ตอนที่ 6-2 ปรัสเซียนบลู
พอฉันทำท่าจะลุกขึ้นจากเตียง มืออุ่นๆ ของอีเซที่ไม่รู้เดินมาอยู่ข้างๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็จับแขนของฉันเอาไว้ ความเย็นแปลกๆ ที่หลงเหลืออยู่ในตัวหลังจากที่ไข้ลดลง พร้อมกับเหงื่อเย็นๆ ทำให้มือของอีเซดูจะร้อนกว่าปกติ
ฉันอยู่ในสภาพกึ่งนั่งกึ่งยืนแถมยังเหมือนจะโอบเอวอีเซด้วยท่าทางประหลาดๆ ส่วนอีเซก็ก้มลงมองฉันด้วยสายตาแปลกๆ ยังไงชอบกล
“คนป่วยคิดจะไปไหนน่ะ อยู่เฉยๆ เลย”
“ใช่ เพราะรู้ว่าจะเป็นอย่างงี้น่ะสิ เลยซื้อของกินมาให้แล้ว มากินกันเถอะ”
เซจินพูดเสริมเป็นลูกคู่ให้กับคำพูดของอีเซที่ฟังดูแข็งๆ ไปสักหน่อย ก่อนจะทำท่าชูสองนิ้วขึ้นมา แล้วลุกออกไปยังห้องรับแขกอย่างรวดเร็ว ต๊อกพกกีจ๋า ต๊อกพกกี อีเซจ้องมองแผ่นหลังที่ดูตื่นเต้นของเซจิน พร้อมกับพูดเสริมขึ้นมาเบาๆ
“ได้ข่าวว่าเวลาที่เธอเป็นไข้ จะอยากกินต๊อกพกกีงั้นเหรอ”
“หือ อ่อ… เซจินบอกเหรอ”
“อือ ยัยนั่นเลยบอกว่าจะต้องไปซื้อให้ได้ เลยถ่อไปจนถึงร้านอาหารที่อยู่หลังโรงเรียนน่ะ”
“…ขอบใจนะ”
ฉันรู้สึกขอบคุณหัวใจอบอุ่นนั่น จนสัมผัสได้ว่ามุมหนึ่งของหัวใจกำลังเต้นแรงขึ้น ฉันหันไปยิ้มให้อีเซอย่างใสซื่อ พลางกล่าวคำขอบคุณ แต่แล้วอีเซกลับทำหน้าบิดเบี้ยวประหลาดๆ ขึ้นมา เวลาพลบค่ำมาเยือน ภายในห้องเริ่มมืดลง ใบหน้าของอีเซที่ถูกทาบทับด้วยเงามืดค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้
“ไปกันเถอะ”
ความเงียบวนเวียนอยู่สักพัก ก่อนที่อีเซจะคว้าแขนของฉันไป ทำให้ฉันต้องดึงขาข้างหนึ่งออกมาจากเตียงเพื่อยืนขึ้นโดยไม่รู้ตัว
แต่แล้วจู่ๆ ฉันก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างหล่นตุ้บลงมาอยู่ตรงเท้าของฉัน เป็นเพราะห้องมันมืดเลยทำให้มองเห็นไม่ค่อยชัดนัก ฉันจึงมองไปรอบๆ อีเซก้มลงไปหยิบอะไรสักอย่างขึ้นมาจากพื้น
“อะไรน่ะ”
ฉันชำเลืองมองมือของอีเซ พลางถาม แต่หมอนั่นกลับไม่ตอบอะไรกลับมา ฉันจ้องมองไปที่ริมฝีปากของอีเซที่เหมือนจะแข็งทื่อไปซะดื้อๆ ‘อะไรเหรอ’ ฉันถามซ้ำ แต่อีเซ จะว่าอย่างไรดีล่ะ หมอนั่นเอาแต่ทอดสายตามองลงไปยังสิ่งของในมือทั้งที่ดวงตาสั่นไหว ดวงตาที่ชินกับความมืดเริ่มจะมองเห็นรูปร่างของสิ่งของรางๆ อ้า นาฬิกาข้อมือของรุ่นพี่อีกงนี่เอง
“…พี่มาที่นี่เหรอ”
เสียงของอีเซที่พูดคำว่า พี่ มันแหลมเสียจนฉันสะดุ้งเฮือก พร้อมกับก้าวถอยหลัง อีเซผู้สดใสร่าเริงอยู่เสมอ ในวันนี้กลับดูเยือกเย็นอย่างพิลึก น้ำเสียงที่ร่าเริงเองก็กลายมาเป็นเสียงทุ้มต่ำแทน เหมือนอย่างกับรุ่นพี่อีกงในวันนี้
“…อะ อือ”
ฉันตอบเสียงเบา ขณะที่จ้องมองไปยังแผ่นหลังของเซจินที่กำลังฮัมเพลงพร้อมกับรื้อค้นถุงพลาสติกที่อยู่ในห้องนั่งเล่น ทำไมจู่ๆ ถึงได้รู้สึกผิดกับเซจินขึ้นมานะ อาจจะเป็นเพราะฉันแอบพบกับรุ่นพี่ลับหลังเซจิน หรือทั้งที่ป่วยก็ยังอุตส่าห์จะฝันถึงรุ่นพี่ นั่นมันน่าอายสุดๆ ไปเลย คงจะทั้งหมดนั่นแหละ
ด้วยความรู้สึกอึดอัด ฉันจึงดึงข้อมืออีเซ แล้วชวนว่า ออกไปกันเถอะ แต่อีเซกลับทำแค่เพียงจ้องมองมาที่ฉันโดยไม่คิดจะขยับไปไหนเลยสักนิด
หมอนี่ตัวสูงขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย เงาของอีเซดูเหมือนจะใหญ่โตผิดไปจากปกติ ทำให้ฉันได้แต่ยืนเหม่อจ้องมองไปบนศีรษะของเขา
“ทำไมพี่ถึงมาที่นี่ล่ะ”
“หืม?”
