ตอนที่ 8-2 เข้าใกล้

จังหวะรัก นักบัลเลต์

ตอนที่ 8-2 เข้าใกล้

 

 

 

 

เสียงของรุ่นพี่ที่เรียกชื่อของอีเซออกมาอย่างทุ้มต่ำพร้อมกับเสียงถอนหายใจนั้น มันทั้งหนักแล้วฟังดูอึดอัดเหมือนกับกำลังดำอยู่ใต้น้ำ มันทำให้ฉันรู้สึกเจ็บปวดใจขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงนั้นที่เหมือนกำลังเก็บกดอะไรบางอย่างเอาไว้อยู่ ฉันที่ยืนเหม่อลอยโดยไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับความเจ็บบริเวณข้อมือที่ถูกอีเซบีบเอาไว้ จึงทำได้เพียงแค่จ้องมองไปยังดวงตาคมเข้มของรุ่นพี่ 

 

 

“ผมไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าพี่กำลังทำอะไรอยู่กันแน่ พฤติกรรมของพี่ ผมไม่เข้าใจมันเลยสักนิด” 

 

 

“…” 

 

 

“ถ้ามีอะไรจะพูดก็พูดออกมาตรงๆ สิ ไอ้คนที่ไม่กล้าแม้แต่จะทำอะไรแบบนั้นน่ะ อย่ามาขวางจะดีกว่า” 

 

 

ทำไมฉันถึงเข้ามาอยู่ท่ามกลางการทะเลาะกันของสองพี่น้องนะ ฉันพยายามอดทนที่จะถามออกไปว่า ขอฉันกลับบ้านก่อนไม่ได้เหรอ พลางก้มหน้าก้มตา แล้วเอาเท้าถูไปมาบนพื้นสนามกีฬา 

 

 

“ก็กำลังจะทำอยู่นี่ไงล่ะ” 

 

 

“…หา?” 

 

 

“ก็นายบอกว่า ถ้ามีอะไรจะพูดก็ให้พูดออกมาตรงๆ ไม่ใช่เหรอ ฉันก็กำลังจะทำอยู่นี่ไงล่ะ” 

 

 

ฉันเงยหน้าขึ้นมาตามเสียงที่จริงจังของรุ่นพี่ แต่ใบหน้าของอีเซที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับเหยเกออกมาอย่างแปลกพิลึก และค่อยๆ กลายเป็นสีแดงแจ๋ ไม่รู้ว่าทำไมแม้แต่เสียงหายใจก็ยังดูหนักหน่วง มือข้างที่จับข้อมือของฉันเอาไว้อยู่ก็ดูเหมือนจะสั่นอย่างเห็นได้ชัด 

 

 

เป็นแบบนี้คงได้ชกต่อยกันแน่ ฉันจึงรีบดึงอีเซแล้วพูดห้ามเขาว่า พอเถอะ แต่จู่ๆ รุ่นพี่อีกงก็เอื้อมมือมากุมมือข้างที่ว่างอยู่ของฉันเอาไว้ทันที 

 

 

“…รุ่นพี่คะ” 

 

 

ฉันตกมาอยู่ในสภาพคนกลางระหว่างสองพี่น้องโดยไม่ทันรู้ตัวเข้าซะแล้ว ขณะที่ยืนเก้ๆ กังๆ โดยที่อีเซกุมมือข้างซ้ายอยู่ ส่วนมือขวาก็ตกอยู่ในอุ้งมือของรุ่นพี่อีกง ด้วยความที่ทำตัวไม่ถูก เลยดูเหมือนว่าทั้งตัวของฉันจะกลายเป็นสีแดงขึ้นมา 

 

 

รุ่นพี่เดินอย่างช้าๆ เข้ามาหาฉันที่ได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อและเหม่อลอยโดยไม่สามารถทำอะไรได้เลย ก่อนที่รุ่นพี่จะเอามือข้างที่เหลือของตัวเองมาจับเข้าที่แก้มของฉัน แล้วบิดให้มันหันมามองที่ตัวเองซะดื้อๆ ดวงตาสีดำคมเข้มอย่างกับเม็ดหมากล้อมกำลังจ้องมาที่ฉัน ตรงกลางดวงตาใสๆ นั่นฉายภาพใบหน้าของฉันที่กำลังเลิ่กลั่กอยู่ 

