ตอนที่ 5-3 กลิ่นแตงโมบนริมฝีปาก

จังหวะรัก นักบัลเลต์

ตอนที่ 5-3 กลิ่นแตงโมบนริมฝีปาก

 

 

 

 

หลังจากกินยากับเครื่องดื่มเกลือแร่เข้าไปพร้อมกันแล้ว ฉันก็มุดตัวกลับเข้าไปในผ้าห่มอีกครั้ง พร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือที่ปิดไปแล้วขึ้นมา สติกเกอร์ที่รุ่นพี่อีกงติดให้ยังคงส่องแสงเป็นประกายอยู่บนหน้าจอสีดำ ฉันควรจะต้องติดต่อรุ่นพี่ไป แม้จะคิดแบบนั้น แต่ฉันก็ยังลังเลที่จะใส่แบตเตอรี่กลับเข้าไปอยู่ดี 

 

 

ฉันควรจะพูดอะไรดีนะ ฉันยังไม่รู้เลยว่าจะต้องเผชิญหน้ากับรุ่นพี่อย่างไร พูดไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ไหมนะ ก่อนอื่นฉันควรจะต้องขอโทษที่ไม่ได้โผล่ไปเมื่อเช้านี้หรือเปล่านะ 

 

 

ฉันครุ่นคิดอยู่ใต้ผ้าห่มสักพัก จนสุดท้ายก็แข็งใจแล้วค่อยๆใส่แบตเตอรี่กลับเข้าไป พร้อมกับกดปุ่มเปิดเครื่อง แต่แล้วมือถือก็สั่นขึ้นมายกใหญ่ จอภาพสว่างขึ้นพร้อมกับหน้าจอที่กำลังประมวลผล ฉันที่ตกใจกับใบหน้าของเซจินที่ลอยอยู่เต็มหน้าจอ จึงเผลอกดปุ่มรับสาย ก่อนจะเอาโทรศัพท์แนบหู 

 

 

“ฮัลโหล” 

 

 

[นี่! ตายไปรึยัง ยังมีชีวิตอยู่สินะ] 

 

 

“หือ อ๋อ อื้อ…” 

 

 

[นี่ ยัยตัวดี! ถ้าเธอเป็นแบบนี้ ฉันคงได้บ้าตายก่อนเธอแน่ ทำไมไม่เปิดโทรศัพท์ไว้ล่ะ] 

 

 

“…ขอโทษ” 

 

 

เสียงตะโกนของเซจินที่ทำเอาลำโพงแทบแตก ท้ายที่สุดก็กลายมาเป็นเสียงหัวเราะ ฉันเอาผ้าขนหนูเปียกเช็ดใบหน้าที่กำลังร้อนวูบวาบ พลางฟังเสียงบ่นของเซจิน ไม่รู้ทำไม พอได้ยินแล้วมันกลับรู้สึกเพลินขึ้นมาเล็กๆ อย่างไม่มีสาเหตุ 

 

 

[รู้ไหมว่าฉันตกใจแค่ไหนตอนที่คุณป้าโทรมาน่ะ เธอนี่มันจริงๆ เลย!] 

 

 

“ขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ” 

 

 

[ช่างเถอะ! เช็คแล้วยังมีชีวิตอยู่ ก็โล่งอกไปที กินยารึยัง] 

 

 

“อือ เพิ่งกินไป” 

 

 

[เดี๋ยวซ้อมเสร็จแล้วไปหานะ นอนอยู่นิ่งๆ ล่ะ เข้าใจไหม] 

 

 

“อือ ขอบใจนะ” 

 

 

[ไม่เป็นไรน่า ขนลุกไปหมดแล้วเนี่ย เอาเถอะ นอนซะ! แค่นี้นะ] 

 

 

พอสายโทรศัพท์ตัดไป ความเงียบก็เข้าวนเวียนไปทั่วทั้งห้อง เหมือนกับจะตั้งคำถามว่ามันเคยมีเสียงดังเกิดขึ้นที่ไหนกัน ฉันเงยหน้ามองเพดานที่เหมือนจะมีสายน้ำไหลเป็นคลื่นอยู่บนนั้น ก่อนจะยิ่งรู้สึกเวียนหัวหนักกว่าเดิม จึงต้องยอมหลับตาลง 

