อันที่จริง ด้วยความสามารถของเธอจะทำเป็นโง่สักหน่อยก็ไม่ใช่ปัญหา แต่ความเป็นจริงนั้นโหดร้ายเกินไป หน้าตาก็ไม่สวยอยู่แล้ว หากไม่แสดงความฉลาดออกไปอีกละก็ น่ากลัวว่าต่อให้อยู่กับกู้จวินหลิงทุกวันคืนก็ไม่อาจจะดึงดูดความสนใจใด ๆ จากเขาได้

ว่ากันว่า หากรูปลักษณ์หน้าตาไม่ดีพอก็ให้ใช้ใจที่งดงามทดแทน คำกล่าวเช่นนี้นับว่าสมเหตุสมผลดี

ยิ่งได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับกู้จวินหลิงนานเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ละเอียดรอบคอบมากขึ้นเท่านั้น ไม่เหมือนผู้ชายบางคนที่พอกลับถึงบ้านก็โยนเสื้อสูท ดึงเนกไท นอนเอกเขนกอยู่กลางโซฟารอให้คนมารับใช้แล้ว กู้จวินหลิงต่อให้อยู่ในบ้าน เขาก็ยังแต่งตัวเต็มยศ เนกไทผูกตรงไร้ที่ติ กระดุมเสื้อเชิ้ตทุกเม็ดติดครบในระดับที่สามารถพร้อมไปงานเลี้ยงได้ทุกเมื่อ

แต่ไหนแต่ไรมาไม่ใช่แค่เสื้อเชิ้ตกับกางเกงบนตัวเขาเท่านั้นที่ถูกรีดจนเรียบกริบไร้รอยยับ ขนาดผ้าขนหนูสิบผืนในห้องน้ำก็ขาวสะอาดสะอ้านอย่างกับหิมะปราศจากมลทิน ทั้งยังพับไว้อย่างเป็นระเบียบ วางซ้อนทับเป็นตั้งอยู่บนชั้นวาง หลังใช้เสร็จก็จะวางลงในตะกร้าไม้ที่อยู่ด้านข้าง เมื่อซักแล้วจะนำไปตาก จากนั้นพับให้ดีแล้ววางกลับคืน

นอกจากกองหนังสือตำราทางการแพทย์และกองผ้าเช็ดตัวแล้ว มอง ๆ ไปห้องเช่าห้องนี้ก็ดูสุดแสนจะธรรมดา ไม่มีเฟอร์นิเจอร์แพง ๆ หรือของสะสมมีมูลค่าอะไรทั้งสิ้น แต่ก็ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะถึงแม้กู้จวินหลิงจะเป็นแพทย์ประจำบ้าน[1]ที่อายุน้อยที่สุดในโรงพยาบาลที่เขาทำงานอยู่ แต่แผนกฉุกเฉินไม่ได้เป็นแผนกที่มีรายรับสูง เขาไม่รับซองแดง จ่ายยาก็ไม่เคยคิดราคาขูดรีดขูดเนื้อ ดังนั้นในหนึ่งเดือนจะได้รับเงินเดือนเพียงห้าพันถึงหกพันหยวนเท่านั้น

คนส่วนมากมักไม่รู้ว่าอาชีพแพทย์ที่ดูมีหน้ามีตานั้น ในความเป็นจริงกลับได้เงินค่าตอบแทนน้อยกว่าสิ่งที่ทุ่มเทไปมากโข ถ้าหากนักเขียนของนิยายเรื่องนี้ตระหนักถึงจุดนี้ได้ละก็ คงไม่มีทางกำหนดให้อาชีพของพระรองเป็นแพทย์อย่างแน่นอน ยิ่งเป็นแพทย์ในแผนกฉุกเฉินยิ่งไม่มีทาง