 

 

อีเซดึงฉันจากข้างหลัง แล้วเหมือนจะพยายามพูดอะไรบางอย่าง แต่รุ่นพี่ก็เป็นฝ่ายที่ขยับปากก่อน ฉันเห็นริมฝีปากมนๆ ของรุ่นพี่ขยับเป็นภาพสโลว์โมชั่น มันค่อยๆ อ้าออก แล้วหลังจากนั้นเสียงก็ถูกเปล่งออกมา 

 

 

“พี่ชอบเธอ” 

 

 

เสี้ยววินาทีนั้น สายลมที่ทำให้รู้สึกดีก็พัดผ่านมา สายลมนั้นพัดแรงเสียจนทำให้หัวของรุ่นพี่พันกันยุ่ง คงเป็นเพราะว่าเขาน่าจะรีบออกมา กระดุมบนเสื้อนักเรียนของรุ่นพี่จึงถูกติดอยู่แบบหยาบๆ และเสื้อของรุ่นพี่ก็กำลังพลิ้วไหวภายใต้แสงสีส้ม เสียงวิ้งๆ เริ่มดังอย่างแผ่วเบาอยู่รอบๆ หูจนทำให้รู้สึกจั๊กจี้ เหมือนอย่างกับวิทยุที่จูนคลื่นผิด 

 

 

“คิมฮวีกยอม กับเธอน่ะ พี่…” 

 

 

รุ่นพี่จับมือของฉันเอาไว้แน่นยิ่งขึ้น ส่วนฉันก็ไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้เลย คือว่า ตอนนี้รุ่นพี่อีกงพูดว่าอะไรนะ… 

 

 

“ชอบเธอ” 

 

 

รุ่นพี่ไม่ได้ยิ้มอยู่ แต่กำลังจ้องมองฉันด้วยสายตาจริงจัง ในท่าที่ก้มตัวลงมาเล็กน้อยเพื่อให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกัน ดวงตาเรียวยาวและนุ่มนวลนั่นกำลังสั่นไหว 

 

 

เอ่อ คือ คือว่า ตอนนี้ฉันกำลังได้ยินคำว่าอะไรอยู่กันนะ 

 

 

มือของฉันที่ถูกรุ่นพี่จับอยู่เหมือนมันกำลังสั่นเทา ใบหน้าของฉันเหมือนจะเหยเกขึ้นมาในระดับที่ตัวเองพอจะรู้สึกได้ สุดท้ายน้ำตาที่ไม่อาจกลั้นได้ไหวอีกต่อไปก็ไหลรินลงมา 

 

 

ตอนนี้รุ่นพี่กำลังพูดว่าอะไรกันแน่นะ 

 

 

น้ำตามันไหลออกมาโดยที่ฉันไม่รู้สึกเขินอายเลยสักนิด แล้วฉันก็รู้สึกได้ว่าข้อมือของฉันที่ถูกอีเซบีบเอาไว้อยู่นั้น ค่อยๆ ถูกปล่อยเป็นอิสระ สายตาของฉันมันเลือนรางและขุ่นมัวจนมองอะไรไม่เห็น 

 

 

ถึงฉันจะสงสัยว่ารุ่นพี่กำลังมองฉันด้วยสายตาอย่างไร แต่ฉันก็มองอะไรไม่เห็น และได้แต่เอากำปั้นถูลงบนตาไปเรื่อยๆ แต่แล้วรุ่นพี่ก็มาคว้ามือที่เปียกชุ่มของฉันเอาไว้ ฉันจึงหลับตาแน่น พลางก้มหน้าลง 

 

 

ฉันได้ยินเสียงฝีเท้าที่หันหลังเดินไปของอีเซที่เคยยืนอยู่ข้างหลัง ฉันหันหน้าไปตามเสียงฝีเท้าที่ค่อยๆ ไกลออกไป เพื่อมองดูอีเซ แต่จู่ๆ กลิ่นอาคาเซียที่คุ้นเคยก็เข้ามาใกล้ ก่อนที่หน้าผากของฉันจะซุกลงบนหน้าอกของรุ่นพี่อีกง 

 

 