 

 

ด้วยความตั้งใจที่จะนอนหลับตามคำพูดของเซจิน ฉันจึงนอนตัวตรงแล้วห่มผ้าห่มจนถึงต้นคอ ถึงจะเลือนรางแต่หูของฉันก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมาเบาๆ 

 

 

ด้วยสติที่เริ่มจะไกลห่างออกไป แม้ว่าจะยังอยู่ในสภาพที่หลับตาอยู่ แต่เสียงนั้นยังคงดังก้องอยู่ในหู เสียงที่แม้ว่าจะเบาแต่มันยังคงดังอย่างต่อเนื่องและรีบร้อน เหมือนกับกำลังวิ่งไล่ตามอะไรสักอย่างโดยไม่ยอมหยุด นี่มันเสียงอะไรนะ 

 

 

“…เสียงกริ่งที่บ้าน!” 

 

 

ทันใดนั้น ฉันก็ได้สติกลับมา ไม่มีใครจะมาบ้านฉันในเวลานี้นี่ ฉันพยุงตัวให้ลุกขึ้นทั้งที่ยังคงห่มผ้าอยู่ พอเดินออกไปข้างนอก ฉันก็เอามือแตะประตูทางเข้า พร้อมกับตะโกนออกไป 

 

 

“ใครคะ” 

 

 

แม้ว่าฉันจะปรับเสียงในลำคอแล้ว แต่เสียงที่ออกมายังแหบพร่าอยู่ จนทำให้ฉันยิ่งตกใจหนักเข้าไปอีก ฉันพยายามทำคอให้โล่งอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่ได้รับคำตอบใดๆ กลับมาจากอีกฝ่ายที่อยู่หลังประตูหน้าบ้านไปอยู่ดี  

 

 

ฉันเผชิญหน้ากับความเงียบอยู่สักพัก ก่อนจะทำท่าทางสงสัย แล้วหันกลับไป แต่แล้วในตอนนั้นเองเสียงที่คุ้นเคยก็ดังเข้ามาในหูเหมือนกับจะรั้งตัวฉันเอาไว้ 

 

 

“พี่เอง” 

 

 

ฉันยืนเหม่ออยู่กับที่เหมือนว่าเท้าโดนตรึงอยู่บนพื้น แล้วจึงหันกลับไปมองที่หน้าประตูบ้าน ไม่น่าเชื่อเลยว่าเสียงที่ลอดเข้ามาผ่านทางประตูเหล็กเก่าๆ นั่นจะเป็น 

 

 

“…รุ่นพี่อีกงเหรอคะ” 

 

 

ไม่มีเสียงตอบกลับอีกครั้ง วินาทีที่ฉันเอื้อมมือไปจับประตูอย่างรีบร้อนเพื่อตั้งใจจะเปิดประตูออก ฉันก็ต้องหยุดยืนนิ่ง 

 

 

รุ่นพี่ คงจะโกรธมากเลยสินะ แล้วเรื่องซ้อมล่ะ ทำไมเขาถึงมาจนถึงที่นี่ได้ นี่ฉันควรจะทำหน้าอย่างไรเวลามองหน้ารุ่นพี่ดีนะ 

 

 

ความอึดอัดที่ถาโถมเข้ามาดังคลื่นที่ซัดสาดทำให้ฉันลังเลที่จะเอื้อมมือไปจับที่เปิดประตู ฉันพยายามสัมผัสถึงอารมณ์ของรุ่นพี่ที่ยืนอยู่หลังประตูเหล็กบานนี้ 

 

 

“เปิดประตูหน่อยสิ ฮวีกยอม” 

 

 

น้ำเสียงสงบๆ ของรุ่นพี่ทำให้แน่นหน้าอกจนเจ็บแปลบขึ้นมาอีกครั้ง น้ำเสียงทุ้มต่ำที่รู้สึกแปลกหูอย่างบอกไม่ถูก ฉันกลืนน้ำลายลงคอ มือที่จับที่เปิดประตูอยู่เหมือนจะมีเหงื่อซึมออกมา 

 

 

ฉันลังเลอยู่สักพัก ก่อนที่อยู่ดีๆ จะได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดของเหล็กจากที่จับประตูอีกฝั่งหนึ่ง ด้วยความตกใจ ฉันจึงผละตัวออกมาจากประตู 

