ตอนที่ 613 เริ่มการฉีกหน้า

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

เวลานี้ มารยาในคราบของไป่หลี่จิ่นซิ่วและกิเลนอัคคีในคราบของหานซวนหยวนถูกควบคุมโดยเหล่าผู้อาวุโสและไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา อย่างไรก็ตาม อสูรมายาทั้งสองก็กำลังสื่อสารกับนายของพวกมันเกี่ยวกับสถานการณ์ของตนโดยที่คนอื่นไม่ทราบแม้แต่น้อย

ต้องกล่าวเลยว่าทักษะหุ่นเชิดเป็นทักษะชั่วร้ายที่น่าหวาดหวั่นอย่างยิ่ง หากมิใช่เพราะมีพันธสัญญากับผู้เป็นนายอยู่แล้ว อสูรทั้งสองก็อาจกลายเป็นหุ่นเชิดของหานชางได้และจำต้องทำตามคำสั่งทุกอย่างของเขาอย่างมิอาจปฏิเสธ

เมื่อเห็นไป่หลี่จิ่นซิ่วก้าวออกมา ผู้นำตระกูลไป่หลี่ก็มีท่าทีตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด เขาพยายามลุกขึ้นยืนหลายคราทว่าไป่หลี่ชิงโร่วห้ามปรามเขาไว้เสียก่อน คุณหนูแห่งตระกูลไป่หลี่รู้สึกมาตลอดว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล และหากเกิดเรื่องขึ้นจริง ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือจะไม่ปราณีอย่างแน่นอน

“ท่านพี่ ท่านพี่สะใภ้ ท่านทั้งสองต้องทนทุกข์ทรมานมานานหลายปีนัก”

หานชางขยิบตาส่งสัญญาณให้ผู้อาวุโสเหล่านั้นและพวกเขาก็ปลดปล่อยการควบคุมคนทั้งสอง

“น้องรอง เรามิได้ทุกข์ทรมานนักหรอก ในอดีตเราทำความผิดไว้จริง นั่นคือสาเหตุที่เราต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้”

หานซวนหยวนยิ้มและกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงโล่งใจเล็กน้อย วาจาของเขาในตอนนี้บ่งบอกว่าเขาซาบซึ้งในการกระทำของหานชางยิ่งนัก

คำตอบของหานซวนหยวนทำให้หานชางพึงพอใจอย่างที่สุด เมื่อเห็นคนทั้งสองศิโรราบและสงบเสงี่ยมเช่นนี้ แน่นอนว่าเขาก็ต้องมีอารมณ์ที่ดีขึ้นมา

“มาเถอะ พาพี่ใหญ่และพี่สะใภ้มานั่งตรงนี้ วันนี้เป็นงานรวมพลสี่ตระกูล หากมีเรื่องใด ไว้เราคุยกันหลังจากนี้จะดีกว่า”

หานชางผายมือเชิญให้หานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วนั่งลงด้านข้างก่อนกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ตระกูลใหญ่ของพวกเราทั้งสี่ตระกูลดำรงอยู่มานานมากกว่าพันปี ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ เราก็มองดูซึ่งกันและกันและแข่งขันซึ่งกันและกัน กล่าวได้ว่าเราสี่ตระกูลเป็นทั้งมิตรและศัตรูต่อกัน”

หลังจากหยุดชั่วคราว เขาก็กล่าวต่อ “ทุกวันนี้สถานการณ์ในดินแดนเราตึงเครียดและรุนแรงขึ้นมาก ฝ่ายมารก็เตรียมพร้อมที่จะเคลื่อนไหวทุกเมื่อและยังมีวิกฤตอีกหลายอย่างที่ต้องป้องกันไว้ล่วงหน้า เพราะเหตุนั้นข้าจึงขอเสนอว่าเราทั้งสี่ตระกูลควรยุติความห่างเหินที่มีต่อกันมาเนิ่นนานและผนึกกำลังรวมกันเป็นหนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนั้น ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับขุมกำลังมารร้าย เราก็จะไร้ซึ่งความหวาดกลัว !”

