บทที่ 1134 แดนสวรรค์สรรพสิ่ง โดย Ink Stone_Fantasy
“เสี่ยวซวง อะไรที่ข้าสอนได้ก็อยู่ในกระบวนท่ากระบี่ตลอดสองสามเดือนมานี้แล้ว จะบรรลุได้แค่ไหนก็อยู่ที่เจ้า”
อี้อวิ๋นใช้เวลาช่วงนี้มาถ่ายตลอดมรดกทั้งหมดของราชาชิงหยางและการบรรลุที่เขามีต่อมรดกของราชาชิงหยางให้สำนักกระบี่สระใสอย่างเต็มกำลัง
แน่นอนว่าว่าวิถีแห่งความโกลาหล วิถีแห่งการทำลายล้าง รวมไปถึงกฎแห่งมิติเวลาเป็นสิ่งที่เขามีเพียงผู้เดียว โดยเฉพาะวิถีแรก แม้อี้อวิ๋นจะอยากถ่ายทอดแต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่คนอื่นจะเข้าใจ
หลังจากที่อี้อวิ๋นทำลายวังวิถีเจ็ดดาราก็อยู่ที่สำนักกระบี่สระใสมาสิบเดือนเต็มๆ สิบเดือนนี้เขาศึกษาบันทึกทั้งหมดที่เทพโอสถทิ้งไว้ไปหนึ่งรอบและจดจำเอาไว้
เขาเจอวิธีที่อาจช่วยชีวิตหลิงเสียเอ๋อร์สำเร็จอยู่สามวิธี รากคืนวิญญาณของสำนักหม้อชาดเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในทั้งสามวิธีนี้
อี้อวิ๋นรู้สึกว่าได้เวลาที่เขาจะไปจากที่นี่ อะไรที่เขาทำได้ก็ทำไปหมดแล้ว บุญคุณที่เจี้ยนอู๋เฟิงช่วยชีวิตเขาก็ทดแทนไปบ้างแล้ว
ส่วนเรื่องความปรารถนาก่อนตายของราชาชิงหยางก็ต้องรอให้เขาไปร่องสมุทรจึงจะสำเร็จ เห็นได้ชัดว่าตัวเขาในตอนนี้ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของป๋ายเยวี่ยอิ๋น
“พี่อี้ ท่านจะไปแล้วหรือ?”
เจี้ยนเสี่ยวซวงมีลางสังหรณ์เมื่อได้ยินคำพูดของอี้อวิ๋น
“ใช่ ข้าจะไปแล้ว จะมุ่งหน้าสู่แดนสวรรค์สรรพสิ่ง”
“แดนสวรรค์สรรพสิ่ง…” สีหน้าเจี้ยนเสี่ยวซวงมืดมนลง ในใจผิดหวังเล็กน้อย นางอยากรีบเพิ่มความแข็งแกร่ง แต่แน่นอนว่าเรื่องที่จะไล่ตามอี้อวิ๋นให้ทันนั้นเป็นไปไม่ได้ แต่หากมีคุณสมบัติให้ออกไปฝึกข้างนอกเป็นอย่างน้อย ระยะห่างระหว่างนางกับอี้อวิ๋นก็จะเข้ามาใกล้ขึ้น มีโอกาสพบกันในอนาคตมากขึ้น
“เช่นนั้นข้าจะไปแจ้งท่านอาจารย์กับท่านอาจารย์อาให้ทราบ”
“ไม่ต้องล่ะ อาจารย์กับอาจารย์อาของเจ้าปิดด่านฝึกตนตั้งแต่ก่อนหน้านี้ การปิดด่านครั้งนี้ของพวกเขาอาจทำให้ก้าวถึงระดับอรหันต์ ไม่ต้องรบกวนพวกเขา”
เดิมทีเจี้ยนปู๋อี้กับเจี้ยนอู๋เฟิงก็เข้าสู่ระดับอรหันต์เพียงก้าวเดียว ขาดเพียงเยื่อบางๆ ชั้นหนึ่งเท่านั้น หลังจากที่พวกเขาได้เสริมมรดกที่ครบสมบูรณ์ของราชาชิงหยางในช่วงสองสามเดือนมานี้ ในที่สุดเยื่อบางๆ นี้ก็จะถูกทำลาย