 

 

“ฮวีกยอม” 

 

 

“…” 

 

 

“คิมฮวีกยอม” 

 

 

“…” 

 

 

“ขอร้องล่ะ เปิดประตูหน่อยเถอะ” 

 

 

รุ่นพี่อีกงพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงปนเสียงถอนหายใจ ก่อนจะดึงที่เปิดประตูอีกครั้ง ฉันเลียริมฝีปากที่แห้งผาก  ก่อนจะค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ประตู 

 

 

“…โกรธเหรอคะ รุ่นพี่” 

 

 

“…” 

 

 

“ถ้ารุ่นพี่โกรธล่ะก็ ฉันขอโทษนะคะ” 

 

 

ทั้งที่ฉันอุตส่าห์เค้นความกล้าออกมาจากปลายเส้นผมเสียด้วยซ้ำ แต่รุ่นพี่ก็ยังคงไม่ยอมตอบอะไร 

 

 

“…ขอโทษนะคะ วันนี้สภาพฉันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แล้วก็… ถ้ารุ่นพี่โกรธล่ะก็ ฉันก็ต้องขอโทษด้วย แต่ฉันคงไม่กล้าเจอหน้ารุ่นพี่หรอกค่ะ” 

 

 

ฉันพยายามทำให้ขาที่สั่นเทาสงบลง พร้อมกับเอ่ยประโยคยาวๆ ออกมาอย่างไร้เรี่ยวแรง ซึ่งตามมาด้วยเสียงหายใจหอบ ที่ฉันไม่กล้าเจอหน้ารุ่นพี่นั้น ไม่ใช่เพราะตัวเองอยู่ในสภาพชุดนอนเปียกเหงื่อที่เพิ่งลุกออกมาจากที่นอน พร้อมกับผมเผ้ายุ่งเหยิงหรอก แต่ถ้าเผชิญหน้ากับรุ่นพี่ตอนนี้ ฉันกลัวว่าจะเผลอร้องไห้ออกมาอย่างไม่คิดอีกน่ะสิ 

 

 

“…ไม่โกรธหรอก” 

 

 

น้ำเสียงแหบพร่า พอได้ฟังน้ำเสียงนั้นที่เหมือนกับกำลังจมดิ่งลงไปในน้ำแล้ว ก็ยิ่งทำให้รู้สึกคอแห้งผาก 

 

 

“พี่ไม่ได้โกรธหรอก เพราะงั้นช่วยเปิดประตูทีเถอะนะ” 

 

 

“…” 

 

 

“นะ ได้โปรดเถอะ…” 

 

 

คำว่าได้โปรดของรุ่นพี่ แฝงไปด้วยน้ำเสียงที่ดูหดหู่ ฉันที่รู้สึกตื่นตระหนกกับความรีบร้อนแปลกๆ นั่นจึงค่อยๆ บิดที่เปิดประตู  

 

 

วินาทีที่หน้าผากย่นเข้าหากันโดยอัตโนมัติเพราะเสียงเอี๊ยดอ๊าดของเหล็ก ที่ประตูทางเข้าก็เต็มไปด้วยเสียงดังอึกทึกครึกโครม ฉันที่สูญเสียการทรงตัวทั้งที่ยังจับที่เปิดประตูอยู่ ถูกเงาอะไรสักอย่างทาบทับลงมาบนร่างกาย 

 

 

ร่างกายเย็นสบายแต่แข็งแกร่ง เสื้อเชิ้ตที่มีสัมผัสอันคุ้นเคย และกลิ่นอาคาเซียหอมรุนแรง 

 

 

“ระ รุ่นพี่” 

 

 

มือของรุ่นพี่อีกงที่เคยขยี้ผมอย่างรุนแรงจนแทบจะกลายเป็นรังนกกำลังวุ่นวายไปมา กลิ่นอ่อนๆ ของเหงื่อพร้อมกับกลิ่นอาคาเซียหอมกรุ่นมาจากตัวของรุ่นพี่ที่กระโจนมาอยู่เหนือตัวของฉันที่มีทีท่าว่าจะล้มลงไป ความเย็นที่รู้สึกได้จากแขนของรุ่นพี่ที่โอบรอบคอของฉันที่กำลังร้อนวูบวาบทำให้ฉันรู้สึกจั๊กจี้ ฉันทำได้เพียงแค่ยืนเหม่ออยู่ในสภาพมึนงงอย่างนั้นสักพัก 

