ตอนที่ 1964 ระหว่างทางกลับและความลี้ลับของเผ่ามาร

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

ระหว่างทางที่หานลี่กลับมา กลับราบรื่นมาก

ภายใต้การเหาะเหินด้วยความเร็วเต็มอัตรา หนึ่งวันต่อมาเขาก็กลับมาถึงทะเลทรายสีเหลือง และมองเห็น ‘ทางเชื่อม’ ของเผ่ามารขนาดไม่ใหญ่ยักษ์นักอีกครั้ง

มองจากไกลๆ ‘ทางเข้าออก’ ที่ลอยอยู่กลางอากาศทุกอย่างยังคงปกติ ผู้พิทักษ์เผ่ามารยี่สิบสามสิบคนยังคงรักษาการณ์อยู่ในสิ่งปลูกสร้างด้านล่างอย่างซื่อสัตย์ ท่าทางไม่เปลี่ยนแปลงเลยสักนิด

หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนั้น ก็ไม่ได้ประหลาดใจอันใดนัก

ผิวของเขามีไอสีดำแผ่ออกมา แล้วหมุนวนกลายเป็นหงส์สวรรค์อีกครั้ง กระพือปีกทั้งสองข้างกลายเป็นหมอกจางๆ พุ่งไปยัง ‘ทางเชื่อม’

หลังจากกะพริบวาบๆ สองสามครั้ง ลำแสงหลีกหนีก็เปลี่ยนเป็นรางเลือนไม่ชัดเจน สุดท้ายก็เลือนหายไป

ขั้นตอนที่เข้าไปในทางเชื่อมห้วงมิติ ก็ราบรื่นเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น พลางจมหายเข้าไปในทางเชื่อม

ไม่นานนัก หงส์สวรรค์ก็กลายเป็นหมอกห้าสีมาอยู่ที่ทางออกของแดนวิญญาณ

แต่ชั่วพริบตาที่บินออกมาจากทางเชื่อม จิตสัมผัสของหานลี่กลับแผ่ออกไปก่อนล่วงหน้า

ผลคือสัมผัสอันใดตามที่คาดการณ์เอาไว้ ในใจพลันอดที่จะหัวเราะอย่างเย็นชาไม่ได้

หมอกที่แผ่ออกมาจากหงส์สวรรค์เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปจากทางเชื่อม

ครู่ต่อมากลางอากาศด้านนอกทางเข้าออกมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น เงาร่างสีเขียวสายหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบ

คาดไม่ถึงว่าหานลี่จะปรากฏตัวตรงนั้นด้วยร่างมนุษย์

แทบจะในเวลาเดียวกันที่เขาปรากฏตัว เสียงร้องตะโกนว่า ‘โจมตี’ กลับดังขึ้น

จากนั้นเสียงอึกทึก “ครืดๆ” ก็ดังขึ้นทั่วบริเวณ ลำแสงสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้าน ในเวลาเดียวกันพายุก็ก่อตัวขึ้น วิหคมารสองหัวสิบกว่าตัวกระโจนลงมาจากท้องฟ้า

ด้านล่างมีสำเภาศึกสีเขียวความยาวยี่สิบสามสิบจั้งสองลำปรากฏขึ้น และสั่นเทาพ่นเสาลำแสงสีดำสนิทสองสายออกมาจากหัวสำเภา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วมาอยู่ตรงหน้า

รอบๆ ทางเข้าออกทางเชื่อม คาดไม่ถึงว่าจะมีผู้พิทักษ์เผ่ามารสองสามร้อยคนเรียงแถวอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ และถือโอกาสที่หานลี่ปรากฏตัว ทำการล้อมโจมตีราวกับพายุฝนกระหน่ำ

หานลี่กลับดูเหมือนจะคาดเดาเรื่องนี้ได้ตั้งนานแล้ว เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีที่ดุเดือดเช่นนี้ กลับหยักรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปาก

แขนเสื้อข้างหนึ่งสะบัดไปด้านหน้า

รัศมีสีเทาทะลักออกมาจากกลางอากาศ และกลายเป็นม่านลำแสงแวววาวชั้นหนึ่งห่อหุ้มเรือนร่างของเขาเอาไว้ข้างใน

จากนั้นเขาพลันไม่สนใจเสาลำแสงด้านล่างและการโจมตีของลำแสงสีดำในบริเวณรอบ นิ้วทั้งห้าอีกข้างกลับร่ายไปทางวิหคมารยักษ์ที่กำลังกระโจนลงมาอย่างส่งๆ

เสียงแหวกอากาศพลันดังขึ้น!