เมื่อเจี้ยนปู๋อี้กับเจี้ยนอู๋เฟิงเข้าสู่ระดับอรหันต์ สำนักกระบี่สระใสที่มีอรหันต์สองคนและอยู่ในแดนสวรรค์กลางที่ไม่มีเทพราชาก็จะก้าวขึ้นเป็นสำนักชั้นหนึ่ง ต้องบอกก่อนว่าเผ่าสกุลลั่วที่ปกครองถึงหนึ่งร้อยเก้าสิบหกแคว้นและมีอาณาเขตกว้างขวางเมื่อตอนนั้นก็มีอรหันต์แค่ไม่กี่คนเช่นกัน
เช่นนี้อี้อวิ๋นจึงไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงความปลอดภัยของสำนักกระบี่สระใส
“เสี่ยวซวง ข้าต้องไปแล้ว ไม่รู้ว่าเมื่อเจอกันครั้งหน้าวิถีกระบี่ของเจ้าจะพัฒนาแค่ไหน บางทีตอนนั้นเจ้าอาจจะเป็นอรหันต์ด้วยก็ได้”
อี้อวิ๋นยิ้มบางๆ เจี้ยนเสี่ยวซวงคือคนที่เขารับเป็นน้องบุญธรรม หากเป็นไปได้เขาก็อยากดูแลนางไปตลอด
“อื้ม”
เจี้ยนเสี่ยวซวงพยักหน้าอย่างออกแรง จากนั้นอี้อวิ๋นก็ฉีกมิติออกแล้วหายไปกลางจุดเชื่อมมิติ
นี่เองก็เป็นนิสัยของอี้อวิ๋น เขาชอบจากไปเงียบๆ ไม่จำเป็นต้องมีพิธีหรือเลี้ยงส่งอะไร
ครึ่งวันต่อมาอี้อวิ๋นก็กลับมาที่ทะเลทรายกลบอาทิตย์อีกครั้ง เมื่อไม่มีเชื้อเพลิงเทพมารกับค่ายกลฟ้าดินของเทพโอสถ พลังหยางบริสุทธิ์ในทะเลทรายกลบอาทิตย์ก็เบาบางลงเรื่อยๆ อี้อวิ๋นเชื่อว่าผ่านไปอีกสองสามปี ที่นี่จะเริ่มมีฝนตก หากจะกลายเป็นป่าที่เขียวชอุ่มอุดมสมบูรณ์ในอีกร้อยปีต่อมาก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
อี้อวิ๋นหาตำหนักใต้ดินที่เขาสร้างไว้เมื่อตอนนั้นเจออย่างรู้ลู่ทางดี เขาขยับความคิดแล้วทลายพื้นดินออก ร่างกายร่วงลงหมื่นจั้งอย่างรวดเร็ว
ตูม!
ก้อนดินก้อนหินแยกตัว อี้อวิ๋นเข้าสู่ใจกลางค่ายกล เขามาถึงยังห้องพักของหรูเอ๋อร์พอดี หรูเอ๋อร์เพิ่งอาบน้ำเสร็จเมื่อหนึ่งเค่อก่อน เส้นผมยังมีหยดน้ำ ขณะที่นางกำลังจัดห้องก็เห็นอี้อวิ๋นปรากฎตัว เรื่องนี้ทำให้หรูเอ๋อร์เบิกตาโพลง
“พะ…พี่อี้ ท่านกลับมาแล้วหรือ”
อี้อวิ๋นบอกว่าเขาอาจจากไปสองสามปี แต่นี่ยังไม่ถึงหนึ่งปีก็กลับมาแล้ว
หนึ่งปีมานี้คนจากสำนักหม้อชาดต่างศึกษาคัมภีร์วิชาลับที่อี้อวิ๋นไม่ต้องการ มันทำให้พวกเขาได้เปิดโลกกว้าง
หรูเอ๋อร์ศึกษาวิชาเหล่านี้อย่างหิวกระหาย ความช่วยเหลือจากโอสถและธาตุกระดูกก็ทำให้พลังนางเพิ่มขึ้นมากจนไม่อยากไปจากที่นี่
“ใช่ กลับมาแล้ว พวกเรากลับไปที่สำนักหม้อชาดกันเถอะ!”