ชักจะนอกเรื่องซะแล้วสิ

เนื้อเรื่องในตอนนี้ยังดำเนินเรื่องไม่ถึงตอนที่นางเอกหนิงชิงชิงถูกส่งตัวมาโรงพยาบาล สิ่งที่อวี่ฉีต้องพิจารณาในตอนนี้จึงมีเพียงสองสิ่งก็คือ จะเพิ่มพูนความรู้สึกดี ๆ ที่กู้จวินหลิงมีต่อตนเองได้อย่างไร และจะบำรุงร่างผอมแห้งนี้อย่างไรดี

ด้วยนิสัยของกู้จวินหลิง การคิดจะให้เขาพูดคุยด้วยเกินหนึ่งประโยคนั้นยากเสียยิ่งว่าบินขึ้นฟ้า อยากจะพูดคุยกับเขา แน่นอนว่าทำได้ แต่ถ้าพูดมากเกินไปก็อาจทำให้เขารู้สึกรำคาญ เพื่อไม่ให้มีอุปสรรคขัดขวางการเพิ่มความรู้สึกดี ๆ อวี่ฉีจึงตั้งใจทำความสะอาดไปด้วยกันกับอีกฝ่ายเป็นอันดับแรก

การทำงานของเธอนั้นมีประสิทธิภาพสูงต่างจากอวี่ฉีคนเก่ามาก ดังนั้นจึงไม่เคยเกิดข้อผิดพลาดให้หมอกู้ต้องทำซ้ำสอง จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ผู้ชายประเภทที่ทำมากกว่าพูดจะค่อนข้างถูกชะตากับคนที่ก้มหน้าก้มตาทำงานไม่พูดไม่จามากกว่า ด้วยเหตุนี้เธอจึงไม่เคยเอ่ยคำพูดจำพวก “หนูถูพื้นแล้วนะคะ” หรือ “หนูซักผ้าขนหนูแล้วนะคะ” เลยสักครั้ง

ส่วนเรื่องที่จะยกระดับรูปร่างหน้าตาอย่างไรนั้น อวี่ฉีได้ทำตารางประจำวันเฉพาะกิจขึ้นมาแล้วปฏิบัติตามแต่ละข้ออย่างเคร่งครัด เธอพยายามเสริมสารอาหารให้แก่ตัวเอง ทุก ๆ วันจะซื้อแผ่นมาสก์หน้าหลายชนิดมาใช้พร้อมกับชโลมครีมทามือบำรุงผิว วันไหนที่สระผม เธอจะหยดน้ำมันหอมระเหยหนึ่งถึงสองหยดลงบนครีมนวดผมทุกครั้ง ส่วนตอนเช้าจะไปที่สนามของโรงเรียนเพื่อวิ่งสิบรอบ…

ถึงแม้จะไม่สามารถเปลี่ยนลูกลิงผอมแห้งให้กลายเป็นสาวสวยได้ในพริบตา แต่อย่างน้อยเธอก็มีสุขภาพแข็งแรงขึ้นเรื่อย ๆ ผิวก็เปล่งปลั่งมากขึ้นทุกวัน ไม่ได้มีรูปร่างหน้าตาอย่างกับพวกผู้ลี้ภัยอีกต่อไป

ในฐานะที่เธอเป็นลูกสาวของฟางหว่าน เดิมทีเครื่องหน้าของฟางอวี่ฉีนั้นก็ไม่ได้แย่อะไรอยู่แล้ว เมื่อตั้งใจขยันบำรุงหน้าตา เธอจึงดูดีมากขึ้นจนทำให้มีเพื่อนผู้ชายค่อย ๆ เข้ามาสนใจ แม้อวี่ฉีจะไม่ได้ต้องการน้ำใจอันเร่าร้อนพวกนี้ แต่เธอก็พอใจ อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่าความพยายามของเธอนั้นประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง

