ตอนที่ 397 เรียกเราว่าฮ่องเต้หญิง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

จีเฉวียนลุกขึ้นประทับนั่ง พลางจัดแจงเสื้อผ้าอย่างช้าๆ 

 

 

ใต้หล้านี้มีวิชาแปลงโฉมอยู่ชนิดหนึ่ง ที่หากมองด้วยตาเปล่าย่อมไม่อาจแยกแยะได้ และต่อให้ใช้มือสัมผัสก็ตรวจสอบไม่พบ 

 

 

ช่างบังเอิญ…..ที่พระองค์ทรงเป็นวิชานี้อยู่ 

 

 

ดังนั้นก่อนมายังตำหนักหย่งหนิงกงจึงได้ทรงตระเตรียมพระองค์เอาไว้ถึงสองขั้น 

 

 

แต่พระองค์คาดไม่ถึงว่า เมื่อปิดบังใบหน้าทั้งหมด จนเหลือแต่เพียงแค่ลูกกระเดือกแล้ว นางจะยังคงสงสัยในตัวพระองค์ได้อีก 

 

 

หรือว่าวิชาแปลงโฉมที่ลึกล้ำ เมื่ออยู่ต่อหน้านางกลับยังเผยพิรุธออกมา 

 

 

………………. 

 

 

พระเกศากลุ่มหนึ่งปัดผ่านพระศอ ปิดบังรอยแผลเป็นบนพระศอเอาไว้ 

 

 

จีเฉวียนทรงพลาดไปแล้ว……นี่เป็นบาดแผลที่ได้รับจากการมาแคว้นเหยียนเมื่อครั้งก่อน บาดแผลลึก ทิ้งเป็นรอยแผลเป็นที่จะอย่างไรก็ไม่หาย 

 

 

ตอนนี้พระองค์ถึงได้ทรงคิดได้ว่า ตอนนั้นที่ถูก ‘ฉางซุนอิง’ สัมผัสที่ตรงนี้ ….. ได้ทิ้งร่อยรอยที่ไม่อาจลบล้างเอาไว้ในใจของนาง 

 

 

นางยังคงโกรธอยู่ เนื่องเพราะห่วงและหวงจึงได้โกรธ 

 

 

พระทัยของจีเฉวียนสับสนวุ่นวายไปหมดแล้ว 

 

 

ความรักที่พระองค์มีให้ตู๋กูซิงหลัน ไม่ใช่แต่เพียงคำพูดเท่านั้น แต่ยังคิดจะปกป้องนาง ปกป้องนางให้ปลอดภัยที่สุด 

 

 

เส้นทางในอนาคตของพระองค์กับนาง ให้พระองค์เป็นผู้กรุยทางขึ้นมาก็พอแล้ว 

 

 

ก่อนที่จะได้พบกับนาง พระองค์ไม่เคยต้องคำนึงถึงผลใดๆที่จะตามมา…. 

 

 

ฮ่องเต้ที่กำเนิดขึ้นมาจากความมืดมิด แต่ไหนแต่ไรย่อมต้องโหดเ**้ยมเจ้าเล่ห์อยู่แล้ว 

 

 

ดังนั้นรอยประทับจูนั่น พระองค์จึงไม่เคยใส่พระทัยเลยเสียด้วยซ้ำ 

 

 

แต่มิได้ทรงคิดว่านางจะ… 

 

 

พระองค์มองดูตู๋กูซิงหลัน เห็นดวงตาของนางวาวโรจน์ด้วยความคลางแคลงและขุ่นเคือง 

 

 

พระองค์เสด็จลงจากแท่นบรรทมตรงไปยังเชิงเทียน เป่าเทียนดับลงและยกเชิงเทียนขึ้นมา 

 

 

ปลายที่แหลมคงของเชิงเทียนกรีดลงไปบนพระศอในทันที บาดรอยแผลเป็นนั้นจนเหวอะหวะอีกครั้ง 

 

 

แผ่นหนังชิ้นหนึ่งถูกเฉือนออกมา โลหิตสดๆไหลนอง 

 

 

จากนั้นค่อยหันไปทางตู๋กูซิงหลัน “ฝ่าบาททรงชิงชังรอยแผลเป็นบนคอของข้า….แผลนั้นต่อไปนี้จะไม่มีอีกแล้ว” 

 

 

ขณะที่โลหิตจากพระศอไหลผ่านไหปลาร้าลงไปยังพระอุระ พระขนงของพระองค์กลับไม่ได้ขมวดเลยด้วยซ้ำ  