กระบี่ลำแสงสีเขียวสิบกว่าสายเปล่งแสงสว่างวาบแล้วพุ่งออกมาจากปลายนิ้ว

วิหคมารที่กระโจนลงมาเหล่านั้นรู้สึกเพียงว่าเบื้องหน้ามีแสงเจิดจ้า ร่างกายเย็นเยียบถูกสับออกเป็นสองส่วน

ชั่วขณะนั้นซากศพของวิหคมารรวมทั้งฝนโลหิตสาดกระเซ็นไปทั่ว

ไกลออกไปมองเห็นเผ่ามารระดับสูงสองสามคน ชั่วขณะนั้นพลันตกใจจนหน้าถอดสี

ต้องเข้าใจว่าวิหคมารสองหัวเหล่านี้ล้วนมีกายเนื้อที่แข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า วิธีการปกติย่อมไม่อาจทำอันตรายมันได้ แต่ยามนี้คาดไม่ถึงว่าจะถูกสังหารได้อย่างง่ายดาย

ช่างน่าตกตะลึงจริงๆ

แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาตกตะลึงยิ่งกว่าก็คือลำแสงสีดำทั่วบริเวณรวมทั้งเสาลำแสงหนาๆ สองสายที่โจมตีเข้าด้วยกัน ผิวของหานลี่พลันแผ่ม่านลำแสงสีเทาออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วทยอยกันจมหายวับไป ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเลยสักนิด

ราวกับว่าถูกม่านลำแสงสีเทากลืนกินเข้าไปก็ไม่ปาน

“แย่แล้ว ตัวประหลาดเฒ่าระดับผสานอินทรีย์ พวกเรารีบถอยเร็ว!” เผ่ามาระดับสูงอีกคนหนึ่งร้องอุทานออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง

เผ่ามาระดับสูงสองสามตนนี้ก็คือผู้บัญชาการเผ่ามารระดับเทพแปลงสี่คนรวมทั้งเผ่ามารสองเขาระดับหลอมสุญตาผู้นั้นที่เพิ่งจะนำทัพโจมตีเผ่าพฤกษาจนล่าถอยไปเมื่อสองสามวันก่อน

หลังจากที่พวกเขาโจมตีเผ่าพฤกษาจนพ่ายแพ้ ย่อมพบว่าผู้พิทักษ์ที่รักษาการณ์ตรง ‘ทางเชื่อม’ หายตัวไปอย่างแปลกประหลาด แน่นอนว่าจึงตกใจจนหน้าถอดสี

แม้ว่าจะไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น หากทางเชื่อมนี้เกิดเหตุที่ไม่คาดฝันอันใด พวกเขาย่อมต้องรับผิดชอบไม่น้อย

ดังนั้นภายใต้การปรึกษากันของพวกเขา ไม่เพียงจะส่งข่าวไปยังเขตตั้งค่ายเผ่ามารอื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียง ยังนำทัพยอดฝีมือมาปิดผนึกทางเข้าออกด้วย

การกระทำเช่นนี้ย่อมมีเจตนาวัวหายล้อมคอก เดิมพวกเขาย่อมคิดไม่ถึงว่าจะจับผู้ใดได้

แต่สิ่งที่คิดไม่ถึงก็คือหานลี่อยู่ในแดนมารแค่สองสามวันก็กลับมาทันที แล้วยังบุกเข้ามาในวงล้อมที่พวกเขาวางเอาไว้

