หวงฝู่อี้เซวียนสั่งด้วยเสียงที่เย็นชา “เจ้าไปเฝ้าอยู่ด้านนอกประตู เพื่อกันคนที่จะมาเรียกให้อยู่ข้างนอก อย่าได้ทำให้คนในบ้านตกใจ”
โจวอันรับคำ แล้วไปรอที่ประตูใหญ่
พวกเมิ่งเชี่ยนโยวได้ถอดชุดนอกออกเพื่อเตรียมตัวพักผ่อน ได้ยินแล้ว ก็เปิด**บขึ้น แล้วสวมชุดใหม่อีกครั้ง “เงินแสนตำลึงอุดปากพวกเขาไว้ไม่ได้ เช่นนั้นก็อย่าได้กล่าวโทษข้าเลย ข้าจะให้พวกเขาต้องเสียใจที่ไปฟ้องต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท”
เมิ่งเชี่ยนโยวตื่นแต่เช้าตรู่ จนถึงตอนนี้ยังไม่ได้พักผ่อน หวงฝู่อี้เซวียนกังวลตลอดว่านางจะเหนื่อยเอาได้ ตอนนี้พรรคพวกตาเฒ่าเหล่านี้ก็ยังไม่จบไม่สิ้น หวงฝู่อี้เซวียนเริ่มโมโหแล้ว พยักหน้า “เจ้ารับชมเหตุการณ์อยู่ข้างๆ ก็พอ ปล่อยให้ข้าจัดการเอง”
ใบหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวเผยรอยยิ้ม เดินมาตรงหน้าเขา ยื่นมือโอบคอพร้อมเขย่งปลายเท้าไปจูบที่ริมฝีปากเขา แล้วยิ้มพูด “ดี ข้าก็ชอบรับชมอยู่แล้ว”
การกระทำนี้ของนางถูกใจหวงฝู่อี้เซวียนอย่างมาก รอยยิ้มบนใบหน้าขยายออกกว้าง ภายในห้องราวกับสว่างไสวขึ้นมาโดยพลัน
เมิ่งเชี่ยนโยวเกือบจะถูกประกายที่สว่างสดใสของเขาส่องจนตาบอด ริมฝีปากจึงประกบเข้าไปอีก
ครั้งนี้หวงฝู่อี้เซวียนกลายเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ราวกับว่าเท่าไรก็ไม่เต็มอิ่ม กระทั่งรู้สึกได้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวใกล้จะขาดอากาศหายใจถึงจะปล่อยนาง หอบหายใจแรง แล้วบ่นพึมพำอย่างไม่สบอารมณ์ “เมื่อไรจะสามเดือนนะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวอิงที่อ้อมอกของเขา และลอบหัวเราะจนทั้งร่างสั่นไม่หยุด
หวงฝู่อี้เซวียนลูบหัวนางด้วยความรู้สึกทั้งโกรธทั้งขำ ฟังน้ำเสียงอย่างไรก็คล้ายว่ากำลังกัดฟันพูด “ตอนนี้ให้เจ้าได้ใจไปก่อน ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องถึงเวลาที่ข้าจะจัดการกับเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งหัวเราะหนักขึ้น
และแล้วก็มีคนจากวังหลวงมาเรียกจริงๆ โจวอันกันพวกเขาไว้ที่ด้านนอกของประตูใหญ่ก่อน แล้วเดินเข้าไปรายงานภายในเรือนอย่างรีบร้อน หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวไม่กล้าทำให้คนอื่นตื่นตระหนก หลังจากที่ออกจากประตูบ้านอย่างเงียบๆ แล้ว ถึงจะให้ชิงหลวนไปส่งจดหมายให้แก่เมิ่งซื่อ บอกว่าวันนี้พวกเขามีธุระ จึงกลับจวนไปแล้ว