……
เพราะแดนสวรรค์สรรพสิ่งดังอยู่ใจกลางโลกสวรรค์เทพหยาง ทั้งภายในยังมีจุดเชื่อมมิติจำนวนมาก ที่นี่จึงกลายเป็นหนึ่งในแดนสวรรค์ที่ใหญ่ที่สุดของโลกสวรรค์เทพหยาง กลุ่มอิทธิพลที่นี่สลับซับซ้อน ยอดฝีมือมากดุจเมฆ
เมื่อมียอดฝีมือมาก การแย่งชิงอาณาเขตและที่ดินจึงดุเดือดเป็นพิเศษ
แดนสวรรค์สรรพสิ่งมีภูเขาวิญญาณกับรากวิญญาณคุณภาพสูงอยู่พอดี หลายสำนักในโลกสวรรค์เทพหยางจึงพากันมาก่อตั้งที่แดนสวรรค์สรรพสิ่ง นี่ทำให้พื้นที่ใจกลางถูกเรียกว่าเป็นที่เสือหมอบมังกรขด
ส่วนสำนักหม้อชาดก็แน่นอนว่าไม่มีทางครอบครอง พวกเขาทำได้แค่อยู่ในภูเขาที่พลังวิญญาณแห้งแล้งแห่งหนึ่งทางชายขอบของแดนสวรรค์สรรพสิ่งที่ใกล้แดนสวรรค์กลาง
แต่แม้จะเป็นภูเขานี้สำนักหม้อชาดก็ไม่อาจครอบครองเพียงลำพัง หลังจากที่อี้อวิ๋นมาถึงภูเขาวิญญาณก็ยิงการรับรู้ออกไป เมื่อเห็นสำนักเล็กๆ ที่เรียงตัวติดต่อกันก็แปลกใจเล็กน้อย ปกติแล้วสำนักสำนักหนึ่งจะครอบครองภูเขาทั้งลูก มีน้อยมากที่กลุ่มสำนักจะมาอยู่รวมกัน ภาพตรงหน้านี้ดูไม่ต่างจากแผงขายของที่เบียดเสียดกันบนตลาด
“ที่นี่มีสำนักมากไปเล็กน้อย…” ชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่กระอักกระอ่วนใจ “สำนักหม้อชาดเล็กเกินไป ได้แต่รวมตัวกับสำนักเล็กๆ หลายสิบสำนักจึงจะรักษาที่นี่ไว้ได้”
การแข่งขันที่แดนสวรรค์สรรพสิ่งดุเดือดเกินไป ด้วยเหตุนี้เจ้าสำนักหม้อชาดจึงมีความสำคัญมากเป็นพิเศษ หากในสำนักไม่มียอดฝีมือ ที่ดินอันน้อยนิดของสำนักหม้อชาดนี้ก็จะถูกคนอื่นยึดไปอย่างรวดเร็ว
“ที่นี่ก็คือสำนักหม้อชาดของพวกข้า” ชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่กับศิษย์สำนักหม้อชาดพาอี้อวิ๋นมายังกลางหุบเขาแห่งหนึ่ง
อี้อวิ๋นมองไปก็เห็นว่าหุบเขานี้เขียวชอุ่มงดงาม ทิวทัศน์นับว่าน่าหลงใหล หน้าหุบเขามีไอหมอกปกคลุมชั้นหนึ่ง นี่คือค่ายกลป้องกันของสำนักหม้อชาด แต่นำค่ายกลเช่นนี้มาเทียบกับค่ายกลโบราณของสำนักกระบี่สระใสแล้วก็หยาบกว่ามาก
“หืม? ท่านอาจารย์อากลับมาแล้ว! ศิษย์น้องเสี่ยวหรู!”