หานชางกล่าวถึงจุดประสงค์ของตนซึ่งเป็นหนึ่งในจุดประสงค์หลายอย่างของงานรวมพลสี่ตระกูลลับในครานี้

“เราไม่คัดค้านเรื่องนี้ เพียงแต่…ไม่ทราบว่าผู้ใดจะกลายเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบทุกอย่างหลังจากการผนึกกำลังของสี่ตระกูลอย่างนั้นหรือ ?”

เหมยตงอวิ๋นเคยหารือเรื่องนี้กับฉินอวี้โม่มาก่อนแล้วและเอ่ยถามข้อสงสัยออกไปเป็นคนแรก

การผนึกกำลังของสี่ตระกูลใหญ่เป็นสิ่งที่สามารถทำได้จริง หากมีผู้นำที่ชาญฉลาดและมีคุณสมบัติเพียบพร้อม ตระกูลเหมยของพวกเขาก็ไม่สนใจในตำแหน่งที่เป็นเปลือกนอกเหล่านี้และยินดีผนึกกำลังกับอีกสามตระกูล

“เราก็สงสัยในเรื่องเดียวกัน สี่ตระกูลของเราแข็งแกร่งมากและถือเป็นขุมกำลังอันดับต้น ๆ ของดินแดน หากไม่มีผู้นำที่เหมาะสม เกรงว่าการผนึกกำลังก็คงจะไม่มีประสิทธิภาพมากนัก”

ไป่หลี่ชิงโร่วถือโอกาสนี้กล่าวออกไปโดยเห็นด้วยกับวาจาของผู้อาวุโสตระกูลเหมย ด้วยปัญญาอันชาญฉลาดของนาง ไป่หลี่ชิงโร่วสามารถคาดเดาได้พอสมควรแล้ว เพียงแต่นางคิดว่าควรนิ่งเงียบไว้ก่อนและจับตาดูสถานการณ์อย่างเงียบ ๆ การที่เฝ้ารอจนกว่าหานชางจะเปิดเผยจุดประสงค์ที่แท้จริงก็ยังไม่สายเกินไป

“ฮ่า ๆ ๆ แน่นอนว่าตำแหน่งนั้นคู่ควรกับบุคคลที่มีความสามารถล้ำเลิศ ไม่ว่าจะมีอายุเท่าใดก็ตาม หากต้องการเป็นผู้นำของทั้งสี่ตระกูล คนผู้นั้นต้องมีความแข็งแกร่งที่เหนือชั้นและสามารถโน้มน้าวใจทุกคนได้ อีกทั้งคนผู้นั้นก็ต้องมีบุคลิกลักษณะที่ดีเช่นกัน”

หานชางกล่าวพร้อมรอยยิ้มทว่าเปิดเผยความคิดของตนโดยตรง แม้เขาหมายจะครองตำแหน่งผู้นำที่ทำหน้าที่ปกครองทั้งสี่ตระกูลลับ เขาก็ไม่สามารถแสดงออกอย่างชัดเจนในตอนนี้ ถึงอย่างไรเขาก็มิใช่เพียงคนเดียวที่ต้องการตำแหน่งนั้น แม้แต่ผู้นำตระกูลหลิวที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมาตลอดก็หมายปองตำแหน่งดังกล่าวเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขา หากต้องการแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งนั้น เขามีโอกาสชนะพอสมควร ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็มีหุ่นเชิดฝีมือดีถึงสองคน สำหรับการประจันหน้ากับคนทั้งสี่ตระกูล ไม่ว่าเป็นตระกูลทรงพลังใด พวกเขาก็จะไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

และสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือเหล่าผู้อาวุโสผู้พิทักษ์หอคอยต้องห้ามก็ล้วนมีฝีมือที่เก่งกาจอย่างยิ่ง ตราบใดที่พวกเขาร่วมมือกัน ตำแหน่งผู้นำสูงสุดของทั้งสี่ตระกูลก็คงจะอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม

“หากเป็นเช่นนั้น ผู้นำหานควรเป็นคนแรกที่ถูกตัดสิทธิ์ออกไป”