ช่วงบ่ายวันนี้ขณะกำลังเลิกเรียน จู่ ๆ ฝนก็เทโครมลงมาห่าใหญ่ ฝนเม็ดใหญ่ตกกระทบรวมตัวกันบนพื้นดิน สาดกระเซ็นเป็นวงน้ำนับไม่ถ้วน บรรดานักเรียนต่างเบียดเสียดกันอยู่ใต้หลังคาของอาคารพลางพูดคุยกับเพื่อน ๆ เสียงจ้อกแจ้กระหว่างรอผู้ปกครองมารับ อวี่ฉียืนอยู่ริมสุด เธอขมวดคิ้วจ้องมองไปยังต้นไม้ซึ่งถูกลมพัดจนโยกไหวกับที่จอดรถจักรยานแบบมีหลังคาที่อยู่ใต้ต้นไม้เพื่อประเมินสถานการณ์…เพราะเธอขี่จักรยานมาโรงเรียน

ถึงกู้จวินหลิงจะมีความรับผิดชอบต่อฟางอวี่ฉีมาก แต่ก็ไม่เคยตามใจ สิ่งที่สมควรทำเพื่อเธอ เขาไม่เคยขาดตกบกพร่อง อย่างเช่น งานประชุมผู้ปกครอง เข้าร่วมกิจกรรมงานโรงเรียน ตรวจการบ้าน เตรียมอาหารเช้าและอาหารเย็น เขาทำทั้งหมดอย่างเต็มที่ แต่สิ่งไหนที่เธอควรจะทำด้วยตัวเองได้ เขาจะไม่เคยยื่นมือเข้าช่วยเลย ยกตัวอย่างเช่น การจัดกระเป๋านักเรียน พับผ้าห่ม ซักเสื้อผ้า เป็นต้น ดังนั้นเขาจึงให้เธอปั่นจักรยานไปโรงเรียนเองตั้งแต่แรกแล้ว ระยะห่างระหว่างบ้านกับโรงเรียนไม่ได้ไกลเท่าไร ปั่นจักรยานแค่สิบห้านาทีก็ถึง ปกติก็สะดวกสบายดีอยู่หรอก แต่ตอนนี้สิ เธอไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดี

อวี่ฉีไม่ได้พกร่มมาด้วย แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหา แค่เดินตากฝนไปซื้อสักคันที่ร้านขายของข้างโรงเรียนก็ได้แล้ว แถมกู้จวินหลิงก็ให้เงินเธอใช้อย่างใจป้ำ จะซื้อร่มสักคันสองคันย่อมไม่ใช่ปัญหา สิ่งที่เป็นปัญหาก็คือ เธอขี่รถจักรยานมาจึงกางร่มไม่ได้ และตอนนี้มีทั้งลมทั้งฝนโหมกระหน่ำ ต่อให้สวมเสื้อกันฝนก็ยังเปียกโชกอยู่ดี

เพื่อนนักเรียนชายที่อยู่ข้าง ๆ เห็นเธอขมวดคิ้ว ก็เข้ามาเสนออย่างมีน้ำใจว่ารอให้ผู้ปกครองของเขามาแล้ว จะช่วยพาเธอไปส่งสักช่วงหนึ่งให้

อวี่ฉีปฏิเสธโดยไม่ลังเล เพราะสถานะของเธอกับกู้จวินหลิงน่าอึดอัดใจมากเกินพอแล้ว ตัวเธอในตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับลูกสาวบุญธรรมของเขาด้วยซ้ำ การที่จะทำให้อีกฝ่ายมาชอบตัวเอง เดิมทีก็ยากจะแย่แล้ว ถ้ายังสร้างความเข้าใจผิดๆ เรื่องผู้ชายอีก ระดับความยากคงสูงขึ้นไปอีกขั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่คุ้มเสี่ยงอย่างแน่นอน

กะอีแค่เปียกฝนแป๊บเดียว พอกลับถึงบ้านค่อยพุ่งไปอาบน้ำอุ่นแล้วดื่มน้ำขิงเชื่อมตามสักแก้วก็โอเคแล้ว ในขณะที่เธอเตรียมตัวจะวิ่งไปยังที่จอดรถจักรยาน ตอนนั้นเอง ภายใต้ท้องฟ้าสีดำอันมืดครึ้ม ชั่วแวบหนึ่งเธอมองเห็นเงาร่างที่แสนจะคุ้นตาเดินมาท่ามกลางม่านฝนหนา