“คิดว่าพวกท่านอาจารย์จะกลับมาโดยเร็วเสียอีก เหตุใดจึงจากไปนานเช่นนี้?”
ศิษย์สองสามคนรีบเข้ามาต้อนรับอย่างตื่นเต้นเมื่อเห็นพวกชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่ปรากฏตัว
ตอนนั้นพวกชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่เสี่ยงอันตรายไปทะเลทรายกลบอาทิตย์ของแดนสวรรค์กลางเพื่อหาวัตถุดิบล้ำค่ามารักษาท่านเจ้าสำนัก เรียกได้ว่าแบกความคาดหวังไว้ครั้งใหญ่
“ใช่ พวกข้ากลับมาแล้ว” พวกชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่ตื่นเต้นมากเช่นกัน
แต่ชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่กลับต้องขมวดคิ้วเมื่อมองเข้าไปในสำนัก “เหตุใดในสำนักจึงไม่มีคน พวกผู้อาวุโสโอวหยางไปไหน?”
ศิษย์เหล่านี้มีแววตาปวดใจขึ้นมาทันที ใบหน้ามีประกายหดหู่ ศิษย์คนหนึ่งถอนหายใจพูดว่า “พวกข้ากำลังจะพูดเรื่องนี้กับท่านอาจารย์อาพอดี ก่อนหน้านี้เพราะท่านอาจารย์อากลับมาช้า ผู้อาวุโสโอวหยางจึงคาดการณ์ว่าพวกท่านคงไม่เจออะไรจึงไม่มีหน้ากลับมา และเป็นไปได้ว่าตะ…ตายอยู่ข้างนอกแล้ว…”
ศิษย์คนนี้แอบมองชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่แวบหนึ่งเมื่อพูดถึงตรงนี้ เมื่อพบว่าแม้สีหน้าอีกฝ่ายจะมีสีหน้าเคร่งขรึมลงแต่ก็ไม่ได้โมโหจึงพูดต่อว่า “ด้วยเหตุนี้ผู้อาวุโสโอวหยางจึงพาคนจำนวนไม่น้อยไปจากที่นี่ ต่อมาก็ศิษย์พากันออกจากสำนัก ตอนที่พวกเขาไปยังนำสิ่งของไปด้วยมาก พวกข้าเองก็หยุดยั้งไม่อยู่ ตอนนี้แม้แต่โต๊ะเก้าอี้ไม้ในสำนักก็ถูกพวกเขาเอาไปหมด”
พวกเสี่ยวหรูได้ยินแล้วก็โมโหเป็นอย่างยิ่ง ศิษย์หลายคนอดใจไม่ไหวและอยากไปเอาคืนผู้อาวุโสโอวหยางเสียตั้งแต่ตอนนี้ แต่ชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่กลับทำแค่ถอนหายใจพูดว่า “ช่างเถอะ ไม่ใช่ของมีค่าอะไร จะเอาก็เอาไปเถอะ ในเมื่อคนพวกนั้นอยากไปก็ไม่มีจำเป็นต้องรั้ง”
“ท่านผู้อาวุโส ทำให้ท่านต้องเห็นเรื่องน่าขันแล้ว” ชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่หันมายิ้มให้อี้อวิ๋นอย่างขมขื่น
“เจ้าสำนักของพวกเจ้าคงไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” อี้อวิ๋นถาม เขาไม่สนใจความรุ่งเรืองตกต่ำของสำนักเล็กๆ เช่นนี้ ครั้งนี้เขามาก็เพื่อรากคืนวิญญาณ หากรากคืนวิญญาณถูกนำไปด้วย เช่นนั้นเขาคงต้องไปไล่ตามผู้อาวุโสโอวหยางแล้ว
“เรื่องนี้ไม่มีปัญหาขอรับ ท่านเจ้าสำนักมีค่ายกลปกป้อง ศิษย์พวกนั้นและผู้อาวุโสโอวหยางไม่มีทางทำลายได้” หญิงชุดดำพูด
“อื้ม เช่นนั้นข้าจะไปดูสถานการณ์ของเขา” อี้อวิ๋นพูด
“ขอรับๆ เชิญท่านผู้อาวุโสทางนี้” ชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่พูด
ศิษย์เหล่านั้นเพิ่งจะเห็นว่าครั้งนี้พวกเขาพาคนนอกกลับมาด้วยเมื่อชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่และหญิงชุดดำพูดกับอี้อวิ๋น ชายผู้นี้ดูหนุ่มมากแต่กลับถูกท่านอาจารย์อาทั้งสองเรียกว่าท่านผู้อาวุโส
เขาเป็นใครกัน?