ฉันถูกโอบกอดอยู่ในอ้อมกอดของรุ่นพี่ที่ดูจะเก้ๆ กังๆ สุดท้ายก็จบลงด้วยการร้องไห้ออกมาเสียงดังทั้งที่ยังซบหน้าอยู่กับหน้าอกของรุ่นพี่ รุ่นพี่อีกงตบหลังฉันเบาๆ แม้แต่เสียงของรุ่นพี่ที่เหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง ฉันก็ยังได้ยินมันไม่ถนัดหู มือของรุ่นพี่ที่สัมผัสลงบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาของฉัน พลางเช็ดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยนนั้น ช่างอบอุ่นเหลือเกิน 

 

 

เมื่อฉันหยุดร้องไห้สะอึกสะอื้น รุ่นพี่ก็บรรจงจูบลงที่หน้าผากของฉัน ดวงตาที่เปียกปอน และแก้มทั้งสองข้างที่กลายเป็นสีแดงตามลำดับ ริมฝีปากนั้นที่แตะลงอย่างแผ่นเบาก่อนจะลาจาก และเสียงหายใจอุ่นๆ ทำให้ฉันยกมือที่ร่วงผล็อยลงไปอย่างหมดแรงขึ้นมาคว้าชุดนักเรียนของรุ่นพี่เอาไว้ 

 

 

“พี่ชอบเธอจริงๆ นะ ฮวีกยอม” 

 

 

ฉันได้ยินเสียงหัวใจเต้นโครมครามดังมาจากอ้อมกอดที่โอบกอดฉันเอาไว้ ฉันเอาแขนโอบรอบเอวของรุ่นพี่อย่างระมัดระวัง แสงอาทิตย์ที่ส่องลงมายังคงสว่างแสบตาเช่นเคย กลิ่นแตงโมอ่อนๆ ลอยมาตามสายลมที่ร้อนวูบวาบ 

 

 

สัมผัสมือของรุ่นพี่ที่ลูบลงบนหัวของฉันไปเรื่อยๆ ยังคงชัดเจน ฉันกอดรุ่นพี่เอาไว้แน่นเหมือนกับว่าถ้าหากปล่อยไปล่ะก็ แสงอาทิตย์ที่ส่องอยู่นี่คงจะสลายหายไป พร้อมกับที่คอยกลั้นน้ำตาที่เอาแต่ไหลลงมา นี่ไม่ใช่ความฝัน แต่นี่คือเรื่องจริง  

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

ระยะทางที่ฉันเดินจับมือกับรุ่นพี่ระหว่างกลับบ้านดูจะสั้นลงไปมากกว่าปกติ ทั้งที่ไม่ได้พูดอะไรกัน แต่ความเงียบนั้นก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกหนักอึ้ง แต่กลับทำให้รู้สึกสบายใจแทน ฝ่ามือที่แนบชิดกันเริ่มจะชุ่มไปด้วยเหงื่อ ฉันเหลือบมองไหล่ที่แข็งแรงของรุ่นพี่ซึ่งกำลังเดินนำไปข้างหน้านิดหน่อย พลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ 

 

 

ระหว่างเดินผ่านสวนสาธารณะที่เริ่มมืดลง รุ่นพี่ค่อยๆ ดึงมือของฉัน แล้วพาฉันไปนั่งลงตรงลานน้ำพุ ฉันนั่งลงตรงนั้นพร้อมกับจ้องไปที่รุ่นพี่ ส่วนรุ่นพี่เองก็นั่งลงตรงที่ข้างๆ ฉัน แล้วมองมาที่ฉันพลางยิ้ม ตึกตัก ตึกตัก ใจเต้นอีกแล้ว 

 

 

“พี่เสียดายน่ะ ถ้าจะกลับไปเฉยๆ” 

 

 

“…” 

 

 

“ตรงนี้ จำได้ไหม” 

 

 

ฉันพยักหน้าเมื่อเข้าใจถึงความหมายของคำถามนั้น สถานที่ที่ฉันได้พบกับรุ่นพี่อีกงครั้งแรก สถานที่ที่ทำให้ฉันตัดสินใจที่จะเริ่มเต้นบัลเลต์ ค่ำคืนแห่งความลับคืนแรกของฉัน หลังจากที่รื้อฟื้นความทรงจำขึ้นมาอีกครั้ง รอยยิ้มก็แต้มที่มุมปาก 