ทันใดนั้น ฉินอวี้โม่ก็ยืนขึ้นและกล่าวด้วยน้ำเสียงถากถางอย่างชัดเจน

เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ หานชางก็ขมวดคิ้วทันที เดิมทีเขาคิดว่าในเมื่อควบคุมบิดามารดาของหานโม่ฉือได้แล้ว หานโม่ฉือและฉินอวี้โม่จะไม่กล้าทำสิ่งใดบุ่มบ่ามอย่างแน่นอน ไม่คิดเลยว่าทั้งสองจะยังไม่เห็นหัวเขาเช่นเดิม

“โอ้ ? อวี้โม่ ไม่ทราบว่าข้าขาดคุณสมบัติข้อใดไปงั้นรึ ?”

แน่นอนว่าหานชางไม่มีท่าทีโกรธเคือง เขาเพียงกล่าวถามพร้อมรอยยิ้มอย่างสบาย ๆ ขณะสบตาฉินอวี้โม่โดยตรง “เราต่างก็เป็นคนของตระกูลหาน เจ้าน่าจะทราบดีว่าข้าเป็นอย่างไร ข้าเชื่อว่าข้ามีคุณสมบัติที่จะเข้าชิงตำแหน่งผู้นำของทั้งสี่ตระกูลอย่างแน่นอน”

เขาเลื่อนสายตามองไปที่หานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วครู่หนึ่ง แววตาของเขาในตอนนี้แสดงถึงความข่มขู่ต่อฉินอวี้โม่และหานโม่ฉืออย่างชัดเจน ต่อให้ทั้งสองทราบความจริงในอดีตแล้วอย่างไร ? ตอนนี้หานซวนหยวนและไป่หลี่จิ่นซิ่วกลายเป็นหุ่นเชิดที่อยู่ในกำมือของเขาแล้ว หากฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือทำสิ่งใดไม่ถูกใจเขา หานชางก็ไม่รังเกียจที่จะสั่งสอนให้รู้สำนึก

“ตลกสิ้นดี หากท่านมีบุคลิกนิสัยที่ดี ผู้คนทั่วทั้งดินแดนนี้ก็คงจะมีบุคลิกนิสัยที่ดีกันหมด”

ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างเยือกเย็น นางเข้าใจคำข่มขู่ของอีกฝ่ายเป็นอย่างดีทว่าไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย ‘คิดจะข่มขู่ข้างั้นรึ ? หานชางผู้นี้กำลังฝันกลางวันอยู่ชัด ๆ!’

ทักษะหุ่นเชิดเป็นศาสตร์ต้องห้ามที่ไม่ธรรมดาอย่างที่สุด ทว่ามันก็มีช่องโหว่ที่ยิ่งใหญ่อยู่เช่นกัน นั่นก็คือไม่มีทางตรวจสอบได้แน่ชัดว่าหุ่นเชิดอยู่ในการควบคุมของตนโดยสมบูรณ์หรือไม่ ผู้ที่ควบคุมหุ่นเชิดทำได้เพียงออกคำสั่งเพื่อทดสอบเท่านั้น น่าเสียดายที่หานชางไม่ระมัดระวังในเรื่องนี้และเขาไม่ทราบจุดอ่อนของทักษะหุ่นเชิด มิฉะนั้นเขาก็คงไม่วางท่ายโสโอหังถึงเพียงนี้

สีหน้าของหานชางยังไม่เปลี่ยนแปลง เขาจ้องมองไปที่หานโม่ฉือและกล่าวออกมา “โม่ฉือ เจ้าคิดเช่นนั้นรึ ?”

หานโม่ฉือพยักศีรษะและกล่าว “ท่านไม่มีคุณสมบัติที่เพียงพอจริง ๆ ยิ่งไปกว่านั้น อย่าคิดว่าเราไม่รู้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในอดีต เราเพียงไม่อยากเปิดโปงเพราะยังไม่ถึงเวลาเท่านั้น เมื่อเวลานั้นมาถึง อย่าว่าแต่ตำแหน่งผู้นำของทั้งสี่ตระกูลเลย แม้แต่ตำแหน่งผู้นำตระกูลหาน ท่านก็รักษาไว้ให้ได้ก่อนเถอะ !”

