ตอนที่ 710: การเปลี่ยนแปลงของจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์ (2)

เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god)

ตอนที่ 710: การเปลี่ยนแปลงของจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์ (2)

“อะไรนะ! อาณาจักรฉินหวง จริง ๆแล้วเป็นสาขาของจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้นหรือ ! ” สิ่งที่ฉินหยุนหลง กล่าวออกมาทำให้เจี้ยนเฉินรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก

ฉินหยุนหลงพยักหน้ารับอย่างจริงจัง “ถูกต้องแล้ว อาณาจักรฉินหวงเป็นสาขาของจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์จริง นอกเหนือจากอาณาจักรฉินหวงของข้าแล้ว ยังมีอีกสองอาณาจักรที่เป็นสาขาของจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ ซึ่งก็คืออาณาจักรมังกรไฟและอาณาจักรบูดิส 2 อาณาจักรนี้มีความแข็งแกร่งไม่เป็นรองจากอาณาจักรฉินหวงของข้าเลย”

“เรื่องนี้เป็นความลับสุดยอดบนทวีปเทียนหยวน คนทั่ว ๆ ไปไม่รู้เรื่องนี้ และมันก็มีแค่ไม่กี่คนที่รู้แม้ว่าจะเป็นคนของตระกูลโบราณก็ตาม” แฮรี่เสริม

“แสดงว่านี่คือปัญหาที่อาณาจักรฉินหวงกำลังเผชิญอยู่ใช่ไหม? บางทีมันอาจจะมาจากจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์หรือเปล่า ? ” เจี้ยนเฉินถามด้วยความสงสัย

“ถูกต้องแล้ว ! ” ฉินหยุนหลงพยักหัวตอบอย่างจริงจัง “จักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์กำลังจะเปลี่ยนไป”

“เปลี่ยนไป ? ” เจี้ยนเฉินรู้สึกสับสนและแสดงท่าทีครุ่นคิดออกมา

ฉินหยุนหลงมองไปที่เจี้ยนเฉินที่กำลังตรึกตรองแล้วพูด “เจี้ยนเฉิน จักรวรรดิศักดิ์สิทธินั้นไม่ได้เป็นเหมือนที่เจ้าคิดว่ามันเป็น ไม่ใช่พวกราชวงศ์ที่ควบคุมอาณาจักรทั้งหมดอยู่ จริง ๆ แล้วมันถูกควบคุมโดย 3 ตระกูลใหญ่ที่ทรงอำนาจ จักรพรรดิของจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์คือตำแหน่งที่หมุนเวียนอยู่ระหว่าง 3 ตระกูล ในอีกนัยหนึ่งคือผู้ที่มีอำนาจเหนือจักรวรรดิไม่ใช่ราชวงศ์แต่เป็น 3 ตระกูลนี้”

“3 ตระกูลนี้มีพลังเทียบเท่ากับตระกูลโบราณ แต่ละตระกูลคานอำนาจกันเหมือนขาตั้ง 3 ขา แต่ตอนนี้สมดุลนั้นกำลังจะถูกทำลาย 3 ตระกูลนั้นสูญเสียความสมดุลเนื่องจากความแข็งแกร่งของพวกเขาไม่ได้ทัดเทียมกันอีกต่อไปแล้ว ตระกูลซาร์มีความแข็งแกร่งแหนือกว่าอีกทั้ง 2 ตระกูลรวมกัน และพวกเขาก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว ข้าเชื่อว่าพวกเขากำลังจะเป็นศัตรูกับ 2 ตระกูลที่เหลือซึ่งก็คือตระกูลคาร์ดาและตระกูลคารา เพื่อที่จะยึดครองอำนาจการปกครองของจักรวรรดิทั้งหมดให้มาเป็นของพวกเขา