ยามแรกคนเหล่านี้ทั้งตกตะลึงระคนดีใจ แต่รอจนเผ่ามารสองเขามองเห็นพลังยุทธ์ที่แท้จริงของหานลี่ ย่อมตกใจจนขวัญกระเจิง

หลังจากที่เผ่ามารระดับสูงเหล่านี้มองสบตากันด้วยความหนาวสะท้านแวบหนึ่ง ไอมารในร่างก็ปรากฏขึ้น กลายเป็นลำแสงสีดำสายหนึ่งพุ่งไปด้านหลัง

เพราะกลัวว่าจะทำให้หานลี่รู้ตัว คาดไม่ถึงว่าจะไม่แม้กระทั่งประกาศกับลูกน้อง

แต่หานลี่มีจิตสัมผัสแข็งแกร่งระดับใด ในเมื่อพบการซุ่มโจมตีอยู่ด้านนอกก่อนก้าวหนึ่งแล้ว ย่อมจับจ้องไปยังเผ่ามารที่เป็นผู้นำอยู่แล้ว

ชั่วพริบตาเผ่ามารสองสามตนกลายเป็นลำแสงหลีกหนี แววตาก็หดเล็กลง กวาดมองไปอย่างเย็นชา

“คิดจะหนี อย่าฝันเลย!”

สิ้นเสียงเขาก็ขยับแขน ฝ่ามือสีขาวบริสุทธิ์ราวกับหิมะข้างหนึ่งตะปบไปกลางอากาศ

เผ่ามารสองสามตนนี้สัมผัสได้เพียงมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น ฝ่ามือยักษ์ห้าสีความยาวสิบจั้งเศษข้างหนึ่งปรากฏขึ้น แล้วตะปบไปด้านล่างอย่างแรง

ชั่วขณะนั้นเผ่ามารสองสามตนพลันตกตะลึงจนหน้าถอดสี เพิ่มความเร็วสุดชีวิตไปพลาง ปล่อยดาบและกระบี่บินรวมทั้งอาวุธต่างๆ ออกมาดิ้นรนจากมือยักษ์ไปพลาง

พวกเขาไม่หวังว่าสมบัติของตนจะทำลายมือยักษ์ได้ แต่ขอแค่ขวางเอาไว้ได้ ก็เพียงพอให้มีโอกาสหนีรอดขึ้นมาสองสามส่วนแล้ว

แต่สิ่งที่ทำให้เผ่ามารสองสามตนนี้คิดไม่ถึงถึงก็คือ ชั่วพริบตาที่สมบัติโจมตีเข้ากับฝ่ามือยักษ์ก็เกิดเป็นเสียงระเบิดดังมา

ฝ่ามือยักษ์ห้าสีพลันระเบิดออก ลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบกลายเป็นเปลวเพลิงเย็นเยียบห้าสีขนาดสองสามหมู่

เห็นเพียงลำแสงเย็นเยียบห้าสีม้วนวนไป เผ่ามารระดับสูงห้าตนกลายเป็นก้อนน้ำแข็งทันที

ยามนี้เผ่ามารธรรมดาๆ ที่ล้อมหานลี่อยู่รอบด้านถึงได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง ชั่วขณะนั้นพลันเกิดความวุ่นวายขึ้น

แต่ไม่รอให้พวกเขาหนีออกไป หานลี่กลับสะบัดแขนเสื้อทั้งสองข้าง กระบี่เล่มเล็กสีเขียวกรูกันออกมา และพลิ้วไหวกลายเป็นกระบี่ลำแสงสีเขียว

หลังจากที่หานลี่ร้องตะโกนต่ำๆ ออกมา มือหนึ่งพลันร่ายอาคม กระบี่ลำแสงพุ่งออกไปทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้าน

……

หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งกาน้ำชา ทั้งป้อมปราการเผ่ามารก็ไม่มีเผ่ามารผู้ใดรอดชีวิตอีก

สายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ พุ่งไปยังเผ่ามนุษย์

สองสามวันต่อมาสายสืบเผ่าพฤกษาถึงได้พบความเปลี่ยนแปลงที่น่าตกตะลึงนี้ แน่นอนว่าย่อมตกตะลึงระคนดีใจ

เมื่อตรวจสอบ หลังจากวินิจฉัยได้แล้วว่าไม่ใช่กับดักอันใด สายสืบเหล่านี้ถึงได้รีบกลับมารายงาน

เจ็ดแปดวันต่อมาป้อมปราการเผ่ามารก็ถูกเผ่าพฤกษายึดครอง และเริ่มวางเขตอาคมลึกลับไว้ตรงทางเข้าออก ‘ทางเชื่อม’ ท่าทางจะใช้เขตอาคมนี้ปิดผนึกมัน

ทว่าทุกอย่างล้วนไม่เกี่ยวอันใดกับหานลี่นัก

เขาในยามนี้กำลังหลอมไอหุ้นตุ้นในร่างอย่างเงียบๆ ไปพลาง บินไปทางเผ่ามนุษย์อย่างรวดเร็วไปพลาง

ไอหุ้นตุ้นคู่ควรกับที่เป็นของวิญญาณฟ้าดิน แม้ว่าจะหลอมไปแค่ส่วนน้อย แต่ก็ทำให้พลังปราณของเขาเพิ่มขึ้น ได้รับประโยชน์ไม่น้อย

เดาว่ารอให้เขากลับไปถึงเผ่ามนุษย์ ก็น่าจะหลอมได้พอสมควรแล้ว น่าจะทำให้พลังยุทธ์ระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลางไปอยู่ในระดับที่เต็มเปี่ยมของระดับนี้ได้

เช่นนี้เขาก็จะเตรียมตัวทะลวงระดับขั้นปลายแล้ว

น่าเสียดายที่การทะลวงระดับครั้งนี้ต้องอาศัยพลังของสตรีหงส์น้ำแข็งคอยช่วยเหลือ มิเช่นนั้นตามเจตนาเดิมของหานลี่ กลับไม่สู้ไปทะลวงจุดคอขวดที่แดนป่าเถื่อนจะดีกว่า

ถึงอย่างไรเสียยามนี้เผ่ามนุษย์ก็มีเงามารอยู่เต็มไปหมด ไม่มีที่ใดที่ปลอดภัยจริงๆ

เมื่อขบคิดเช่นนี้ หานลี่กลับทำได้เพียงบินไปไม่หยุดอย่างจนปัญญาเท่านั้น

และในขณะเดียวกันเผ่ามนุษย์บนหัวเมืองของเมืองเทวะสวรรค์ ผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์กำลังเรียงแถวกันยืนอยู่บนกำแพงเมือง พยายามกระตุ้นสมบัติในมือ โจมตีกองทัพเผ่ามารที่อยู่นอกเขตอาคมต้องห้ามไม่หยุด

สงครามที่ดุเดือดนี้กำลังเริ่มขึ้น

ฉากที่ไม่แตกต่างกันก็เกิดขึ้นในแดนอื่นๆ ของเผ่ามนุษย์ แม้กระทั่งเมืองของเผ่าปีศาจที่อยู่ไกลออกไปเช่นกัน

ช่วงนี้กองทัพเผ่ามารเปลี่ยนเป็นดุดันโหดเหี้ยม เริ่มทำการโจมตีระลอกแล้วระลอกเล่าอย่างไม่สนการบาดเจ็บล้มตาย

ทำให้เผ่ามนุษย์และปีศาจทั้งสองเผ่ารับมือไม่ทัน สิ่งมีชีวิตระดับต่ำจำนวนไม่น้อยล้วนทยอยกันเพลี่ยงพล้ำไปในสงครามที่ดุเดือด

แม้กระทั่งสิ่งมีชีวิตระดับสูงอย่างระดับเทพแปลงขึ้นไป ก็เริ่มเกิดการบาดเจ็บล้มตายขึ้น