หานโม่ฉือไม่ไว้หน้าหานชางแม้แต่น้อยและน้ำเสียงเย้ยหยันของเขาชัดเจนยิ่งกว่าฉินอวี้โม่เสียอีก

คนอื่น ๆ ที่ไม่ทราบเรื่องราวในอดีตต่างก็แสดงสีหน้าฉงนงุนงงทันที พวกเขาไม่คาดคิดมาก่อนว่างานรวมพลสี่ตระกูลประจำปีนี้จะตึงเครียดถึงเพียงนี้

“ฮ่า ๆ ๆ หลานข้า นั่นคือสีหน้าที่เจ้าใช้มองอารองของเจ้าหรือ ? หากอารองผู้นี้สั่งการ พ่อแม่ของเจ้าก็ไม่มีทางได้ออกมาจากหอคอยต้องห้ามและต้องอยู่ที่นั่นไปตลอดกาลอย่างไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน หากไม่รู้ว่าควรขอบคุณข้าอย่างไร เหตุใดจึงไม่ไว้หน้าอารองคนนี้สักหน่อยเล่า?”

หัวใจของหานชางพลุ่งพล่านไปด้วยโทสะ ทว่าสีหน้าของเขายังคงประดับด้วยรอยยิ้ม เขาตระหนักว่าตอนนี้มิใช่เวลาสำหรับความโกรธแค้น หากต้องการสะสางปัญหาความขุ่นเคืองใจ เขาต้องพิจารณาถึงสถานการณ์ต่อไปเสียก่อน

“หานชาง เลิกเสแสร้งแสดงละครเถอะ ต่อให้ปล่อยออกมา เกรงว่าพ่อแม่ของข้าก็ถูกเจ้าควบคุมด้วยทักษะหุ่นเชิดแล้ว วันนี้เจ้าก็วางแผนการชั่วร้ายที่จะควบคุมทุกคนที่มาร่วมงานรวมพลครานี้ เพราะเมื่อเป็นเช่นนั้นจริง ๆ เจ้าก็จะสามารถควบคุมทั้งสี่ตระกูลได้ตามต้องการ !”

หานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ยืนขึ้นและมองหานชางด้วยแววตาเหยียดหยามอย่างชัดเจน เวลานี้พวกเขาไม่พยายามเก็บตัวเงียบและอดกลั้นความชิงชังอีกต่อไป ไม่ว่าอย่างไร ทั้งสองก็จะปล่อยให้แผนการชั่วร้ายของหานชางสัมฤทธิผลไม่ได้อย่างแน่นอน

“ฮ่า ๆ ๆ ข้าประเมินพวกเจ้าต่ำเกินไปจริง ๆ !”

ทันใดนั้น หานชางก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่งเมื่อได้ยินวาจาของหานโม่ฉือ จากนั้นเขาก็ปรบมือเบา ๆ ก่อนที่กลุ่มคนจะปรากฏตัวล้อมรอบทุกคนที่เข้าร่วมงานรวมพลในครานี้

คณะตระกูลหลิวเดินไปยืนเคียงข้างหานชางในขณะที่บางคนจากตระกูลไป่หลี่และตระกูลเหมยก็ก้าวออกมารวมตัวด้านข้างหานชางเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้เป็นคนของหานชางมาตั้งแต่ต้น

“พวกเราร่วมมือกับฝ่ายมารเมื่อนานมาแล้วและเตรียมพร้อมที่จะกำจัดหรือใช้ทักษะหุ่นเชิดเพื่อควบคุมทุกคนที่อยู่ที่นี่ สมาชิกที่มาร่วมงานรวมพลสี่ตระกูลล้วนเป็นสมาชิกหลักของแต่ละตระกูล หากควบคุมคนเหล่านี้ให้อยู่ในกำมือได้ แน่นอนว่าพวกเราก็ไม่ต้องกังวลว่าตระกูลอื่นจะพยายามสร้างปัญหา พวกเขาจะเชื่อฟังและยอมจำนนต่อข้าและฝ่ายมารแต่โดยดี”