 

 

เสื้อผ้าชุดขาวที่หลวมกว้างตัวนั้นถูกย้อมสีไปแถบใหญ่จนดูบาดตา 

 

 

“พอมีเนื้อใหม้ขึ้นมา ก็จะสะอาดแล้ว” 

 

 

พระองค์จดจ้องไปยังนาง กดความคิดถึงสุดพระทัยนั้นลงไป 

 

 

ตู๋กูซิงหลันมองดูแผ่นหนังชิ้นใหญ่ในมือของเขา ประกายจากดวงตาดอกท้อตื่นตะลึง กระทั่งความคุกรุ่นเมื่อครู่ก็สงบลง 

 

 

นางไม่ได้เอ่ยอะไรทั้งสิ้น 

 

 

เพียงแต่หันร่างกลับไป หยิบเอาฉลองพระองค์ฮ่องเต้หญิงออกมาจากตู้เสื้อผ้าในห้องบรรทม จัดการสวมใส่ด้วยตนเอง 

 

 

ปลายนิ้วขาวสะอาดละเอียดนวลยื่นออกมาจากแขนเสื้อฉลองพระองค์สีแดงเล็กน้อย บนเอวที่บอบบางคือเข็มขัดที่ทำจากทองคำและหยก 

 

 

จีเฉวียนจับจ้องไปยังนาง ด้วยความต้องการจะช่วยนางสวมเครื่องแต่งตัว 

 

 

แต่เพราะพระหัตถ์เปรอะเปื้อนไปด้วยพระโลหิต จึงได้แต่รั้งพระองค์เอาไว้ห่างๆ 

 

 

ได้แต่ทอดพระเนตรไปเรื่อยๆ จนพระทัยลอย 

 

 

นิ้วของนางบอบบางเหมือนดั่งต้นหอม ปลายเล็บเคลือบด้วยสีแดงเข้มของดอกเทียน 

 

 

สายรัดเอวสีแดงเข้มทาบอยู่บนปลายนิ้วมือ ช่างดึงดูดสายตาอย่างบอกไม่ถูก 

 

 

เมื่อสายรัดเส้นบางๆถูกผูกจนเสร็จเรียบร้อย มือของนางถึงได้หยุดลง นางถึงได้ปรายตากลับมา ขนตาที่ทั้งยาวและหนาของนางกระพริบครั้งหนึ่ง 

 

 

“ฮ่องเต้สุนัข” 

 

 

อยู่ๆนางก็เอ่ยขึ้นมาคำหนึ่ง 

 

 

ปฏิกริยาที่จีเฉวียนมีออกไปในทันทีก็คือ เสียง ‘หือ’ 

 

 

ทันทีที่สิ้นเสียง ก็เห็นนางเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาเป็นประกายเย็นชาสุดหยั่ง 

 

 

ทั้งเย็นยะเยือกและแหลมคม 

 

 

“ไม่เล่นละครต่อไปแล้ว?” ปลายนิ้วที่บอบบางของนางพันอยู่บนเกลียวผม พอสายตามองไปยังพระองค์ แส้เส้นหนึ่งก็พุ่งออกมาจากข้างเอว 

 

 

แส้สีแดงฉาน! ที่เข้ากันกับฉลองพระองค์ของนาง 

 

 

“วิชาแปลงโฉม หรือมนต์ลวงตา? ตอนที่เรายังเล่นละครเหล่านั้นอยู่ เกรงว่าเจ้ายังเล่นโคลนอยู่เลย!” 

 

 

แค่ถ้อยคำเย็นชาประโยคเดียว ก็ตัดเส้นทางที่จีเฉวียนคิดจะไม่ยอมรับไปจนหมดสิ้น 

 

 

คำก็เรา สองคำก็เรา ช่างเอ่ยได้อย่างคล่องปากนัก 

 

 

ตำแหน่งฮ่องเต้หญิงนี้ พอได้เป็นถึงได้รู้ว่าช่างสุขสบายกว่าไทเฮาน้อยมากนัก 

 

 

แววพระเนตรของจีเฉวียนเปี่ยมไปด้วยความประหลาดพระทัย 

 

 

นางสวมใส่ชุดแดงทั้งร่าง เส้นผมดำยาวดุจน้ำตก กระทั่งแสงเทียนที่อ่อนโยนก็ยังไม่อาจกลบเกลื่อนราศีอันองอาจของนางลงไปได้ 

 

 

หากเปรียบเทียบกับไทเฮาน้อยที่สามารถประจบประแจงได้อย่างคล่องแคล่วแล้วราวกับว่าเป็นคนละคนกันเลยทีเดียว 

 

 

นี่จึงจะเป็น…..ตัวจริงของนาง 

 

 

งดงามบาดตา มอมเมาผู้คน! 