เป็นกู้จวินหลิง ดูเหมือนเขาจะรีบร้อนมาจากโรงพยาบาลจึงไม่ทันถอดเสื้อกาวน์สีขาวบนตัวออก

อวี่ฉีก็ไม่คิดว่าเขาจะมารับเธอ เพราะคนในแผนกฉุกเฉินของเขามีไม่พอ แพทย์ทุกคนล้วนต้องทำงานเป็นสองเท่า บางครั้งต้องเข้าเวรบ่าย ต่อด้วยเวรดึก ยุ่งตลอดสิบชั่วโมงจนเวลานั่งพักยังไม่มี หนำซ้ำตอนนี้แพทย์สองสามคนยังต้องไปร่วมงานประชุมวิชาการของแพทย์นอกสถานที่อีก

ทั้ง ๆ ที่งานมีความตึงเครียดสูงขนาดนั้น ใครจะไปคิดว่าอีกฝ่ายยังสามารถสังเกตเห็นได้อีกว่าด้านนอกกำลังมีฝนตกและหาเวลามารับเธอได้? ต่อให้เป็นลูกแท้ ๆ คนบางคนยังไม่มีความรับผิดชอบถึงขนาดนี้ อวี่ฉีจึงรู้สึกนับถือเขาเป็นอย่างมาก

แม้กู้จวินหลิงจะเดินเร็วมาก แต่ฝีเท้าของเขากลับไม่ได้แสดงถึงความรีบร้อน ชายเสื้อกาวน์สีขาวสะบัดปลิวท่ามกลางกระแสลม ท่าทางดูกระฉับกระเฉง ในมือที่มีข้อต่อชัดเจนและขาวสะอาดหมดจดนั้นถือร่มกันฝนสีดำคันหนึ่งไว้ จากมุมที่อวี่ฉีมอง เธอเห็นได้แค่รูปคางที่สะอาดสะอ้านดูดีกับริมฝีปากสีอ่อนของอีกฝ่ายเท่านั้น

หน้าตาของหมอกู้นั้นแค่พอนับได้ว่าหมดจดเกลี้ยงเกลา แต่ส่วนสัดร่างกายจากช่วงไหล่กว้างผ่านเอวสอบไปจนถึงขาเรียวยาวกลับดูดีมากจริง ๆ ขนาดใส่เสื้อกาวน์ที่หลวมสบายยังเหมือนใส่เสื้อโค้ตกันลมหรูหราที่สั่งตัดมาอย่างดี

เขาหยุดยืนตรงจุดที่ห่างจากหน้าอาคารเรียนไปหลายเมตร ดวงตาเรียวยาวลึกล้ำหลังแว่นกรอบทองกวาดมองนักเรียนทีละคนจากซ้ายไปขวาอย่างรวดเร็วและสงบนิ่ง สุดท้ายสายตาก็หยุดลงที่ร่างของอวี่ฉี

กู้จวินหลิงเลิกคิ้วขึ้น เขากำลังจะเดินไปหาเธอ แต่เด็กสาวผมดำในเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกระโปรงนักเรียนลายสกอตกลับวิ่งฝ่าสายฝนที่ตกหนักมาหาเขาเสียก่อน

อวี่ฉีพุ่งเข้ามาใต้ร่ม หลังจากหอบเล็กน้อยก็เงยหน้าขึ้นส่งยิ้มบาง ๆ ให้กู้จวินหลิง ก่อนกล่าวเรียก “คุณอา” ด้วยน้ำเสียงอ่อนแหวนแฝงไปด้วยความเก้อเขินเล็กน้อย แต่กลับไพเราะรื่นหูอย่างมาก

หมอกู้ก้มศีรษะลงมองไปยังเสื้อเชิ้ตบนร่างของเธอที่เห็นทะลุไปถึงด้านในได้บางส่วนเพราะเปียกฝน ผมม้าบนหน้าผากก็เปียกชื้นเช่นกัน หลังขมวดคิ้วก็ยื่นแขนไปโอบไหล่ของเธอเอาไว้ จากนั้นจึงพาเธอเดินออกไปนอกประตูโรงเรียน