“ฉันถามว่าทำไมพี่ฉันถึงมาที่นี่ล่ะ”
น้ำเสียงที่ไม่คุ้นหูทำให้ฉันสะดุ้งอีกครั้ง อีเซกำลังมองมาที่ฉันด้วยใบหน้าโกรธเคืองอย่างไม่รู้สาเหตุ ฉันได้แต่ทำหน้ามึนงง โดยที่ไม่สามารถตอบโต้อะไรกลับไปได้เลยนอกจากกรอกตาไปมา แล้วจู่ๆ อีเซก็กำข้อมือของฉันแน่น
มือที่ออกอาการฉุนเฉียวพอๆ กับน้ำเสียงทำให้ฉันที่ตกใจอยู่ทำหน้าเหยเกออกมา พอเงยหน้ามองไปยังอีเซ หางตาเรียวบางของอีเซก็หรี่ลง เขาแสดงท่าทางลังเล ก่อนจะปล่อยข้อมือ
“…ฉันเองก็จำอะไรไม่ค่อยได้ รุ่นพี่ก็มาจริงๆ นั่นแหละ แต่หลังจากนั้นเขาบอกว่า ฉันเป็นลมไปน่ะ”
“…”
“บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าฉันโดดซ้อมโดยที่ไม่ได้บอกอะไรก็ได้”
หลังจากที่ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ฉันพูดโพล่งคำพูดที่เหมือนจะเป็นคำแก้ตัวออกมาอย่างทุลักทุเลแล้ว เรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นเมื่อวานจนถึงวันนี้ก็เคลื่อนตัวผ่านเข้ามาภายในหัวของฉันอย่างกับรูปพาโนราม่า
ตั้งแต่ที่รุ่นพี่จูบฉันในห้องซ้อมเต้น เสียงทุ้มต่ำของรุ่นพี่ในตอนที่แวะมาหาฉันที่บ้านวันนี้ กับฝันต่างๆ ที่เกิดจากพิษไข้ ไปจนถึงรอยยิ้มของรุ่นพี่ที่ฉันตื่นขึ้นมาเห็น
นั่นทำให้หน้าอกของฉันรู้สึกเจ็บแปลบๆ ขึ้นมา ตอนนี้ฉันไม่รู้แล้วจริงๆ ว่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ อันไหนที่เป็นเรื่องจริง และอันไหนที่เป็นความฝันกันแน่
“นี่ พวกเธอมัวแต่ทำอะไรอยู่ในห้องน่ะ! นินทาฉันอยู่หรือไง”
เสียงบ่นของเซจินดังออกมาจากห้องนั่งเล่น ฉันตอบรับด้วยเสียงแหลมสูงว่า จะออกไปแล้ว ก่อนจะเนียนหลบสายตาของอีเซ ส่วนอีเซก็ยังคงปิดปากเงียบสนิท แล้วจ้องมองมาที่ดวงตาของฉัน
บรรยากาศเริ่มจะแปลกพิลึกขึ้นมา ฉันเอาแต่ขย้ำชายเสื้ออยู่อย่างนั้น แต่แล้วอีเซก็ถอนหายใจออกมา ก่อนจะเก็บนาฬิกาข้อมือใส่เข้ากระเป๋ากางเกงไป พลางพูดด้วยน้ำเสียงแข็งๆ
“ฉันจะเอานี่ให้พี่เองก็แล้วกัน”
“…อือ”
“ไปกันเถอะ”
มือของอีเซที่คว้าข้อมือของฉันอีกครั้งนั้น มันช่างเย็นยะเยือกต่างจากเมื่อกี้ลิบลับ
* * *
หลังจากที่เซจินกับอีเซกลับไป ฉันก็อาบน้ำล้างตัวแล้วมานั่งอยู่ที่ขอบโต๊ะหนังสือด้วยร่างกายเบาสบาย ขณะที่ดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่ไป ฉันก็จ้องมองท้องฟ้ายามค่ำคืนผ่านทางหน้าต่างไปด้วย
เมื่อฉันเห็นข้อความของคุณป้าที่บอกว่า ดูท่าจะต้องกลับบ้านดึกเพราะต้องทำงานล่วงเวลา นั่นทำให้ฉันรู้สึกเหงาขึ้นมาอย่างประหลาด อากาศของคืนกลางฤดูร้อนที่เต็มไปด้วยความชื้นสัมผัสเข้าที่ใบหน้า ฉันถอนหายใจ พลางเอียงตัวไปทางหน้าต่าง