เมิ่งซื่อขมวดคิ้วด้วยความกลัดกลุ้ม เวลานี้ก็จวนจะเที่ยงแล้ว นางได้เริ่มทำอาหารแล้ว มีธุระรีบด่วนอันใดที่ต้องกลับไปในเวลานี้กัน พอถามชิงหลวน ชิงหลวนก็ส่ายหน้าบอกไม่ทราบ จากนั้นชิงหลวนก็หันกายตามออกไป
ที่ประตูวังหลวงได้มีขันทีเฝ้าอยู่ตั้งนานแล้ว เมื่อเห็นทั้งคู่เข้าประตูวังหลวงมา ก็รีบเข้าไปต้อนรับ และพูดด้วยเสียงนอบน้อม “ซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟย ฝ่าบาทมีพระราชรับสั่งให้พวกท่านไปที่ตำหนักหย่างซินขอรับ”
ทั้งคู่พยักหน้า แล้วตามขันทีมาถึงตำหนักหย่างซิน ยังไม่ทันได้เข้าไป ก็ได้ยินเสียงร้องห่มร้องไห้ของพวกท่านโหวอาวุโสและเสียงโอดครวญของท่านโหว ทั้งสองมองหน้าแล้วยิ้มให้กัน จากนั้นเดินเข้าไปด้านใน
สีพระพักตร์ของฮ่องเต้บึ้งตึง นั่งอยู่กลางตำหนักหย่างซิน แผ่ไอความโกรธออกมาทั้งพระวรกาย
ฮ่องเต้ถูกคนพวกนี้โวยวายจนทำให้ปวดพระเศียร ความโมโหที่อยู่เต็มทรวงไร้ที่ระบาย ครั้นเห็นหวงฝู่อี้เซวียน ก็หาที่ระบายได้ในที่สุด ไม่รอให้เขาได้เอ่ยปากแก้ตัว ก็คว้าหนังสือเล่มหนึ่งที่วางอยู่ข้างพระวรกายโยนกระแทกใส่ พร้อมตวาดด้วยความกริ้ว “เจ้าทำเรื่องงามหน้านัก!”
หวงฝู่อี้เซวียนชูมือขึ้น แล้วรับมาได้อย่างง่ายดาย มองฮ่องเต้แวบหนึ่ง แล้วจึงวางหนังสือนั่นไว้บนเก้าอี้ตัวเองอย่างระมัดระวัง แล้วพูด “เสด็จลุงพ่ะย่ะค่ะ ทรงพิโรธแล้วจะเป็นอันตรายต่อพระวรกายได้ พระองค์ชราแล้วควรต้องรักษาพระวรกายให้ดีนะพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ยิ่งเดือดดาลขึ้นไปอีก อยากจะควานหาของโยนใส่เขาอีก หาอยู่นาน ถึงจะคว้าถ้วยชาใบหนึ่งได้ ทว่า ขณะที่ยกขึ้นมา ก็รู้สึกเสียดายที่จะทำมันแตก จึงชี้ไปที่พวกท่านโหวที่กำลังร้องโอดครวญอยู่ทั่วพื้น ถามด้วยน้ำเสียงติเตียนอย่างฉุนเฉียว “พวกเขาล้วนเป็นเสาหลักของราชวงศ์ เจ้าลงมือโดยไม่รู้หนักเบาเช่นนี้ เราจะตายเพราะโมโหเจ้านี่ล่ะ”