ถนนหน้าประตูโรงเรียนมีรถจอดจนเต็มหมดแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นรถของผู้ปกครองที่ขับมารับลูกกลับบ้าน เป็นเพราะกู้จวินหลิงมาค่อนข้างช้าทำให้ต้องจอดรถอยู่ที่ไกล ๆ ทั้งคู่จึงจำต้องเดินไปตามถนนอีกช่วงหนึ่ง

กู้จวินหลิงนั้นตัวสูงมาก แขนของเขาวางโอบไหล่ของเธอได้พอดิบพอดี นำพาความอบอุ่นอ่อนโยนเข้ามาขับไล่ความหนาวเย็นได้ในชั่วพริบตา

ภายใต้สายฝนกระหน่ำ หยาดน้ำตกกระทบบนผิวร่มจนเกิดเสียงเปาะแปะ ก่อนไหลร่วงลงมาตามโครงร่ม อวี่ฉีสังเกตเห็นว่าตัวเธอไม่โดนฝนเลยสักเม็ด แต่แขนของกู้จวินหลิงที่โอบไหล่ของเธออยู่กลับเปียกปอนไปด้วยน้ำฝน คราบน้ำฝนเปรอะเปื้อนไปตามแขนเสื้อ ไม่ใช่แค่นั้น ไหล่อีกข้างของเขาก็เปียกน้ำฝนไปแล้วไม่น้อยเช่นกัน เนื้อผ้าส่วนนั้นเปียกปอนจนเริ่มโปร่งใสแนบติดกับร่างของอีกฝ่าย

อวี่ฉีค่อย ๆ ยกมือขึ้นมากุมมือซ้ายของเขาที่ถือร่มอยู่

หมอกู้ชะงัก ก่อนก้มศีรษะลงเพื่อมองเธอ ตาเรียวยาวหลังแว่นกรอบทองแฝงไปด้วยคำถามอยู่เลือนราง

อวี่ฉีกลับไม่ได้มองกู้จวินหลิง เธอทำเพียงกุมข้อมือของเขาไว้แล้วค่อย ๆ เอียงมือเพื่อให้ร่มดำเอียงไปทางอีกฝ่ายเล็กน้อย หลังจากนั้นก็ปล่อยมือออกแล้วก้มหน้าก้มตาเดินต่อไปข้างหน้า

กู้จวินหลิงไม่ได้พาเธอกลับบ้าน แต่กลับขับรถพาเธอตรงไปโรงพยาบาลแทน

อวี่ฉีกำลังทำตัวเป็นเด็กดีจึงไม่ได้ถามอะไร เธอพอจะคาดเดาคร่าว ๆ ได้ว่า ตอนนี้เป็นช่วงพีคที่คนจะเลิกงานกัน ไม่ว่าใครก็ทิ้งแผนกฉุกเฉินไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น ถ้าหากกู้จวินหลิงพาเธอไปส่งบ้านสักรอบ บางทีอาจจะต้องติดอยู่บนถนนไปอีกเกินครึ่งชั่วโมง

ตลอดทางที่เข้ามา อวี่ฉีเห็นแพทย์ในชุดเสื้อกาวน์สีขาวเดินว่อนไปทั่ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าใครจะใส่เสื้อกาวน์ขึ้น ก็เหมือนกับที่นักศึกษาแพทย์ชอบแซะกันเองนั่นแหละว่า บางคนสวมกาวน์แบบแขนสั้นแล้วก็ดันไปเหมือนคนขายหมูหวาน สวมกาวน์แบบแขนยาวแล้วก็ดันไปคล้ายคนขายหมั่นโถว พอติดกระดุมแล้วก็แปลงร่างเป็นคนงานโรงงานแป้งมัน…เมื่อให้เปรียบเทียบเช่นนี้แล้ว หมอกู้ก็ดูคล้ายหงส์ในหมู่กาขึ้นมาทันตาเห็น แน่นอนว่าเธอแค่คิดเล่น ๆ เท่านั้น แพทย์ของที่นี่ล้วนมีความรู้ความสามารถระดับผู้เชี่ยวชาญ เป็นแนวหน้าของการช่วยชีวิตและรักษาโรค เธอเคารพชื่นชมพวกเขาอย่างเต็มหัวใจ