เวลานี้หานชางไม่ปิดบังจุดประสงค์ที่แท้จริงของตนอีกต่อไปและประกาศกร้าวอย่างชัดเจน ทว่านั่นทำให้สีหน้าของสมาชิกตระกูลเหมยและตระกูลไป่หลี่เปลี่ยนไปทันทีขณะความกังวลก่อตัวขึ้นในหัวใจ

คนของตระกูลไป่หลี่เดินตรงเข้าไปใกล้กลุ่มตระกูลเหมยและยืนอยู่รวมกันโดยมีท่าทางราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรู

“พี่ตงอวิ๋น เห็นทีว่าวันนี้เราคงต้องตายอยู่ที่นี่เสียแล้ว”

เมื่อสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของคนที่ห้อมล้อมอยู่ ผู้นำตระกูลไป่หลี่ก็เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา แม้พวกเขาถือว่าไม่อ่อนแอและยังพอมีโอกาสหลบหนี อย่างไรก็ตาม เมื่ออยู่ต่อหน้าศัตรูจำนวนมากที่ล้อมรอบอยู่เช่นนี้ โอกาสหลบหนีดังกล่าวก็ลดน้อยลงมาก

ยิ่งไปกว่านั้น คนจากฝ่ายมารก็เจ้าเล่ห์และซับซ้อนเป็นที่สุด หานชางก็มิใช่คนดีเช่นกัน ในเมื่อเตรียมความพร้อมสำหรับแผนการนี้ไว้แล้ว เขาไม่มีทางยอมให้ผู้อื่นได้มีโอกาสอย่างแน่นอน

“ไม่ต้องห่วง พวกเขาไม่มีทางทำสำเร็จตามแผนแน่ มิฉะนั้นดินแดนเทพมายาของเราจะตกอยู่ในวิกฤตร้ายแรง และนั่นเป็นสิ่งที่เราทุกคนไม่อยากเห็นมันเกิดขึ้น”

เหมยตงอวิ๋นยังคงมีสีหน้าที่สงบนิ่งไม่บ่งบอกความรู้สึกใด หานโม่ฉือและฉินอวี้โม่วางแผนรับมือเรื่องนี้ไว้ก่อนแล้วทว่ายังไม่สามารถเปิดเผยได้ในตอนนี้ เหมยตงอวิ๋นเชื่อมั่นว่าไม่จำเป็นต้องกังวลสิ่งใด

เมื่อได้ยินวาจาของผู้อาวุโสตระกูลเหมยและเห็นสีหน้าของเขาที่ยังเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกับฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ ผู้นำตระกูลไป่หลี่ก็รู้สึกถึงความสงบในหัวใจขึ้นมาทันที บางทีสถานการณ์อาจจะพลิกผันจริง ๆ …

เมื่อหานชางได้ยินคำพูดของเหมยตงอวิ๋น เขาก็แสยะยิ้มเยือกเย็น

“เหมยตงอวิ๋น เจ้าคิดว่าเจ้ามีโอกาสอยู่จริง ๆ งั้นรึ? เราล้อมรอบทุกคนไว้อย่างแน่นหนาแล้ว ต่อให้คิดหลบหนีก็ไม่มีทางทำได้สำเร็จ หากว่าเจ้ากำลังหวังพึ่งความช่วยเหลือจากภายนอกละก็ นั่นก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ บอกตามตรง…ในเวลานี้คนจากฝ่ายมารก็น่าจะกำลังโจมตีตระกูลของเจ้าอยู่ บางทีตระกูลของเจ้าอาจตกอยู่ในเงื้อมมือของฝ่ายมารเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกเจ้าไม่มีทางรอดพ้นอย่างแน่นอน !”

นี่คือแผนการที่พวกเขาเตรียมการไว้ล่วงหน้าอย่างครอบคลุมและไม่มีทางปล่อยให้เกิดข้อผิดพลาดใด ๆเด็ดขาด แม้ตระกูลเหมยและตระกูลไป่หลี่จะทรงพลังและรับมือได้ไม่ง่ายนัก ทว่าครานี้ตระกูลเหล่านั้นไม่มีโอกาสรอดพ้นไปได้ !

แต่ทว่า…ทุกอย่างจะเป็นไปตามแผนการของหานชางจริง ๆ หรือ ?

.