หวงฝู่อี้เซวียนเอียงศีรษะเล็กน้อย แล้วบริจาคสายตามองให้กับเหล่าท่านโหวที่กำลังร้องโอดครวญทั่วพื้นแวบหนึ่ง จากนั้นจึงละสายตากลับมา แล้วพูดอย่างจริงจังเคร่งเครียด “เสด็จลุงพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ตรัสผิดแล้ว หลานทำเรื่องที่ดีอย่างมากต่างหากพ่ะย่ะค่ะ ทั้งนี้ก็เพื่อคลายความกังวลให้แก่ราชวงศ์พ่ะย่ะค่ะ”
สีพระพักตร์ของฮ่องเต้กลายเป็นสีเขียว เอาพระหัตถ์ตบโต๊ะอย่างแรง แล้วตรัสอย่างเกรี้ยวกราด “พูดจาเหลวไหลทั้งนั้น เจ้าดูพวกเขาเสียก่อน แต่ละคนบาดเจ็บสาหัสถึงขนาดนี้ ในช่วงนี้แม้แต่จะเคลื่อนไหวยังยากลำบาก เจ้ายังบอกว่าเช่นนี้ก็เพื่อคลายความกังวลให้แก่รางวงศ์อย่างนั้นหรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนยืดอกผึ่งผาย พูดอย่างน่าเกรงขาม “เสด็จลุงพ่ะย่ะค่ะ บ้านเมืองและประชาชนในตอนนี้ล้วนสงบสุข พวกท่านโหวทั้งวันก็ไม่มีที่ไหนจะได้ใช้วิชายุทธ์ มีพละกำลังกลับไม่มีที่ออกแรง นานวันเข้าแล้ว ก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดความคิดที่เป็นภยันตราย สิ่งที่ข้ากระทำจึงเรียกว่าเป็นการป้องกันภัยไว้ก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
ถ้วยชาที่นึกเสียดายที่จะโยนออกไปบนพระหัตถ์ของฮ่องเต้เมื่อครู่ลอยออกไปถึงตรงหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนอย่างรวดเร็ว เสียงที่เฉียวฉุนก็ดังตามมาด้วย “พูดจาเหลวไหลได้อย่างเต็มปากนัก เจ้าจงคุกเข่าลงเดี๋ยวนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ขยับ หวงฝู่อี้เซวียนเอื้อมมือออกไปรับถ้วยชา ถือมองอยู่ในมือ แล้วส่งให้แก่เมิ่งเชี่ยนโยว พร้อมกำชับนางด้วยเสียงเบาๆ “ถือไว้นะ” หลังจากนั้น ถึงจะจงใจกล่าวยั่วโมโหขึ้นอีก “ในเมื่อเสด็จลุงพระราชทานรางวัลให้ หลานก็จะรับไว้พ่ะย่ะค่ะ แต่เพียงถ้วยเดียวออกจะดูไม่งาม ขอเสด็จลุงทรงยกพระหัตถ์ แล้วพระราชทานให้กระหม่อมทั้งหมด เพราะวันนี้หลานจะต้องชดใช้เงินจำนวนล้านกว่าตำลึง แม้แต่เงินซื้อถ้วยชาก็ล้วนไม่มีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้โมโหจนแม้แต่หนวดเคราแต่ละเส้นที่ยังไม่งอกขึ้นก็ชูขึ้นมา ทำอย่างไรก็ฝืนกลั้นความโกรธของตัวเองไว้ไม่ได้ แทบอยากจะยกเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้างโยนเข้าใส่ แล้วร้องคำรามด้วยเสียงที่เกรี้ยวกราด “เราบอกให้เจ้าคุกเข่าลงเดี๋ยวนี้!”