 

 

ตึกตัก ตึกตัก ฉันรับรู้ได้ถึงการเต้นของหัวใจรุ่นพี่ที่กำลังเต้นอย่างรวดเร็ว ฉันเองก็กำลังโอบกอดเอวของรุ่นพี่โดยไม่รู้ตัว รุ่นพี่จึงยิ่งโอบคอของฉันเอาไว้แน่นยิ่งกว่าเดิม ฉันหลับตานิ่ง ใช่แล้ว นี่คือฝันแน่ๆ ฉันคงจะเผลอหลับไปเพราะพิษไข้แน่ๆ 

 

 

“ฮวีกยอม” 

 

 

เวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้วนะ เสียงของรุ่นพี่แทรกผ่านความเงียบออกมา เป็นเพราะฉันอยู่ในอ้อมกอดของรุ่นพี่ ฉันเลยมองไม่เห็นหน้าของเขา แต่มันกลับทำให้ฉันรู้สึกโล่งใจ ฉันหลับตาลงพลางพยักหน้าแทนที่จะส่งเสียงตอบออกไป 

 

 

“พี่ชอบเธอ” 

 

 

นี่เป็นบทพูดที่เคยได้ยินจากละครเรื่องไหนกันนะ ฉันเหม่อลอยพร้อมกับเริ่มขุดคุ้ยความทรงจำ มันน่าจะเป็นคำพูดที่เคยได้ยินจากที่ไหนสักแห่ง แต่ความรู้สึกมันกลับไม่คุ้นเคยเอาซะเลย อย่างกับว่าเป็นคำใหม่ที่ไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อน 

 

 

ฉันจึงอดไม่ได้ที่จะเผลอยิ้มออกมากับสถานการณ์ที่ดูไม่เหมือนจะเป็นเรื่องจริงนี้ ฉันคงจะฝันอยู่แน่ๆ แต่ทำไมถึงได้รู้สึกแจ่มแจ้งชัดเจนเหมือนกับเป็นเรื่องจริงอย่างนี้ล่ะ  

 

 

ไม่ว่าจะอย่างไรก็คงจะเป็นเพราะมีไข้หนักเกินไปสินะ ก็มันไม่มีทางเป็นไปได้ตั้งแต่แรกแล้วนี่นาที่รุ่นพี่อีกงจะมาบ้านฉันในเวลาแบบนี้ เฮ้อ คิมฮวีกยอม เธอนี่มันบ้าจี้จริงๆ 

 

 

“พี่ชอบเธอนะ ฮวีกยอม” 

 

 

ไม่รู้ทำไม แต่คำนั้นที่ฉันได้ฟังอย่างตั้งใจ มันทำให้ฉันร้องไห้ออกมาอย่างไม่รู้ตัว ถ้านี่เป็นฝันล่ะก็ ไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีกก็คงดี 

 

 

“พี่ชอบเธอ คิมฮวีกยอม” 

 

 

สัมผัสจากมือของรุ่นพี่อีกงที่ลูบหลังฉันมันรู้สึกเย็นวูบไปหมด เสียงของรุ่นพี่ที่ยังคงดังวนเวียนซ้ำๆ เหมือนกับเสียงไซเรน เริ่มทำให้สติค่อยๆ เลือนรางออกไป 

 

 

“ชอบ ชอบ ชอบ” 

 

 

“…” 

 

 

“ชอบจริงๆ นะ” 

 

 

“…ช” 

 

 

“พี่ชอบเธอจริงๆ” 

 

 

คำพูดที่ไม่มีทางเป็นจริงยังคงดังอยู่เรื่อยๆ ด้วยน้ำเสียงของรุ่นพี่อีกง 

 

 

“ชอบจนแทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว” 

 

 

ฉันสะอึกออกมาพร้อมกับกลั้นน้ำตาเอาไว้ ทำไมคำแต่ละคำที่พูดออกมาถึงให้ความรู้สึกสมจริงขนาดนี้นะ ถึงจะเป็นความฝัน แต่กลับรู้สึกราวกับความจริง ฉันเริ่มรู้สึกได้ว่าสติที่เคยเลือนรางเริ่มจะกลับมาชัดเจนขึ้น พลางพยุงตัวขึ้นมาอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งยืน พร้อมกับโอบกอดเอวของรุ่นพี่เอาไว้แน่น 