“อาณาจักรฉินหวงของข้าเป็นสาขาของตระกูลคารา ในฐานะที่เราเป็นสาขาของ 3 ตระกูลนั้น พวกเราอาณาจักรฉินหวงและอีก 2 อาณาจักรจึงถูกดึงเข้าไปร่วมในการต่อสู้ครั้งนี้ด้วย เราสามารถแยกตัวออกมาได้ ดังนั้นเราอาจจะต้องเจอกับปัญหาในอนาคต”

หลังจากที่ได้ยินดังนั้น เจี้ยนเฉิน เขาก็อดคิดถึงช่วงสุดท้ายของของการชุมนุมทหารรับจ้างไม่ได้ เขายังจำได้แม่นว่าศัตรูที่แข็งแกร่งของเขามากจากจักรวรรดิศักดิสิทธิ์ คนที่ชื่อซาร์เอี้ย ในการต่อสู้ครั้งสุดท้าย ซาร์เอี้ยและเขาได้พูดคุยกันในสนามต่อสู้ ในตอนนั้น ซาร์เอี้ยจะสละที่ 1 ให้ เจี้ยนเฉิน ถ้าเจี้ยนเฉินยอมทำตามข้อตกลงข้อหนึ่ง ในตอนนั้นเจี้ยนเฉินเข้าใจว่าเขาต้องการที่จะเป็นเพื่อนสนิทกับเขาเหมือนที่เขากับหมิงตงเป็น ดังนั้นเจี้ยนเฉินจึงปฏิเสธโดยไม่ลังเล นั้นเป็นเพราะเขาได้รู้มาแล้วว่า ซาร์เอี้ยมีการต่อสู้ที่น่ากลัวรออยู่และต้องการลากเขาเข้าไปเกี่ยวด้วย

เจี้ยนเฉินแค่คิดว่าเขาคงจะไม่ถูกลากเข้ามาเกี่ยวในเรื่องนี้ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ตาม สถานภาพของเขาในตอนนี้ก็ไม่ได้เหมือนในอดีตอีกแล้ว

“จักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่ทำให้ข้าเป็นเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงระดับ 7 ได้ ข้าจะเป็นจะต้องไปที่นั้น แต่ตอนนี้ ข้า เจี้ยนเฉิน จะต้องเข้าร่วมการต่อสู้ระหว่าง 3 ตระกูลนี้ก่อน บางทีนี้อาจจะเป็นโชคชะตาของข้าก็เป็นได้ ? ” เจี้ยนเฉินคิด

“เจี้ยนเฉิน จริง ๆ แล้วเราทั้งสี่ไม่ได้อยากให้เจ้าเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ด้วยสถานการณ์ที่ล่อแหลมในตอนนี้ มันไม่ได้เกี่ยวข้องแค่กับพวกเราอีกต่อไปแล้ว นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมอาณาจักรฉินหวงของพวกเราถึงต้องการให้เจ้าช่วย” ฉินซุยเหิงพูดอย่างนุ่นนวลในขณะที่เขาจ้องมองไปที่เจี้ยนเฉินด้วยท่าทีที่ดูจริงจัง

เจี้ยนเฉินหยุดสักครู่ก่อนพูดออกมาอีกครั้งในที่สุด “ผู้อาวุโสทั้งสี่ ในฐานะที่ข้า เจี้ยนเฉิน เป็นผู้พิทักษ์จักรพรรดิของอาณาจักรฉินหวง ข้าจำเป็นต้องคิดถึงอนาคตและความปลอดภัยของอาณาจักร และข้ายังมีเรื่องที่ต้องจัดการเกี่ยวกับจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย ดังนั้นในตอนนี้ ทำไมข้าจะไม่ไปที่นั้นเพื่อจัดการทุกอย่างในฐานะที่ข้าเป็นผู้พิทักษ์จักรพรรดิของอาณาจักรฉินหวงล่ะ ? บางทีข้าอาจจะเจอปัญหาแค่เล็กน้อยเท่านั้น”