ในฐานะที่เป็นโรงพยาบาลศูนย์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมืองนี้ ที่นี่จึงมีแผนกฉุกเฉินที่ใหญ่ที่สุดในเมือง ตรวจรักษาคนต่อวันสูงแตะสี่ร้อยถึงห้าร้อยคน แต่ละวันยังต้องรองรับรถฉุกเฉินเฉลี่ยแล้วยี่สิบถึงสามสิบคัน มีเตียงสำหรับรักษาและดูอาการถึงสองร้อยเตียง ทว่ายังคงไม่เพียงพอบ่อย ๆ อยู่ดี พื้นที่ช่วยเหลือแบบเดิม ๆ จึงต้องแบ่งออกเป็นสามโซนแทน คือ โซนใน โซนกลาง และโซนนอก นั่นเป็นเพราะผู้ป่วยมีจำนวนมากเกินไปแล้วจริง ๆ

 

หลังกู้จวินหลิงเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อย ก็เดินเข้าไปในพื้นที่ช่วยเหลือของโซนใน ยังไม่ทันได้กำชับอวี่ฉีสักประโยค ก็มีรถพยาบาลคันหนึ่งมาถึงแล้ว แพทย์ประจำบ้านอีกท่านหนึ่งกำลังเอกซเรย์หน้าอกให้แก่ผู้ป่วยจึงปลีกตัวไปไหนไม่ได้ชั่วคราว เมื่อเห็นกู้จวินหลิงกลับมาแล้วจึงวางใจ

คนที่รถพยาบาลพามาส่งเป็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง เขาอยู่ในอาการหมดสติ อัตราการเต้นของหัวใจถี่ยิบจนวัดความดันโลหิตไม่ได้ กู้จวินหลิงจึงกล่าวอย่างใจเย็นว่า “เตรียมเครื่องกระตุกหัวใจ” บุรุษพยาบาลเข็นเครื่องกระตุกหัวใจเข้ามา ทันทีที่เขานำแพดเดิลส์[2] มาวางบนหน้าอกของคนไข้ ร่างของชายคนนั้นพลันกระตุกขึ้นมาแล้วส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะฟื้นคืนสติ

ผู้ป่วยคนนี้ยังไม่ทันดูแลเสร็จ ผู้ป่วยคนหนึ่งซึ่งอยู่หลายเตียงถัดไปก็เกิดอาการกำเริบขึ้นมาอีก

กู้จวินหลิงสั่งงานกับแพทย์ในความดูแลหลายประโยคอย่างรวดเร็ว ขณะรีบหันกายเดินไป

ทุกคนที่นี่ต่างยุ่งชุลมุนวุ่นวายกันสุดขีด ไม่มีใครสังเกตเห็นอวี่ฉีเลยสักคน ต่างพากันเข้าใจว่าเธอเป็นญาติของผู้ป่วย จนกระทั่งงานของหมอกู้เสร็จไปพักหนึ่งแล้ว เธอก็ยังคงยืนเงียบ ๆ ในมุมที่ไม่เกะกะคนอื่นอยู่อย่างนั้น

กู้จวินหลิงนวดขมับอย่างอ่อนล้า หางตาเหลือบเห็นร่างเล็ก ๆ ร่างหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจก็นิ่งอึ้งไป เพิ่งสำนึกได้ว่าตัวเองทำงานจนละเลยเธอ จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจกับการกระทำที่ขาดความรับผิดชอบเช่นนี้

เขาขมวดคิ้วก่อนเดินตรงไปหาเธอ

อวี่ฉีคิดไม่ถึงว่า ประโยคแรกที่เขาพูดหลังจากย่อตัวลงตรงหน้าเธอคือ “ขอโทษนะ”

——————————————-