 

 

“อย่าทำให้พี่ตกใจสิ ฮวีกยอม” 

 

 

“…” 

 

 

“พี่กลัวจริงๆ ว่า…” 

 

 

รุ่นพี่ที่เหมือนจะพูดอะไรบางอย่างต่อ กลับเงียบไปซะดื้อๆ เขาออกแรงแขนที่กำลังโอบคอของฉันอยู่ ฉันส่งยิ้มบางๆ ให้ พร้อมกับตบหลังของรุ่นพี่เบาๆ ทำไมกันนะ ฉันถึงรู้สึกว่ารุ่นพี่ที่กำลังโอบกอดฉันอยู่ช่างดูเหมือนเด็กเหลือเกิน ถึงจะฟังดูตลกและเหมือนอวดดี แต่แผ่นหลังของรุ่นพี่ดูจะเล็กลงไปนิดหน่อย 

 

 

เมื่อมองผ่านๆ ฉันรู้สึกว่าร่างกายของรุ่นพี่กำลังสั่นเล็กน้อย ใบหน้าของรุ่นพี่เริ่มเข้ามาอยู่ในระยะสายตาของฉัน ใบหน้าของรุ่นพี่ที่กำลังร้องไห้เหมือนกับเด็กๆ นั้น แม้จะดูแปลกตาแต่กลับดูน่ารักดี ตึกตัก ตึกตัก เสียงเต้นของหัวใจฉันเหมือนมันกำลังดังกึกก้องอยู่ภายในหู 

 

 

“พี่กลัว กลัวว่าเธอจะไม่อยากเจอพี่อีกต่อไป” 

 

 

ริมฝีปากของรุ่นพี่อีกงที่พึมพำอยู่นั้นกำลังสั่นอยู่เบาๆ ฉันจึงยื่นมือออกไปประคองใบหน้าของรุ่นพี่อย่างระมัดระวัง หลังจากนั้นฉันก็สัมผัสได้ว่ารุ่นพี่กำลังสะดุ้งอยู่ 

 

 

ถึงฉันจะไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ฉันทำแบบนี้ แต่ริมฝีปากของรุ่นพี่ที่ยังคงสั่นเครืออยู่เบาๆ ก็เข้าครอบครองริมฝีปากของฉัน ไม่รู้ว่าริมฝีปากของฉันร้อนหรือริมฝีปากของรุ่นพี่กันแน่ที่เย็น แต่ความรู้สึกเย็นๆ ที่เกิดจากการแตะกันเบาๆ มันช่างเป็นอะไรที่แปลกใหม่จริงๆ 

 

 

ว่าแต่… นี่มันจะต้องเป็นฝันแน่ๆ ไม่มีทางที่เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นกับฉันได้หรอก ใช่แล้ว ในเมื่อเป็นความฝัน ถึงจะทำอะไรบ้าบิ่นสักครั้งก็ไม่เป็นไรหรอก ก็แค่รู้สึกเขินหน่อยๆ ตอนที่ตื่นขึ้นมาก็เท่านั้น  

 

 

ฉันประคองใบหน้าของรุ่นพี่ขึ้นมาอย่างเบามือ แล้วจึงเอาริมฝีปากของตัวเองถูเข้ากับริมฝีปากของรุ่นพี่ ต่อจากนั้นรุ่นพี่ก็จับมือของฉันเอาไว้แน่น ก่อนจะดึงเอวเข้าไปแนบชิด พร้อมกับแทรกลิ้นผ่านช่องว่างระหว่างริมฝีปากเข้ามา 

 

 

อ้า อย่างกับไข้กำลังสูงขึ้นไปอีกเลยแฮะ หรือฉันจะเมาไปกับความหอมหวานนี้กันนะ ภายใต้สติที่เริ่มเลือนรางอีกครั้ง ฉันใช้ความพยายามครั้งสุดท้ายคว้าคอของรุ่นพี่เพื่อประคองตัวเองเอาไว้ ก่อนจะหมดสติไป