ท่าทีของผู้พิทักษ์จักรพรรดิทั้ง 4 ฉายแววแห่งความยินดีออกมา ฉินซุยเหิงยิ้ม “เจี้ยนเฉิน ด้วยความร่วมมือของเจ้า อาณาจักรฉินหวงของเราจะต้องเติบโตอย่างแข็งแกร่งแน่นอน อีกอย่าง ครั้งที่แล้วข้าเห็นว่ามีเซียนผู้คุมกฎและสัตว์อสูรระดับ 7 ติดตามเจ้าอยู่ ข้าสงสัยว่าเจ้าพอจะบอกให้พวกนั้นมาช่วยด้วยได้หรือไม่ ? “

“ข้าไม่มีสิทธิ์ที่จะไปก้าวก่ายสิ่งที่นูบิสและเจียเต๋อไท่ทำ แต่ตอนข้ากลับไป ข้าจะไปลองถามพวกนั้นดู” เจี้ยนเฉินตอบกลับ

“ได้แน่นอน ! “

หลังจากที่หารือเรื่องสำคัญแล้ว เจี้ยนเฉินและผู้พิทักษ์จักรพรรดิทั้ง 4 พูดคุยกันต่อ เขาได้รับความเข้าใจมากขึ้นมากขึ้นเกี่ยวกับจักรวรรดิ์ศักดิสิทธิ์และเรื่องเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงขั้นที่ 7 อย่างไรก็ดี คำตอบที่เขาได้รับจากทั้งสี่นั้นคล้ายคลึงกับที่เขาได้รับจากไป๋ไฮอย่างมาก เขาจึงไม่ได้เรียนรู้อะไรใหม่มากนัก

เมื่อเจี้ยนเฉินจากพระราชวังสวรรค์ฉินไป มันก็เป็นเวลาเย็นแล้ว รอบเขต 1 กิโลเมตรจากพระราชวังฉินสวรรค์มีกลุ่มคนที่รวมตัวกันอยู่ที่นั้นเป็นระยะเวลานานแล้ว คนที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดคือราชาของอาณาจักร ฉินหวง และด้านหลังเขาคือเชื้อพระวงศ์ 2-3 คน พร้อมกับเซียนสวรรค์ซึ่งเป็นที่ปรึกษาจักรพรรดิ

มีการถามสารทุกข์สุขดิบเล็กน้อยระหว่างเจี้ยนเฉินและบุคคลกลุ่มนี้ หลังจากที่เจี้ยนเฉินและราชา พร้อมทั้งองค์ชายสามฉินจี๋ได้พูดคุยกันเล็กน้อยแล้วนั้น เขาก็ได้ถูกเชิญไปที่งานเลี้ยงเพื่อดื่มและเฉลิมฉลอง บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าตอนนี้เจี้ยนเฉินเป็นเซียนผู้คุมกฎแล้ว น้ำเสียงของราชาที่พูดกับเจี้ยนเฉินนั้นแฝงไปด้วยความเคารพซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ในขณะที่เจี้ยนเฉิน ราชาและแขกหลายคนได้อยู่ในงานเฉลิมฉลองนั้น ในอาณาจักรเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยกิโลเมตร มีชายชรา 5 คนอยู่ที่โรงแรมกำลังสนทนากันอยู่ การสนทนานั้นไม่ได้มีเสียงใด ๆ เกิดขึ้นเลย มันเหมือนว่าพวกเขากำลังอ่านปากกันอยู่

“ข้าได้ไปสำรวจทุกทุกอย่างมาแล้ว เจี้ยนเฉินเป็นเซียนผู้คุมกฎและไม่ใช่เรื่องง่ายด้วย เขาตั้งกลุ่มทหารรับจ้างขึ้นมา และเขาเรียกมันว่ากลุ่มทหารรับจ้างอัคนีหรืออะไรนี่แหละ นอกเหนือจากเขาแล้ว ยังมี เซียนผู้คุมกฎอีก 2 คนอยู่ในนั้น” ชายชรากล่าว