พอดีกับที่เพลงของบทละครจีเซลล์ดังออกมาจากลำโพงที่ฉันเปิดทิ้งเอาไว้จนเป็นนิสัย และนั่นคือผลงานที่ฉันชื่นชอบมากที่สุด ฉันฮึมฮัมเพลงตามทำนองเพลงนั้นอย่างอารมณ์ดี แต่แล้วมือถือที่อยู่ในมือก็ส่งเสียงร้องขึ้น ฉันที่เผลอมองดูหน้าจอถึงกับต้องหยุดชะงักลง ‘รุ่นพี่อีกง’ ชื่อของรุ่นพี่เด้งขึ้นมา
“…สวัสดีค่ะ”
ฉันลังเลอยู่สักพักหนึ่ง ก่อนจะกดรับโทรศัพท์ น้ำเสียงที่ดูอารมณ์ดีดังลอดออกมาจากโทรศัพท์
[พี่เองนะ]
ฉันเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวให้กับคำพูดของรุ่นพี่ที่ยังคงเหมือนเดิม มันไม่ได้แปลกไป โล่งอกไปที ฉันค่อยๆ ผละตัวออกจากขอบหน้าต่าง ยืดตัวตรง พลางปรับจูนเส้นเสียงก่อนจะตอบกลับไป
“ค่ะ รุ่นพี่”
[เป็นยังไงบ้าง]
“ดีขึ้นมากแล้วล่ะค่ะ ขอบคุณนะคะ”
[พรุ่งนี้จะไปโรงเรียนหรือเปล่า]
“ต้องไปสิคะ ก็โดดซ้อมอีกไม่ได้แล้วนี่นา”
เสียงหัวเราะคิกคักดังออกมาจากโทรศัพท์ อ้า รู้สึกสบายใจจัง ตอนนี้อะไรก็ไม่สำคัญแล้วล่ะ ก็มันไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลยสักนิดนี่
[เห็นว่าวันนี้อีเซไปเยี่ยมงั้นเหรอ]
“อ๋อ ค่ะ มากับเซจินน่ะค่ะ”
[คือพี่ได้นาฬิกามาเมื่อกี้น่ะ]
“อ่อ ใช่ค่ะ พี่ลืมทิ้งเอาไว้น่ะค่ะ”
[เมื่อกี้มันใส่แล้วไม่ค่อยสบายเลยถอดวางไว้แป๊บนึงน่ะ ขอโทษนะ ทำให้ลำบากเลย]
“คะ? ลำบากอะไรกันล่ะคะ”
ไม่มีเสียงตอบรับของรุ่นพี่มาจากปลายสาย ความเงียบงันน่าประหลาดนั้นทำให้ฉันกังวลจนต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ความกระหายน้ำก่อตัวขึ้นบนริมฝีปากที่แห้งผาก หลายวันที่ผ่านมานี้ ฉันเดาใจอะไรรุ่นพี่ไม่ได้เลย อันที่จริง ก่อนหน้านี้เขาเองก็เป็นคนที่อยู่ไกลแสนไกลซะด้วยสิ
[เปล่า ไม่มีอะไรหรอก งั้นเจอกันพรุ่งนี้เช้านะ]
“ค่า…”
พรุ่งนี้เช้า คำนั้นทำให้ฉันเผลอยิ้มออกมาอีกจนได้ คิมฮวีกยอม เธอนี่มันไร้เดียงสาจริงๆ การที่ได้ไปโรงเรียนกับรุ่นพี่อีกครั้ง การที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม มันทำให้ฉันรู้สึกโล่งใจสุดๆ ไปเลย
ฉันทอดสายตามองไปยังโทรศัพท์มือถือที่เงียบลงหลังจากรุ่นพี่เอ่ยคำลาปิดท้ายด้วยคำว่า ‘ฝันดีนะ’ ก่อนที่ฉันจะหันหน้ากลับไปจ้องมองท้องฟ้าในยามค่ำคืนอีกครั้ง
รสชาติของเครื่องดื่มเกลือแร่ยังคงหลงเหลืออยู่ภายในปาก ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มีสีปรัสเซียนบลูเหมือนกับจะให้รสชาติแบบเดียวกัน กลิ่นที่เต็มไปด้วยความชุ่มช่ำของเปลือกแตงโมกำลังลอยมาจากที่ไหนสักแห่ง