 

 

“ตอนนั้นน่ะ ฮวีกยอม เธอน่ารักมากจริงๆ นะ” 

 

 

คำของรุ่นพี่ที่พูดขึ้นมาพลางยิ้มบางๆ นั้นทำให้ใบหน้าของฉันกลายเป็นสีแดงระเรื่อ ไม่รู้ว่ารุ่นพี่เดาใจของฉันออกหรือไม่กันแน่ แต่เขาอมยิ้มพลางพูดต่อด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ 

 

 

“หน้าก็เล็กนิดเดียว แต่ตากลับโตมาก แล้วเธอก็จ้องมองพี่เขม็งด้วยดวงตาคู่นั้น มันทำให้พี่รู้สึกจั๊กจี้น่ะ พี่เองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ด้วยความที่เป็นเด็กล่ะมั้ง ก็เลยเข้าไปชวนเธอคุย แต่เพราะไม่รู้ว่าจะคุยเรื่องอะไรดี พี่ก็เลยถามเธอไปว่าชอบบัลเลต์ไหม” 

 

 

“…” 

 

 

“พอตอนนี้มาคิดๆ ดูแล้ว มันเป็นคำถามที่ดูติ๊งต๊องจริงๆ เลยเนอะ” 

 

 

รุ่นพี่เองก็จำได้จริงๆ สินะ ไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกตื้นตันขึ้นมา เรื่องราวต่างๆ ในคืนนั้นที่ฉันคิดว่าจะมีแต่ฉันเท่านั้นที่จำได้และเป็นความลับของฉันเพียงคนเดียว ไม่น่าเชื่อเลยว่ามันจะเป็นความทรงจำที่ยังคงเปล่งประกายสำหรับรุ่นพี่ด้วยเช่นกัน  

 

 

รุ่นพี่ที่เงียบไปสักพักคว้ามือฉันมาจับไว้อีกครั้ง เหงื่อไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว และอุณหภูมิเย็นๆ จากตัวของรุ่นพี่ก็ส่งผ่านมาถึงฉัน 

 

 

“ตอนที่เธอบอกว่าจะเต้นบัลเลต์น่ะ พี่ดีใจมากจริงๆ นะ” 

 

 

“…ทำไมล่ะคะ” 

 

 

“เพราะพี่จะได้เต้นด้วยกันกับเธอไงล่ะ” 

 

 

เพราะพี่จะได้เต้นด้วยกันกับเธอไงล่ะ ฉันคิดทบทวนคำพูดของรุ่นพี่อยู่ภายในใจ ลมหายใจแห่งความยินดีเล็ดลอดออกมาจากช่องว่างระหว่างริมฝีปากที่สั่นไหว ความรู้สึกตื้นตันมันล้นเอ่อออกมาจนเจ็บแสบไปหมด 

 

 

แต่แล้วความจริงที่ฉันเกือบลืมไปเสียสนิทก็ผุดขึ้นมาทันที คำพูดของรุ่นพี่ที่บอกว่าจะไม่เต้นคลาสสิกอีกต่อไป การแสดงประจำฤดูใบไม้ร่วงในครั้งนี้จะเป็นเวทีสุดท้ายของรุ่นพี่ กลิ่นที่คุ้นเคยล่องลอยมาพร้อมกับสายลมยามค่ำคืนที่เย็นสบาย กลิ่นของคืนกลางฤดูร้อนที่เต็มไปด้วยความชื้น 

 

 

“เธออาจจะคิดว่าตัวเองเอาแต่คอยมองและเดินตามหลังของพี่เสมอ” 

 

 

“…” 

 

 

“แต่ที่จริงแล้ว พี่น่ะมักจะหันกลับไปมองเธออยู่เสมอต่างหากล่ะ” 

 

 

คำพูดของรุ่นพี่ที่ฉันไม่อาจเข้าใจความหมายได้ ทำให้ฉันได้แต่ยืนเหม่อมองไปยังใบหน้าด้านข้างของรุ่นพี่ ผมหน้าม้าที่เริ่มยาวขึ้นสั่นไหวเล็กน้อย แต่ยังคงเผยให้เห็นรูปตายาวๆ ของรุ่นพี่ได้ชัดเจน ปลายจมูกที่เป็นประกายจากแสงไฟริมถนน ริมฝีปากที่โค้งมนและดูอ่อนนุ่ม กรามที่เป็นเส้นชัดเจน และลูกกระเดือกที่นูนขึ้นมา 