“ถ้างั้นเจ้าได้ดูมาหรือเปล่าว่า เจี้ยนเฉินพกลูกเสือบินได้ที่มีสีขาวทั้งตัวหรือเปล่า?” ชายชราข้าง ๆ เขาถาม

ผู้ที่มีหน้าที่ไปสำรวจพยักหน้า “ข้าสำรวจดูทุกอย่างที่สำคัญแล้ว และผลลัพธ์ก็ออกมาไม่เลวเลย เจี้ยนเฉิน ได้พกลูกเสือติดตัวไว้ด้วยอย่างแน่นอน ลูกเสือนี้ต้องใช่สิ่งที่ราชาต้องการแน่นอน”

“ถ้าเจี้ยนเฉินเป็นหัวหน้าของกลุ่มทหารรับจ้างอัคนี เขาต้องอยู่ที่กองบัญชาการของทหารรับจ้างแน่ พวกเราไปที่กลุ่มทหารรับจ้างอัคนีและไปเอาลูกเสือนั้นกันเถอะ แล้วเราจะได้มอบมันให้ท่านราชา และเราก็จะได้แกนอสูรเพิ่มอีก 2 ชิ้น”

“ตกลง พวกเรามุ่งไปที่กลุ่มทหารรับจ้างอัคนีกันเลย ! “

ในวันถัดมา ศูนย์บัญชาการใหญ่ของกลุ่มทหารรับจ้างอัคนี สมาชิกที่เป็นศูนย์กลางได้ร่วมรับประทานอาหารเช้าด้วยกัน ตั้งแต่ที่สัตว์อสูรระดับ 7 นูบิสได้เข้ามายังโลก เขาก็ชอบอาหารของโลกมนุษย์มาก ดังนั้นเขาจึงไม่ยอมพลาดมื้อไหนของวันไปเลย และทุก ๆ ครั้งที่เขากิน เขากินก็กินมากเหมือนคนธรรมดา 10 คนรวมกันหรืออาจจะมากกว่านั้นด้วยซ้ำ ตอนนี้เขานั่งอยู่กับหมิงตง, โหยวเย่, ไป๋เหลียน และคนอื่น ๆ รอบรอบโต๊ะกลม กำลังสวาปามอาหารเช้าของเขาอยู่ ตรงหน้าเขามีจานจำนวนมากกองอยู่

“อาหารนี้อร่อยจริงจริง ข้า นูบิสผู้ยิ่งใหญ่ ไม่เคยกินอะไรอร่อยแบบนี้มาก่อน อ่า และนี่คือของหวาน เอามาให้ข้าซัก 2-3 เท่าหลังจากมื้ออาหารทุกวันนะ ยิ่งเยอะยิ่งดี” นูบิสพล่ามขณะที่กำลังสวาปามเนื้ออบที่อยู่บนจาน

“ท่านนูบิสผู้ยิ่งใหญ่ ท่านไม่จำเป็นต้องกังวลไป ตราบเท่าที่ท่านยังอยู่ที่กลุ่มทหารรับจ้างอัคนีของพวกเรา ไป๋เหลียนรับรองได้เลยว่าพวกเราจะหาอาหารมาให้ท่านเยอะเยอะทุกวันเลย” ไป๋เหลียนยิ้มหวานให้นูบิส

นูบิสยกมือขึ้นไปทางไป๋เหลียนและหัวเราะ “ข้า นูบิสผู้ยิ่งใหญ่ รู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ในหัวสมองบ้า ๆ นั่น เจ้าคิดว่าจะติดสินบนข้าได้ด้วยอาหารใช่ไหม เจ้าดูถูกข้า นูบิสผู้ยิ่งใหญ่เกินไปแล้ว ข้าเป็นถึงสัตว์อสูรระดับ 7 ที่สง่างาม ข้าไม่หลงกลง่าย ๆ หรอก”