เสียงนี้รวมความกริ้วของทั้งพระวรกายของพระองค์เอาไว้ เสียงที่ออกมาดัง ไม่เพียงแต่สะท้านใบหูทุกคนที่อยู่ในตำหนักหย่างซิน แม้แต่บนเพดานของตำหนักหย่างซินก็สั่นด้วย ทำให้ท่านโหวอาวุโสตกใจจนไม่ร้องสะอื้นอีกแล้ว และท่านโหวก็ไม่ร้องโอดครวญแล้ว ทุกคนมองฮ่องเต้ด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึง
หวงฝู่อี้เซวียนก็คุกเข่าลงด้วยความตะลึงแล้วจริงๆ เข่าตกลงพื้นเสียงดัง ตุบ
น้ำตาของเมิ่งเชี่ยนโยวไหลออกมาโดยพลัน และร้องไห้ขอเมตตา “ฝ่าบาทเพคะ ให้ข้าคุกเข่าแทนอี้เซวียนเถิดเพคะ เขาเพิ่งจะได้รับบาดเจ็บมา ร่างกายอ่อนแออย่างยิ่งเพคะ”
หวงฝู่อี้เซวียนจึงกระแอมรับตาม และบนหน้าผากก็มีเหงื่อไหลซึมออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวคว้าผ้าเช็ดหน้าซับให้แก่เขาขณะที่สายตาพร่ามัวไปด้วยน้ำตา น้ำตานั้นไหลรินออกมาไม่หยุด
อย่าว่าแต่ฮ่องเต้ แม้แต่หวงฝู่ซวิ่นก็ตกใจอย่างมาก
ฮ่องเต้ลืมว่าตัวเองกำลังโมโหโดยทันที แล้วตรัสถามอย่างร้อนรน “เขาได้รับบาดเจ็บตั้งแต่เมื่อใด บาดเจ็บตรงไหนหรือ”
“ฝ่าบาท วันนี้อี้เซวียนคนเดียวต่อสู้กับพวกท่านโหวมากมาย แม้ว่าเขาจะมีวิทยายุทธ์ที่สูงแกร่งแค่ไหน ก็ไม่อาจที่จะไม่มีบาดแผลแม้แต่น้อยได้นะเพคะ และพวกท่านโหวมีใจที่โหดเ**้ยม อยากจะทำร้ายเขาให้บาดเจ็บถึงอวัยวะภายในเลยเพคะ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดไปสะอึกสะอื้นไป
“เจ้าพูดจาเหลวไหล จะเพิ่มพวกเราเข้ามาอีกก็ยังสู้กับเขาคนเดียวไม่ได้ เขาจะบาดเจ็บได้อย่างไรเล่า” ท่านโหวที่ใบหน้าเขียวช้ำ แขนซ้ายห้อยโตงเตงออกปากโต้เถียง
เมิ่งเชี่ยนโยวเช็ดน้ำตา หันศีรษะมองเขา และถาม “ท่านโหวทั้งหลาย ตั้งแต่เล็กได้รับการเลี้ยงดูจากท่านโหวอาวุโส วิชาการต่อสู้ย่อมไม่ต้องพูด อี้เซวียนเริ่มเรียนการต่อสู้เพียงแค่ในช่วงเวลาสองปีมานี้ ท่านโหวพูดเช่นนี้ ในใจไม่มีความละอายแม้แต่น้อยเลยหรือเจ้าคะ”
“เจ้า…” ท่านโหวถูกตอกกลับจนพูดไม่ออก
หวงฝู่ซวิ่นดวลกับหวงฝู่อี้เซวียนมาเป็นเวลานาน ย่อมรู้ว่าฝีมือเขาเป็นอย่างไร ครั้นคำพูดนี้ของเมิ่งเชี่ยนโยวดังออกไป เขาก็เข้าใจโดยทันทีว่านางจะทำอะไร ท่าทีที่เป็นกังวลก็สูญสิ้นไป แล้วนั่งหลังตรง รอดูความสนุกที่จะเกิดขึ้นในเวลาต่อมา