* * *
เมื่อคืนฝนที่แสนจะน่าเบื่อตกลงมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ข่าวตอนเช้ามีรายงานเรื่องน่าหดหู่จากพายุฝนที่ตกเมื่อคืนวาน ฝนตกหนักทำให้น้ำไหลทะลักจากลำธารเล็กๆ เป็นเหตุให้มีคนจากพื้นที่แห่งหนึ่งถูกน้ำซัดหายไป
เวลาที่ฝนตกหนักแบบนี้แม่มักจะพึมพำเบาๆ อยู่เสมอว่า ย้ายหลุมศพของยายดีไหมนะ ทั้งที่เป็นคำที่พูดกับฉัน แต่ดูเหมือนว่าท่านจะไม่ได้คาดหวังคำตอบใดๆ อย่างกับเป็นแค่คำพูดที่พูดขึ้นมาลอยๆ เท่านั้น พอย่างเข้าสู่ฤดูร้อนทีไร แม่ก็มักจะรู้สึกหดหู่ขึ้นมาทุกที
เพราะอย่างนั้น ในวันที่แม่แต่งงานใหม่ออกไป วันนั้นก็ได้สร้างความทรงจำอันแสนพิเศษขึ้นมาภายในหัวของฉัน การได้กลายเป็นเจ้าสาวในฤดูร้อนอันแสนสุข ซึ่งต่างไปจากช่วงเวลาปกติ มันทำให้แม่ที่อยู่ในชุดสีขาวพร้อมกับรอยยิ้มดูสง่างามมากจริงๆ
“ฮวีกยอม วันนี้จะกลับมากี่โมงล่ะ”
ฉันที่กำลังหวนคิดถึงช่วงเวลาในอดีตอันเลือนราง ถูกดึงสติกลับมาอย่างฉับพลันด้วยเสียงของคุณป้า ต่อจากนั้นฉันจึงนั่งยองๆ แล้วรีบผูกเชือกรองเท้าผ้าใบ พลางตอบ
“อืม สักหกโมงมั้งคะ”
“โอเค เดินทางดีๆ ล่ะ”
วันนี้หลังจากกลับมา ฉันวางแผนว่าจะไปชอปปิ้งที่ห้างสรรพสินค้ากับคุณป้า คุณป้าที่ยังลืมตาตื่นขึ้นมาได้ไม่เต็มตา ฉีกยิ้มพร้อมกับโบกมือลา
ฉันลองแกว่งรองเท้าที่ผูกเชือกเรียบร้อยแล้วไปด้านหน้าและด้านหลังรอบหนึ่ง แล้วจึงลุกขึ้น จุ๊บ เสียงที่ดังขึ้นจากการหอมแก้มของคุณป้าที่ไม่รู้ว่ามาอยู่ข้างๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่
“ไปก่อนนะค้า”
“จ้า”
ฉันหันไปส่งยิ้มให้กับคุณป้าที่ตบก้นฉันเบาๆ ก่อนจะเปิดประตูหน้าแล้วเดินออกไปข้างนอกอย่างร่าเริง อากาศชื้นๆ หลังจากที่ฝนหยุดตกเข้ามาที่ปลายจมูก
วันที่เต็มไปด้วยความชื้นมักจะทำให้กลิ่นของสิ่งต่างๆ ชัดเจนยิ่งขึ้น คงเพราะเป็นอย่างนั้นล่ะมั้ง เลยทำให้กลิ่นของอาคาเซียเข้มขึ้นตามไปด้วย พอหันหน้าไปมองทางฝั่งซอย จู่ๆ แสงแดดที่ส่องลงมาก็เปล่งประกายจนแสบตา
“อรุณสวัสดิ์”
เสียงของรุ่นพี่ ไม่ว่าจะฟังเมื่อไหร่ก็ทำให้รู้สึกตื่นเต้น ฉันมองผมหน้าม้าของรุ่นพี่อีกงที่ยาวขึ้นมากจนฉันไม่ทันได้สังเกต ผมหน้าม้านั้นปลิวเบาๆ ไปตามสายลมภายใต้แสงแดดที่ส่องลงมา ฉันจึงรีบวิ่งไปโค้งทักทายรุ่นพี่อย่างรวดเร็ว
“สวัสดีค่ะ”
“หลับฝันดีไหม”
“ค่ะ แล้วรุ่นพี่ล่ะคะ”
“เหมือนกัน”