 

 

“ตั้งแต่วินาทีที่พี่เริ่มชอบเธอ การมีตัวตนอยู่ของเธอก็คือบัลเลต์สำหรับพี่ เธอที่เป็นทั้งต้นกำเนิดของแรงบันดาลใจ และพื้นฐานของทุกสิ่งทุกอย่าง” 

 

 

สำหรับฉัน บัลเลต์ก็คือรุ่นพี่อีกง และรุ่นพี่อีกงก็คือบัลเล่ต์ ส่วนรุ่นพี่เองก็กำลังพูดว่าฉันเป็นแบบนั้นเหมือนกันอย่างนั้นเหรอ เข้าใจยากจริงๆ 

 

 

“เพราะงั้นพี่เลยลังเลที่จะสบตากับเธอ เพราะกลัวว่าจะถลำลึกลงไปมากกว่านี้ จนไม่อาจถอนตัวได้” 

 

 

เป็นไปไม่ได้ ฉันพึมพำอยู่ในใจ คำที่รุ่นพี่พูดวันนี้ทั้งหมดเป็นเหมือนกับความฝัน ทั้งอุณหภูมิเย็นๆ จากตัวของรุ่นพี่ ทั้งหัวใจที่เต็มตื้น ทั้งหมดนั่นแหละ 

 

 

“แต่พี่ก็ทำไม่ได้เลยสักนิด เพราะพี่ไม่อยากจะละสายตาไปจากเธอ” 

 

 

“…” 

 

 

“มันอาจจะเป็นเพราะความโลภก็ได้นะ คงเป็นเพราะมนุษย์ไม่สามารถละทิ้งทุกอย่างได้โดยสมบูรณ์ยังไงล่ะ” 

 

 

รุ่นพี่ที่หัวเราะออกมาสั้นๆ ดึงมือฉันเข้าไปอยู่ภายในอ้อมกอดอย่างเงียบๆ อ้อมกอดของรุ่นพี่ที่ทั้งอบอุ่นและแข็งแรง ริมฝีปากของรุ่นพี่ที่ยังคงมีแต่คำพูดที่เป็นเหมือนกับความฝันพรั่งพรูออกมาได้มาแตะลงที่ข้างหูของฉัน 

 

 

“นี่ ฮวีกยอม” 

 

 

“คะ” 

 

 

“พี่ว่าพี่อยากจะเต้นโมเดิร์นจริงๆ นั่นแหละ เพราะงั้นพี่คงจะไม่สามารถอยู่เคียงข้างเธอในฐานะรุ่นพี่ และเต้นคลาสสิกได้อีกต่อไปแล้วล่ะ” 

 

 

เหมือนจะมีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่สวนแห่งนี้ ณ ที่ตรงนี้ ที่ฉันเคยถามรุ่นพี่ว่าเต้นคลาสสิกต่อไปไม่ได้เหรอ ทั้งการเต้นของรุ่นพี่ที่ฉันได้เห็นในคืนนั้น ทั้งน้ำเสียงของรุ่นพี่ที่ถามฉันว่าบัลเล่ต์สนุกไหม ภาพทั้งหมดต่างผุดขึ้นมาในหัว 

 

 

ในตอนนั้นเองที่ฉันเพิ่งจะเข้าใจคำพูดทั้งหมดของรุ่นพี่ ฉันอยู่ภายในความขัดแย้งต่างๆ มากมายที่รุ่นพี่ได้เผชิญตลอดมา เป็นเพราะรุ่นพี่อยากอยู่เคียงข้างฉัน เขาเลยไม่กล้าที่จะทิ้งคลาสสิกไป ดังนั้นสำหรับรุ่นพี่แล้ว การมีตัวตนของฉันจึงกลายเป็นคำว่าคลาสสิกไปแทน ฉันจะไปยอมรับเรื่องพวกนั้นได้อย่างไรกัน ต่อให้เป็นหลังจากที่ได้ฟังและเข้าใจมันแล้ว ฉันก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลยสักนิด 

 

 