ผู้คนกำลังสนทนาในขณะที่กำลังทานอาหารอยู่ที่โต๊ะ หลังจากที่ได้ร่วมงานกับนูบิสมานาน พวกเขารู้ถึงอารมณ์ที่แปรปรวนของนูบิสดี ดังนั้นเวลาที่พวกเขาคุยกับนูบิสนั้น พวกเขาจึงต้องระวังอย่างมากเพื่อไม่ให้เขาเสียสติไป แม้ว่านูบิสจะเป็นสัตว์อสูรระดับ 7 ซึ่งอยู่มาเป็นศตวรรษแล้วหรืออาจจะถึงหลายพันปี แต่จิตใจของเขาก็เหมือนเด็ก ซึ่งด้วยเหตุผลนี้เขาก็ยังคงร่าเริงอยู่ได้ต่อหน้าผู้คนที่อายุพอ ๆ กับเขา แม้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาอาจจะเรียกไม่ได้ว่าสนิทกัน แต่มันก็เพียงพอให้พูดจากันได้บ้าง

ในตอนนี้, ยามวิ่งมาจากข้างนอก. เขารายงาน, “มีคน 2 คนจากด้านนอกบอกว่าพวกเขาเป็นคนของตระกูลเทียนมู่ พวกเขาต้องการที่จะพบหัวหน้า”

“อะไรนะ ตระกูลเทียนมู่ ! ? ” นูบิสร้องออกมาด้วยความตกใจ มันมีความเป็นไปได้ที่ผู้คนที่นั่งทานอาหารอยู่ที่ห้องโถงนี้ไม่รู้จักตระกูลเทียนมู่ แต่นูบิส คนที่เคยเข้าร่วมในการต่อสู้ที่เหมืองทังสเตนรู้จักพวกนั้นดี

“นูบิสผู้ยิ่งใหญ่ ตระกูลเทียนมู่คือใครงั้นหรือ?” ไป๋เหลียนกระพริบตาหลายครั้งและเริ่มสงสัยในท่าทางตกใจของนูบิส

“เบื้องหลังของพวกนี้ยิ่งใหญ่มาก พวกเขามาจากตระกูลโบราณและดูเหมือนจะมีความเกี่ยวข้องกับเจี้ยนเฉิน ทุก ๆ คนควรออกไปต้อนรับเขา” นูบิสกล่าว

หลังจากนั้นไม่นาน สมาชิกหลักของกลุ่มทหารรับจ้างอัคนีก็เลิกทานอาหาร พวกเขาทั้งหมดออกไปจากห้องโถง เดินตรงไปด้านนอก เมื่อพวกเขาไปถึงที่ประตูทางเข้าหลักของวัง พวกเขาก็เห็นหญิงสาวที่ดูเจ้าชู้พร้อมกับคนของนางอีก 20 คน ยืนอย่างเงียบ ๆ ด้านนอกทางเข้า นางคือเทียนมู่หลิง

ข้าง ๆ เทียนมู่หลิงมีหญิงชราอยู่คนหนึ่ง หญิงชรามีผมสีเทาและมีสายตาลุ่มลึก เธอถือไม้เท้าหัวมังกรและดูเหมือนคนชราธรรมดา ๆ

เจี้ยนเฉินให้ไป๋เหลียนและโหยวเย่ 2 คนจัดการธุระทั้งหมดที่กลุ่มทหารรับจ้างอัคนีเมื่อเจี้ยนเฉินไม่อยู่ ไป๋เหลียนและโหยวเย่มีอำนาจจัดการสูงสุด พวกเขารู้มาเบื้องต้นจากนูบิสแล้วว่าคนกลุ่มนี้คือใคร ดังนั้นตอนที่พวกเขาเจอกัน พวกเขาจึงนำทั้ง 2 คนเขาไปยังพระราชวังด้วยความสุภาพ