้วิธีการขยายตัวทางความร้อนและการหดตัวเพื่อทำลายเสายักษ์ที่พวกเขาต้องการจะทำโดยเร็วที่สุดหลังจากนั้นเขาก็เสนอให้คนบนเรือขึ้นมาเป็นอาสาสมัครเพื่อขึ้นฝั่งไปหาท่อนไม้เนื่องจากเครื่องมือที่มีอย่างจำกัด และส่วนใหญ่จะต้องไปหาท่อนไม้หรือกิ่งไม้ต่าง ๆ ได้จากส่วนภูเขาเท่านั้น
เด็กชายชาวนิวยอร์กที่ไม่เคยได้ทำอะไรมาก่อนหน้านี้ไม่ต้องการถูกล่อลวงด้วยอาหารเพื่อล่อให้พวกเขาทำงาน พวกเขาแสดงความเต็มใจด้วยความกระตือรือร้นอย่างเต็มที่ในการขึ้นฝั่งเพื่อให้อลิซาเบธ ฮอลิเดย์รอดพ้นออกจากอันตรายนี้ไปเสียที