 

 

ตู๋กูซิงหลันถือแส้หนังเอาไว้ในมือ พอเกิดเสียงตวัดออกไปครั้งหนึ่งแส้ก็พุ่งใปยังพระหัตถ์ของจีเฉวียน 

 

 

เชิงเทียนในมือถูกกระชากออกไป น้ำตาเทียนสาดลงไปบนพื้น กระจายไปทั้งแถบ 

 

 

“ตระเตรียมมาถึงสองชั้น แต่ก็ยังไม่อาจลวงเจ้าได้” จีเฉวียนถึงกับพระสรวลออกมา “ซิงซิง ในใจของเจ้ามีเราอยู่ เป็นยอดดวงใจ” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันสะบัดแส้ออกไปในทันที ปลายแส้ตวัดลงไปบนแผ่นหลังของพระองค์ เรียกโลหิตออกมาแถบหนึ่ง 

 

 

“คนตอแหล หุบปากเสีย!” 

 

 

ที่เขาว่ากันว่า ลมปากบุรุษลวงหลอกได้กระทั่งผีสาง! 

 

 

ก็คือคนอย่างจีเฉวียนนี่ไง! 

 

 

ตอนนี้พอตู๋กูซิงหลันเห็นเขา ในหัวก็มีแต่ภาพยามที่เขากับฉางซุนอิง…… 

 

 

เกือบไปแล้ว อีกนิดเดียวนางก็จะทำตามความรู้สึก ยอมอยู่ร่วมกับเขาโดยไม่สนใจอาการเจ็บหัวใจที่ปวดจนเกือบถึงตายนั้นแล้ว 

 

 

ได้เห็นธาตุแท้แต่แรกก็ถือว่าดีเหมือนกัน 

 

 

จีเฉวียนถูกแส้ของนางโบยตรงๆ พระองค์มิเพียงไม่หลบแต่ยังไม่ส่งเสียง เอาแต่ยอมรับเอาไว้ 

 

 

พระองค์อ้าพระโอษฐ์ขึ้นมา แต่ก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายให้นางฟังอย่างไรดี 

 

 

ทรงยืนอยู่ที่เดิม บนหน้าผากมีแต่เหงื่อบางๆชั้นหนึ่ง 

 

 

ในแส้ของนางแฝงเอาไว้ด้วยพลังจิตและพลังของไอหยิน ทำให้คนเจ็บปวดสุดทนทาน ไม่เพียงแต่เจ็บปวดแต่ยังส่งความเย็นสุดขั้วชนิดหนึ่งแทรกผ่านผิวหนังเข้าไปในเนื้ออีกด้วย 

 

 

พอพระองค์เงียบ ตู๋กูซิงหลันก็กระชากแส้กลับไป 

 

 

นางนั่งลงตรงหน้ากระจกทองแดงบานใหญ่ เท้าข้างหนึ่งพาดอยู่บนเก้าอี้ มือข้างหนึ่งเท้าคางเอาไว้ มืออีกข้างกำแส้ สายตาก็มองมาที่จีเฉวียน 

 

 

“ส่งองครักษ์ลับมาคอยสอดส่องความเคลื่อนไหวในวังของเรา จับตาดูเราอยู่ทุกวัน วันนี้ก็ยังวิ่งมาถึงที่นี่แปลงโฉมเป็นชายบำเรอ เจ้าคิดจะวางแผนขุดหลุมพรางอันใดกับเราอีก?” 

 

 

ดวงตาดอกท้อดูนั้นจดจ้องมายังพระองค์ 

 

 

เมื่อมายังโลกใบนี้ นางได้เปลี่ยนจากความระแวงในตัวจีเฉวียนกลายเป็นความไว้เนื้อเชื่อใจ 

 

 

จากที่สะสมมาทีละนิดๆ ก็กลายเป็นถูกทำลายลงจนหมด 

 

 

ตอนนี้จีเฉวียนในสายตาของนาง ก็เป็นแค่จิ้งจอกเฒ่าที่เห็นหัวไม่เห็นหาง ในปากไม่เคยมีความจริงใดๆทั้งนั้น 

 

 