หวงฝู่อี้เซวียนเติบโตที่บ้านนอกเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็รู้กัน หลังจากกลับจากจวนอ๋องฉี อ๋องฉีถึงจะเชิญอาจารย์มาสอนวิทยายุทธ์ให้แก่เขา ดังนั้น ต่อให้เขามีพรสวรรค์มากแค่ไหน ก็เทียบไม่ได้กับพวกลูกของท่านโหวที่ฝึกฝนวิทยายุทธ์มาตั้งแต่เล็ก ทันทีที่เมิ่งเชี่ยนโยวพูดออกไป ฮ่องเต้ก็เชื่อไปมากกว่าครึ่งหนึ่ง สีพระพักตร์ก็มองไปทางคนกลุ่มคนพวกนั้นที่อยู่ในตำหนักหย่างซินอย่างไม่สบอารมณ์ สายตาตรวจสอบใบหน้าของแต่ละคน แล้วถามท่านโหวอาวุโสหลิวที่อายุมากที่สุดโดยที่ในน้ำเสียงไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ “ที่ซื่อจื่อเฟยพูดนั่นเป็นความจริงหรือ”
ท่านโหวอาวุโสแซ่หลิวติดตามฮ่องเต้มานานหลายปี ทุกๆ การเคลื่อนไหว ทุกๆ สายตาของฮ่องเต้ เขาล้วนรู้ว่าหมายความว่าอย่างไร สายตาของฮ่องเต้เช่นนี้ ก็คือสัญญาณที่บอกว่าพระองค์กำลังพิโรธแล้วอย่างไรล่ะ เขารู้สึกผวาจนบนศีรษะมีเหงื่อซึมออกมาทันที ภายใต้ความรู้สึกที่หวั่นเกรง ก็ตอบด้วยเสียงที่สั่นระรัว “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ การท้าดวลของซื่อจื่อกับพวกเด็กๆ นั้น มีไท่จื่อเป็นสักขีพยาน ไม่ว่าจะเป็นหรือตายอย่างไร ทั้งสองฝ่ายก็จะไม่คิดแค้นกันภายหลังพ่ะย่ะค่ะ”
สิ่งที่เมิ่งเชี่ยนโยวต้องการก็คือประโยคหลังของเขา เมื่อสิ้นคำพูดของอาวุโส นางก็ส่งเสียงสะอื้นเบาๆ แล้วพูดว่า “ที่ท่านโหวอาวุโสพูดเป็นความจริงเพคะ แต่ก่อนหน้านี้ หม่อมฉันกลัวว่าอี้เซวียนจะทำให้พวกท่านโหวบาดเจ็บแล้วจริงๆ ดังนั้น จึงรับปากว่าจะให้เงินคนละหนึ่งแสนตำลึง หลังจากกลับบ้านไป ก็ให้คนมามอบให้แก่ไท่จื่อแล้วเพคะ พวกเขาปากก็พร่ำบอกว่าหม่อมฉันเป็นคนบ้านนอก ไม่รู้จักมารยาทกาลเทศะ ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอน ทว่า อย่างน้อยคนบ้านนอกอย่างหม่อมฉันคนนี้ก็รักษาคำพูด ส่วนพวกเขาน่ะเพคะ พวกเขากลับผิดคำพูด รับปากแล้วแต่กลับไม่ยอมรับ แล้วยังมาฟ้องต่อพระพักตร์ฝ่าบาทอีก หม่อมฉันกลับอยากจะถามเสียหน่อยนะเพคะว่าตกลงแล้วเป็นผู้ใดกันแน่ที่ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอน ไม่รู้จักมารยาทกาลเทศะ”
สิ้นคำพูดของนาง ไม่เพียงแต่ท่านโหวอาวุโสแซ่หลิว ท่านโหวคนอื่นก็มีเหงื่อผุดออกบนหน้าผาก พวกเขานึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่า เมิ่งเชี่ยนโยวจะเอาคำพูดที่พวกเขาเคยพูดทั้งหมดบอกให้แก่ฮ่องเต้ฟัง นี่ไม่เพียงแต่ลูกของตัวเอง เกรงว่าแม้แต่ตัวเองก็หนีไม่พ้นที่จะถูกฮ่องเต้ตำหนิไปด้วย นี่มันเป็นการขโมยไก่ไม่ได้ แล้วยังเสียข้าวสารอีกกำมือจริงๆ
แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริง ความคิดในใจของพวกเขายังไม่ทันสิ้นสุด เสียงที่เดือดดาลพร้อมความน่าเกรงขามของฮ่องเต้ก็ดังขึ้น “ท่านโหวอาวุโสที่รักทุกท่าน ที่ซื่อจื่อเฟยพูดเป็นความจริงหรือ”
ถ้าหากไม่มีหวงฝู่ซวิ่นเป็นพยาน พวกเขาอาจจะยังพูดแถไถได้ เพราะไม่ว่าอย่างไร หลายปีนี้ พวกเขาก็เข้าขากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ยอยู่แล้ว ครั้งนี้ก็ไม่ต่างกัน แต่แย่ก็ตรงที่หวงฝู่ซวิ่นอยู่ในสถานการณ์เวลานั้นด้วย อีกทั้ง พวกเขายังรับตั๋วแลกเงินแสนตำลึงนั่นมาแล้ว ไม่ว่าอย่างไรครั้งนี้ก็แถต่อไม่ได้
ตำหนักหย่างซินเต็มไปด้วยความเงียบสงัด ไม่มีใครพูด มีแต่เพียงเสียงลมหายใจแรงๆ ของท่านโหวอาวุโสแต่ละคนวนเวียนไปมาอยู่ภายในห้อง
หวงฝู่ซวิ่นชมนางในใจว่าเก่ง เพียงพูดแค่ไม่กี่คำก็ทำให้ท่านโหวอาวุโสพวกนั้นเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และพูดอะไรไม่ออก ในเวลาเดียวกันในใจก็เตือนตัวเองว่า ต่อไปอย่าได้มีเรื่องอะไรกับนางเด็ดขาด มิฉะนั้นก็ต้องมีจุดจบที่เลวร้ายแน่นอน
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครพูด ฮ่องเต้ก็ส่งเสียงแสยะยิ้ม เสียงนี้ดังเข้าไปในหูของพวกท่านโหวอาวุโส เป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าว่าฮ่องเต้จะลงโทษพวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัยเลย ท่านโหวอาวุโสคุกเข่าลงบนพื้นเป็นคนแรก แล้วทุกคนก็ล้วนทำตามเป็นเสียง ปึง ปึง พร้อมพูดอ้อนวอนไม่ขาดสาย “ฝ่าบาท เป็นเพราะพวกกระหม่อมเห็นว่าหลานๆ ถูกทำร้ายจนดูไม่ออกว่าใครเป็นใคร จึงโมโหแล้วถึงพูดกับซื่อจื่อเฟยออกไปโดยมิได้ไตร่ตรอง เป็นความผิดของกระหม่อมเอง กระหม่อมจะชดใช้โทษให้แก่ซื่อจื่อเฟยพ่ะย่ะค่ะ”
“เรื่องชดใช้โทษน่ะไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ ข้าเพียงแต่อยากจะขอร้องทุกท่านว่า ต่อไปอย่าได้ก่อกวนคนของบ้านข้าและจวนอ๋องเนื่องด้วยเหตุนี้อีกก็พอแล้วเจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
ท่านโหวอาวุโสทุกคนโบกมือปฏิเสธพร้อมกัน “ไม่ ไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน กล้าพนันก็กล้ารับความพ่ายแพ้ เรื่องวันนี้เป็นเพราะพวกข้าสับสนเอง ขอซื่อจื่อเฟยวางใจ ต่อไปจะไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีกแล้ว”