จิตใจที่พันกันยุ่งเหยิง,หัวใจที่เต้นตึกตัก ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ ที่การมีอยู่ของฉันกลายเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้สำหรับรุ่นพี่ เป็นไปไม่ได้ มือเย็นๆ ของรุ่นพี่ที่แนบชิดอยู่ร้อนขึ้นเพราะความร้อนจากตัวของฉัน 

 

 

“ดังนั้น” 

 

 

รุ่นพี่ปล่อยตัวฉันออกจากอ้อมกอด ดวงตาคมเข้มของรุ่นพี่จ้องมองมาที่ฉันอย่างนิ่งๆ ส่วนฉันก็ได้แต่กลืนน้ำลาย 

 

 

‘คงจะไม่สามารถอยู่เคียงข้างเธอ และเต้นคลาสสิกได้อีกต่อไป’ คำที่รุ่นพี่เพิ่งจะพูดเมื่อสักครู่นี้วนเวียนอยู่ในหัวของฉัน ในขณะที่ฉันเฝ้ารอคำพูดต่อไปอย่างกระวนกระวายใจ หน้าอกก็รู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมา การหายใจก็เริ่มติดขัด ฉันกำมือเอาไว้แน่น และแล้วปากของรุ่นพี่ที่เคยปิดสนิทก็ค่อยๆ ขยับ 

 

 

“ต่อไปนี้ พี่จะไม่ขอเป็นรุ่นพี่ แต่ขอเป็นแฟนของคิมฮวีกยอมจะได้หรือเปล่า” 

 

 

ณ วินาทีนั้น ลมหายใจออกที่ออกมาอย่างยากลำบากก็หยุดชะงักลง ภายในหัวเต็มไปด้วยเสียงวิ้งๆ หัวใจเต้นเสียงดังตึกตักๆ และเหงื่อไหลออกมาจากฝ่ามือ ด้วยความรู้สึกประหม่าทำให้กล้ามเนื้อทั่วทั้งร่างกายของฉันหดเกร็ง ฉันยืนตัวแข็งเป็นหิน ใบหน้าของฉันที่จ้องมองไปยังรุ่นพี่กำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่กันนะ 

 

 

“คบกับพี่เถอะนะ” 

 

 

เสียงของรุ่นพี่ที่ดังขึ้นมาอย่างชัดเจนอีกครั้ง ทั้งการสั่นไหวเบาๆ ทั้งสายตาที่ดูมุ่งมั่น และรอยยิ้มบางๆ ทั้งหมดนั่นเป็นเหมือนกับรูปภาพแกะสลักที่สลักลงบนใจของฉัน ใจของฉันที่เคยถูกไฟเย็นเมื่อนานมาแล้วลวกเข้านั้น มันร้อนวาบเหมือนกับมีไฟเย็นนั้นเกิดขึ้นมาอีกครั้ง 

 

 

ฉันพยักหน้าอย่างไม่รู้ตัวด้วยใบหน้างุนงง ทำให้รุ่นพี่อีกงที่ถอนหายใจออกมาเบาๆ อย่างโล่งอก มองหน้าฉันพลางยิ้ม ยิ้มอย่างร่าเริงแบบสุดๆ จนแก้มแทบปริ 

 

 

ต่อจากนั้นฉันก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรอีก ความเจ็บแปลบที่แล่นขึ้นมานั้นเกิดขึ้นที่หู หน้าอก ไหล่ที่รุ่นพี่โอบอยู่ หรือจะเป็นข้างบนศีรษะที่มือของรุ่นพี่แตะโดนกันแน่ ฉันไม่รู้เลยสักนิด คืนกลางฤดูร้อนที่เป็นเหมือนกับเวทมนตร์ มีเพียงแค่เสียงลมพัดเท่านั้นที่วนเวียนอยู่ข้างหู 

 

 

ฉันในวันนี้ได้สูญเสียรุ่นพี่ให้แก่โชคลางร้ายๆ ที่คอยรังควานฉันมาเนิ่นนาน รุ่นพี่อีกงที่เป็นผู้นำฉันมาสู่บัลเลต์ และก็ยังทำให้ฉันได้พบกับผู้ชายที่ชื่อลีอีกง ผู้ชายคนนั้นที่ยื่นมือมาให้ฉันราวกับเป็นเรื่องโกหก