นับตั้งแต่ที่นางขึ้นครองราชย์มา ลูกเล่นเล็กๆน้อยๆที่จีเฉวียนวางเอาไว้ในวังหลวงของแคว้นเหยียน…….นางได้ตรวจสอบอย่างละเอียดหมดแล้ว 

 

 

เขายังคงทำตัวเป็นพยัคฆ์ซุ่มคอยจับตาดูจากด้านข้างมาตลอด 

 

 

“ข้าไม่ได้ขุดหลุมพราง” ในที่สุดจีเฉวียนก็ยอมอธิบายออกมาประโยคหนึ่ง 

 

 

อ๋อ…..คราวนี้ไม่เรียกตัวเองเป็นเราแล้วรึ 

 

 

ที่ผ่านมาเขาเรียกตัวเองเป็นเราอยู่ตลอด ทำเอานางเกิความคุ้นเคยอยู่เหมือนกัน 

 

 

“ซิงซิง…..” พระองค์ตรัสเรียกนาง ชื่อนี้อยากจะเรียกไปอีกนับพันๆครั้ง 

 

 

แต่พอตอนนี้เอ่ยออกมา กลับออกจะอึดอัดอยู่บ้าง 

 

 

พึ่งจะเอ่ยพระโอษฐ์ ตู๋กูซิงหลันก็สะบัดแส้ออกมาอีก ฟาดลงไปบนกระดูกสะบักของพระองค์ จนเกิดแถบโลหิตหนาเท่านิ้วโป้งอีกเส้น 

 

 

ผิวหนังถลอกออกไป โลหิตไหลโชกชุ่ม 

 

 

“เราไม่ได้สนิทกับเจ้า!” 

 

 

จากนั้นนางก็ส่งสายตาเย็นชาไปให้เขา “จงเรียกเราว่าฮ่องเต้หญิง!” 

 

 

จีเฉวียน “ทูลฮ่องเต้หญิง พวกเราเคยกอดกัน เคยจูบกัน นับว่าสนิทสนม” 

 

 

“หากยังไม่ถือว่าสนิทสนมละก็……ภายหน้ายังสามารถใกล้ชิดขึ้นไปได้อีกขั้นหนึ่ง” 

 

 

จะฟาดก็ฟาดไปเถอะ ต่อให้โดนนางฟาดโบยอีกหลายครั้งก็ยังไม่ทำให้พระองค์ตายไปได้ 

 

 

ฮ่องเต้ทรงคิดเช่นนี้อยู่ในพระทัย 

 

 

“หน้าไม่อาย!” ตู๋กูซิงหลันยกแส้ขึ้นมาอีกครั้ง 

 

 

พอนึกถึงเรื่องที่ผ่านมา นางก็รู้สึกว่าสมองของตนเองถูกลาถีบใส่! 

 

 

“มือข้างนี้ฟาดจนเมื่อยแล้ว จะเปลี่ยนเป็นอีกข้างหน่อยไหม?” จีเฉวียนทรงเตือนนางอย่างใส่พระทัย 

 

 

ทั้งๆที่แผ่นหลังยังแสบร้อนจนถึงกระดูกอยู่แท้ๆ แต่พระองค์ก็ยังอดทนเอาไว้ 

 

 

ทั้งยังถอดเสื้อตัวบนที่หลวมกว้างออกมาจนเกลี้ยงเกลา 

 

 

เผยให้เห็นเรือนร่างที่เปี่ยมไปด้วยกล้ามเนื้อ ผิวพรรณสีข้าวสาลียิ่งกระะจ่างตา แผ่นอกและหน้าท้องที่มีแต่กล้ามเนื้อที่สมบูณณ์ชัดเจนทั้งแปดส่วนกลับเปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิต กลายเป็นความงามภายใต้ความโหดเ**้ยมที่บรรยายไม่ถูก 

 

 

เจ้าสุนัขผู้นั้นยังคงเอ่ยอีกว่า “ถอดเสื้อผ้าออกเสียเลย เจ้าจะได้ฟาดได้ถนัดมือกว่าเดิม” 

 

 

 

 

 

 

 

 

……………………………………………. 

 

 

ไรท์ : เอาเข้าไป ก่อนนี้มีทั้งผีทั้งเทพ มีเวทย์มีคาถา ตอนนี้ทั้งกรีดเลือด ทั้งฟาดแส้ มากันครบแล้ว ยัง…..ยังขาดอะไรอีกที่เรื่องนี้ไม่มี อ๋อ สวีท! อย่าว่าแต่รีดเลย ไรท์ก็ใจจะขาดแล้ว  

 

 

ตอนต่อไป “ตัวร้ายลึก”