อย่างไรก็เป็นคนที่เคยช่วยเหลือตนมาก่อน ฮ่องเต้จึงไม่อาจที่จะทำอะไรเกินเลยได้ แต่ก็ไม่อาจที่จะปล่อยพวกเขาไปอย่างง่ายๆ เช่นนี้เหมือนกัน เพื่อว่าต่อไปเมื่อบาดแผลของพวกเขาหายแล้วก็จะลืมความเจ็บ แล้วปล่อยให้ลูกหลานของตัวเองทำเรื่องที่ไม่ถูกต้องขึ้นมาอีก จึงยังคงไม่เก็บความโกรธ พูดกับท่านโหวอาวุโสแต่ละคนด้วยความน่าเกรงขาม “เรื่องวันนี้ พวกเจ้าเป็นฝ่ายผิดก่อน กลับวิ่งมาฟ้องต่อหน้าเรา แล้วกล่าวโทษอีกฝ่าย ทำให้ซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยถูกกล่าวหา หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ทุกคนล้วนต้องบอกว่าฮ่องเต้อย่างข้าไร้ความยุติธรรม ดังนั้น เราจำเป็นต้องลงโทษพวกเจ้า”
ได้ยินน้ำเสียงของฝ่าบาทไม่เปลี่ยนแปลง ก็รู้ว่าพระองค์ทรงกริ้วจริงๆ แล้ว ท่านโหวอาวุโสก็ไม่กล้ากล่าวอ้างคุณความดีของตัวเองแต่ก่อน ทุกคนล้วนก้มศีรษะจรดพื้น “กระหม่อมน้อมรับโทษพ่ะย่ะค่ะ”
ครานี้น้ำเสียงของฮ่องเต้ถึงจะผ่อนลงเล็กน้อย และพูด “เรื่องวันนี้ ในเมื่อเป็นการท้าของทั้งสองฝ่าย เช่นนั้นเงินแสนตำลึงที่ซื่อจื่อเฟยให้ต้องเอาคืนกลับไปเท่าจำนวนเดิม และต้องชดใช้อย่างเหมาะสมให้แก่ซื่อจื่อเฟย ส่วนค่าชดใช้เท่าไรนั้น เราคิดแล้วว่าให้พอเป็นพิธีก็น่าจะได้ ทุกจวน จวนละหนึ่งหมื่นตำลึงก็แล้วกัน”
พวกท่านโหวอาวุโสตกใจจนเหงื่อท่วมศีรษะแล้ว สติยังไม่คืนกลับมา แต่ก็พยักหน้ารับคำ
เหล่าท่านโหวอยู่ที่พื้นสมองแจ่มชัดยิ่ง ความเกลียดภายในใจนั่น ผนวกกับที่พวกเขาวุ่นวายกว่าครึ่งวัน ไม่เพียงแต่โดนเตะต่อย กลับยังจะต้องชดใช้ด้วยเงินหมื่นตำลึงอีก หากรู้ตั้งแต่แรกว่าจะได้รับผลลัพธ์เช่นนี้ แล้วทำไมพวกผู้ใหญ่ของตัวเองต้องขี้ขลาดคิดโง่ๆ มาฟ้องต่อพระพักตร์ฝ่าบาทด้วย ไม่อย่างนั้นก็จะได้เงินแสนตำลึงเสียแล้ว แต่วาจาของฮ่องเต้นั้นศักดิ์สิทธิ์ เมื่อออกพระราชโองการแล้ว พวกเขาไม่อยากรับก็ต้องรับ มิฉะนั้นก็จะเป็นการต่อต้านพระราชโองการ ซึ่งมีโทษถึงขึ้นโดนประหารทั้งโคตร
และเช่นนี้เอง ตั๋วแลกเงินจำนวนล้านกว่าตำลึงกลับคืนสู่มือของเมิ่งเชี่ยนโยว อีกทั้งเพียงเวลาประเดี๋ยวเดียวนี้ ยังจะได้เพิ่มอีกแสนตำลึง เทียบกับเงินเก็บสะสมภายในร้านแลกตั๋วเงินแล้วยังจะมากกว่าเสียอีก
ท่านโหวอาวุโสทุกท่านล้วงตั๋วแลกเงินออกมา แล้วก็ล่องลอยหายไปไม่เห็นฝุ่น
หวงฝู่อี้เซวียนกลับคุกเข่าอยู่ ไม่เคลื่อนไหว
ฮ่องเต้มองเขาที่ทำท่าทำทาง แล้วกล่าวตำหนิด้วยรอยยิ้ม “ยังไม่รีบลุกขึ้นมาอีก! หรืออยากจะให้เราพยุงเจ้าขึ้นมาด้วยตัวเราเองหรืออย่างไร”