พวกเขารู้สึกงุนงงแต่ก็ตามชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่มายังห้องลับใต้ดินที่ท่านเจ้าสำนักหลับใหลอยู่ ห้องลับนี้มีค่ายกลป้องกันหลายชั้น แต่ละวันต้องใช้ศิลาพิภพจำนวนมากมาขับเคลื่อนค่ายกล
“ที่นี่แหละ ค่ายกลนี้ต้องให้ข้ากับศิษย์น้องซ่งร่วมมือกันจึงจะเปิดออก เจ้าโอวหยางไม่มีทางแตะต้องได้”
ชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่เพิ่งพูดจบก็เห็นเงาร่างอี้อวิ๋นกระพริบผ่านค่ายกลป้องกันของห้องลับเข้าสู่ภายใน
จากนั้นอี้อวิ๋นก็โบกมืออย่างสบายๆ ทั้งค่ายกลสั่นอย่างรุนแรงและส่งคลื่นพลังปราณอันแข็งแกร่งออกไป
อี้อวิ๋นไม่อาจวางใจถ้ายังไม่ได้เห็นรากคืนวิญญาณ กระทั่งเมื่อเขาเข้าสู่ค่ายกล กวาดการรับรู้ออกไปแล้วเจอรากคืนวิญญาณเข้าจึงวางใจลงในที่สุด
ตอนนี้พวกชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่ที่ยังอยู่นอกค่ายกลห้องลับต่างงุนงง
แม้จะรู้ว่าอี้อวิ๋นเก่งกาจมาก แต่นี่เป็นค่ายกลที่ใช้แผ่นกลโบราณสร้างขึ้น แต่ละวันต้องใช้ศิลาพิภพจำนวนมหาศาลอย่างไม่เสียดายมาขับเคลื่อน ทว่าค่ายกลป้องกันชั้นยอดนี้ของสำนักหม้อชาดกลับไม่ได้มีความยากไปกว่าการก้าวผ่านธรณีประตูสำหรับอี้อวิ๋น
เรื่องนี้ทำให้ใจของชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่เกิดความรู้สึกต่ำต้อย มีอะไรที่ท่านผู้อาวุโสท่านนี้ทำไม่ได้ไหม…
เขารีบเปิดค่ายกลห้องลับแล้วเข้าสู่ภายในพร้อมศิษย์คนอื่นๆ
บนเตียงหินในห้องมีชายวัยกลางคนผิวขาวซีดผู้หนึ่งนอนอยู่ กลิ่นอายบนร่างเขาเจือจางมาก หากเป็นคนธรรมดาที่อยู่ที่นี่ก็คงคิดว่าเขาตายแล้ว
อี้อวิ๋นยื่นมือออกไปเงียบๆ เขาหยิบรากไม้สีดำขนาดเท่านิ้วมือท่อนหนึ่งออกมาจากอกชายวัยกลางคน รากไม้นี้ดูไม่มีอะไรน่าสะดุดตา ทว่าใจอี้อวิ๋นกลับรู้สึกสงบอย่างประหลาดเมื่อถือมันไว้ในมือ
นี่ก็คือรากคืนวิญญาณ มันเป็นวัตถุดิบฟ้าดินที่มีมูลค่ามหาศาลสำหรับสิบสองยอดสวรรค์ หากคนอื่นรู้ถึงมูลค่าที่แท้จริงของมัน เช่นนั้นก็ไม่ใช่แค่สำนักหม้อชาด แม้แต่สำนักทั้งหมดบนภูเขาลูกนี้ก็จะนองเลือดเช่นกัน
………………………………………………………………………………………….