นี่จึงทำให้ทั้งสองเผ่าเส้นเลือดปูดโปน

ตามกฎของการระเบิดของเคราะห์มารในอดีต หากเมืองเหล่านี้ต้านทานการโจมตีของกองทัพเผ่ามารได้สองสามปี หลังจากนั้นก็ไม่น่าจะเป็นอันใดแล้ว

ดังนั้นเมืองเหล่านี้ย่อมเอาวิธีการทั้งหมดออกมา หวังว่าวันที่แสงอันริบหรี่ของรุ่งอรุณจะมาถึงในเร็ววัย

แต่ผู้ใดก็ไม่รู้ว่าในเกาะลับแห่งหนึ่งตรงเขตแดนของเผ่ามนุษย์และปีศาจ สิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์เผ่ามนุษย์และปีศาจสิบกว่าคนกำลังนั่งอยู่ในตำหนักที่ถูกห้อมล้อมด้วยเขตอาคม พลางกำลังปรึกษาเรื่องลับๆ อันใดกันอยู่อย่างเคร่งขรึม

“เช่นนี้ ครั้งนี้มารโบราณก็คิดจะชิงดินแดนของพวกเรา จากนั้นก็ตั้งค่ายไม่ไปไหน” ชายชราเรือนผมสีขาวหิมะ แต่ดวงตาสดใสดุจสายธารคนหนึ่ง ขมวดคิ้วมุ่นขณะเอ่ย

“ไม่ใช่แค่นี้ครั้งนี้สายสืบที่พวกเราส่งไปแดนมารพบว่า มารโบราณระดับต่ำกลุ่มนี้ดูเหมือนจะถูกระดมพล ไม่นานก็จะทลายเขตแดนมาที่แดนวิญญาณ” บุรุษวัยกลางคนบนศีรษะมีขนนกสีแดงกระจุกหนึ่งอีกคนหนึ่งเอ่ยด้วยใบหน้าเคร่งขรึม

“มารโบราณระดับต่ำ มีประมาณเท่าไหร่?” ไม่รู้ว่าผู้ใดถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งแล้วไล่ซักถาม

“ที่แม่นยำไม่อาจรู้ได้ แต่อย่างน้อยก็น่าจะมีพันล้าน หรืออาจจะมากกว่านั้น” บุรุษขนนกครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วตอบ

“พันล้าน!”

เมื่อได้ยินคนกว่าครึ่งของที่นี่พลันสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไปเฮือกหนึ่ง แล้วเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา

“ไม่ใช่ว่าคำนวณผิดหรือ มารโบราณบริสุทธิ์ในแดนมารน่าจะมีไม่มากนัก จำนวนพันล้านแทบจะเป็นจำนวนหนึ่งในเกือบสิบส่วนของทั้งแดนมาร บรรพชนศักดิ์สิทธิ์เผ่ามารเหล่านั้นจะยอมเสี่ยงขนาดนี้ได้อย่างไร” หญิงชราสวมชุดคลุมหนังสีขาวอีกคนหนึ่งเอ่ยถามด้วยแววตาที่เปล่งประกาย

“ไม่ผิดแน่ เมืองหลักๆ ที่มารโบราณพักอาศัยอยู่ในแดนมารจำนวนไม่น้อยถูกละทิ้งไปแล้ว จำนวนนี้เป็นจำนวการที่คาดการณ์อย่างระมัดระวัง” บุรุษที่มีขนนกเอ่ยอย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม

“หึ ดูแล้วครั้งนี้ เผ่ามารคงมาแล้วจริงๆ น่าเสียดายก็คือแม้ว่าจะส่งคนทั้งหมดไปตรวจสอบที่แดนมาร ตั้งแต่ต้นจนจบก็ยังไม่อาจหาสาเหตุที่แท้จริงของการเปลี่ยนแปลงของเผ่ามารได้ มิเช่นนั้นหากพวกเราต่อกรด้วยล่ะก็ ก็มีโอกาสลงทุนน้อยแต่ได้ผลตอบแทนที่ทวีคูณ” ชายชราเรือนผมสีขาวหิมะหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา