ภาคที่ 33 กลับชาติมาเกิด ตอนที่ 62 ท่านอาจารย์ยื่นมือเข้าช่วย

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตอนที่ 62 ท่านอาจารย์ยื่นมือเข้าช่วย Ink Stone_Fantasy

“แย่แล้ว”

ตงป๋อเสวี่ยอิงเผชิญหน้ากับค้อนใหญ่ที่ดูเหมือนจะแสนสามัญธรรมดา และฝ่ามือขนาดยักษ์สีทองแดงที่มีพลังคุกคามล้นฟ้าแล้วหัวใจก็อดที่จะขมวดรัดแน่นโดยไม่รู้ตัวมิได้ ความรู้สึกถูกคุกคามพุ่งทะยานขึ้นท่ามกลางความมืดมิด เช่นก่อนหน้านี้ถึงแม้ว่าจะได้รับผลกระทบของ ‘เขตพลังกาลเวลา’ มาก่อนแล้ว อีกทั้งยังประสบกับการล้อมโจมตีของเคล็ดวิชาน้ำและไฟระดับชั้นที่สิบที่ตรงข้ามกัน ถึงแม้ร่างกายจะรับไว้ได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาก็มิได้รู้สึกถึงภัยคุกคามแต่อย่างใด

ทว่าในขณะนี้เขากลับรู้สึกได้เสียแล้ว

นี่จึงจะเป็นมือสังหารที่แท้จริงของการโจมตีในครั้งนี้

“เป็นผู้ท่องธุลีฝนผู้อยู่ภายใต้สำนักของ ‘คนพเนจร’ หนึ่งในห้าบรรพชนรัฐโบราณสหโลกา นั่นคือฝานฉู่ฮู่ผู้เป็นหนึ่งในเทพมารร้อยสงครามอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็ระบุตัวอีกฝ่ายขึ้นมาได้ แล้วถึงกับถ่ายเสียงขอความช่วยเหลือในทันที “ท่านอาจารย์ ข้าเผชิญกับการลอบโจมตีขอรับ”

ในขณะที่เขตพลังกาลเวลามาถึงบริเวณโดยรอบนั้น ก็ได้ทำการตัดขาดห้วงมิติร้อยล้านลี้บริเวณรอบๆ ก็เหมือนกับตอนที่ทำการบูชาโลหิตเมืองอัคคีโชติ เมืองอัคคีโชติก็ถูกตัดขาดโดยสิ้นเชิง สมบัติลับล้ำค่าที่สามารถทำการตัดขาดและปิดผนึกเช่นนี้ได้ล้วนมีราคาสูงลิบลิ่ว เทพจักรวาลทั่วๆ ไปล้วนไม่สามารถซื้อได้ไหว ‘ประมุขรัฐกระบี่สวรรค์’ ได้มอบให้เป็นการชั่วคราวเพื่อการเคลื่อนไหวในครั้งนี้โดยเฉพาะ

เห็นได้ชัดว่าเพื่อขัดขวางมิให้ตงป๋อเสวี่ยอิงอาศัย ‘ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา’ ในการหลบหนี

แน่นอนว่าถึงแม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะมีร่างแยกทิ้งไว้ที่นครหลวง ก็ยังสามารถขอความช่วยเหลือได้อยู่ดี!

“ครืน…”

การคุกคามอันน่าหวาดหวั่นสองชนิดเคลื่อนเข้ามาพร้อมๆ กัน ถึงแม้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะสำแดงวิชาหอกเพื่อต้านรับอย่างสุดกำลัง แต่การเคลื่อนของเวลาของตนนั้นก็เนิ่นช้าเหลือเกิน การเคลื่อนไหวจึงเชื่องช้าเกินไป ค้อนใหญ่นั้นหลบเลี่ยงหอกยาวของตงป๋อเสวี่ยอิง แล้วแทรกผ่านบันไดเกลียวคลื่นกระแสอากาศสามสายที่ล้อมรอบกายเอาไว้ ก่อนจะปะทะบนร่างของตงป๋อเสวี่ยอิง ‘เคล็ดคุ้มร่าง’ ของยุทธวิธีเมฆาแดงนี้ทนรับการโจมตีของเคล็ดวิชาไม้ตายน้ำและไฟทั้งสองอยู่ตลอดเวลา พลังคุกคามของตนก็ลดต่ำลงอย่างมหาศาล

ค้อนที่ดูแสนจะธรรมดาอันนี้ถูกเคล็ดคุ้มร่างทำให้อ่อนแอลงเพียงแค่สามสี่ส่วนเท่านั้น ที่เหลือล้วนปะทะลงบนร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งสิ้น

“หืม” ผู้ท่องธุลีฝนเองก็รู้สึกได้ถึงความรู้สึกที่ปะทะอยู่กลางอากาศ “การกลายเป็นอากาศธาตุหรือนี่”

“โครม”

แทบจะในขณะเดียวกัน

ฝ่ามือใหญ่สีทองแดงฟาดปะทะลงมา บันไดเกลียวคลื่นที่หมุนวนคุ้มกันร่างแหลกสลายไปในทันที หอกยาวในมือถูกปะทะจนกระแทกลงบนร่างกาย จากนั้นฝ่ามือใหญ่ก็ซัดลงบนร่างเต็มๆ จนร่างกายส่งเสียงคำราม…

ค้อนใหญ่ของผู้ท่องธุลีฝนสะท้านเบาๆ แต่กลับมีแรงโน้มถ่วงอันหนักอึ้งโจมตีเข้าสู่ร่างกายหรือแม้กระทั่งดวงวิญญาณ ทำให้ร่างกายที่เดิมทีก็ถูกน้ำไฟโจมตีอยู่แล้วยากที่จะรับได้ จากนั้นก็เป็นการโจมตีของฝ่ามือใหญ่สีทองแดงที่สำแดงความกดดัน! เป็นถึงเทพมารร้อยสงคราม ‘ฝานฉู่ฮู่’ เป็นของผู้แกร่งกล้าระดับสุดยอดที่ร่างกายถูกแปลงร่างออกมา แต่มิได้อาศัยตนเองในการบำเพ็ญไปถึงขั้นอลวนชั้นที่สิบอย่างแท้จริง

ดังนั้นเขาจึงมีส่วนคล้ายมารรับใช้อยู่บ้าง แน่นอนว่าถึงอย่างไรเขาก็ยังเป็นผู้บำเพ็ญ ไม่จำเป็นต้องมีเจ้านาย

แต่เคล็ดวิชาของเขา ระดับขั้นโดยทั่วไปก็ไม่นับว่าสูง ราวๆ ระดับชั้นที่แปดที่เก้า แต่ความรวดเร็วของพละกำลังเพียงอย่างเดียวล้วนๆ นั้นกลับน่าหวาดหวั่นอย่างที่สุด เหนือกว่าเทพจักรวาลทั่วๆ ไปเสียอีก บวกกับร่างกายร่างนั้นของเขา ทำให้ระหว่างการต่อสู้นั้นเชี่ยวชาญการบุกสังหารเป็นที่สุด

“หึ่งๆ”

ภายใต้การโจมตีอันหนักหน่วงอย่างต่อเนื่อง ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าห้วงสมองกำลังส่งเสียงคำราม

“อะไรกัน ยังไม่ตายอีกหรือ”

“เป็นไปได้อย่างไรกัน”

ท่านชายฉื้อเฟิง ผู้ท่องธุลีฝน ฝานฉู่ฮู่ กับสองทูตวารีและทูตเพลิง รวมทั้งพวกผู้แกร่งกล้าอาภรณ์ดำและอ๋องอสนีบาตโม่เฉาที่ลอบชมดูการต่อสู้อยู่ต่างก็พรั่นพรึงกันเป็นอย่างยิ่ง

นี่คือเคล็ดวิชาที่ร่วมมือกันที่พวกเขามั่นใจในแผนการว่าเพียงพอที่จะกำจัดอิงซานเสวี่ยอิงทิ้งไปได้แล้ว

ภายใต้เขตพลังกาลเวลา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าเป็นที่สุด แทบจะมิอาจต้านทานได้ สามารถทำได้เพียงแค่ทนรับเท่านั้น

การร่วมมือโจมตีของน้ำและไฟ ทั้งสองล้วนเป็นเคล็ดวิชาระดับชั้นที่สิบ อีกทั้งยังตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง พอรวมกันขึ้นมาแล้วพลังคุกคามก็น่าหวาดหวั่นอย่างที่สุด พวกเขาถึงกับคาดการณ์เอาไว้ว่าจะสามารถปลิดชีพอิงซานเสวี่ยอิงได้ในคราวเดียว

ภายหลังเมื่อเทพมารร้อยสงคราม ‘ฝานฉู่ฮู่’ และผู้ท่องธุลีฝนร่วมมือกันก็ยิ่งร้ายกาจขึ้นไปอีก พวกเขาสองคนมีชื่อเสียงในด้านการบดขยี้ซึ่งๆ หน้า ก่อนหน้านี้ต่อให้ไม่ตาย เมื่อเทียบกันแล้วร่างกายก็ต้องอ่อนแอลงเป็นอย่างมาก เผชิญกับการโจมตีบดขยี้อันยิ่งใหญ่สองทาง ร่างกายก็ย่อมต้องพังทลายสูญสลายอย่างแน่นอน

“โครม”

พื้นถนนถูกปะทะจนกลายเป็นหลุมลึกขนาดมหึมาไปแล้ว เงาร่างสายหนึ่งกลางหลุมลึกโค้งเอวพลางเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาทั้งคู่เต็มไปด้วยเพลิงโทสะ

“สมควรตาย”

ตงป๋อเสวี่ยอิงเดือดดาลและคับข้องใจ

มิได้คับข้องใจเช่นนี้มาเนิ่นนานเหลือเกินแล้ว เห็นได้ชัดว่ามีพลังยุทธ์อัดแน่นอยู่เต็มร่างแท้ๆ แต่ภายใต้เขตพลังกาลเวลา อัตราเร็วก็เชื่องช้ากว่าคู่ต่อสู้มากมายเหลือเกิน มิอาจต้านทานเคล็ดวิชาของคู่ต่อสู้ได้เลย

ระลอกคลื่นพลังอันหนักหน่วงสายแล้วสายเล่าสะท้อนอยู่ภายในร่างกายอย่างไม่หยุดหย่อน

“พรวด” ตงป๋อเสวี่ยอิงกระอักโลหิตสดๆ ออกมาจากปาก แม้กระทั่งผิวนอกของร่างกายก็ยังมีหยาดโลหิตไหลซึมออกมา

มีเคล็ดคุ้มร่างของยุทธวิธีเมฆาแดง และร่างเมฆทักษิณาทิพย์ชั้นที่สิบอันสมบูรณ์แบบ ภายใต้การล้อมโจมตีเช่นนี้ เกรงว่าก็ยังต้องเอาชีวิตไปทิ้ง โชคดีที่ตนได้วิวัฒน์การกลายเป็นอากาศธาตุไปจนถึงระดับที่เหนือจินตนาการได้แล้ว ทางสายห้วงอากาศแมลงอสูรที่เหนือกว่าระดับอลวนขั้นสุดยอดที่มีอยู่ทั้งหมดก็สามารถเทียบเคียงได้กับปรมาจารย์กู่ฉีแล้ว ห่างกับการกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอดอันสมบูรณ์แบบเพียงแค่ก้าวสุดท้ายเท่านั้นเอง

ความสามารถในการกลายเป็นอากาศธาตุเช่นนี้เมื่อประสบกับการโจมตีทั้งหมดทั้งมวลก็ลดทอนลงไปมากมายเหลือเกิน ในท้ายที่สุดก็ยังคงได้รับบาดเจ็บอยู่ดี

“ฆ่ามัน”

“บุกต่อไป เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว”

“เร็วเข้า”

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะตื่นตระหนกที่ความร่วมมือล้มเหลว แต่พวกเขาก็เข้าใจดีว่าเวลาเป็นสิ่งล้ำค่า

“ปัง…”

“ตายเสีย!”

ท่านชายฉื้อเฟิงควบคุมเขตพลังกาลเวลามาโดยตลอด สองทูตวารีและทูตเพลิงก็ร่วมมือกันโจมตีอย่างต่อเนื่อง ส่วนฝานฉู่ฮู่และผู้ท่องธุลีฝนกลับรู้สึกถึงความอัปยศอดสู เดือดดาลอย่างสิ้นเชิง

“กรงเล็บซือเทียน” ฝานฉู่ฮู่คำราม ฝ่ามือทั้งสองเปลี่ยนแปรกลายเป็นกรงเล็บ ฟ้าดินล้วนฉีกขาด นี่ก็คือเคล็ดกรงเล็บอันร้ายกาจชุดหนึ่งในเคล็ดการต่อสู้ที่คิดค้นขึ้นที่ ‘มหาเคารพซือเทียน’ เจ้านายของพวกเขาถ่ายทอดให้กับพวกเขาเทพมารร้อยสงครามเหล่านี้

“ธุลีหวนสู่ธุลี ดินหวนสู่ดิน สูญสลายไปเสียเถิด” ผู้ท่องธุลีฝนก็โมโหเสียแล้ว เป็นถึงผู้ท่องภายใต้สำนักของคนพเนจร เขาก็มีเกียรติภูมิของตัวเขาเอง

ค้อนใหญ่เหวี่ยงออกมา

ฮืม…

กระแสอากาศที่เคลื่อนผ่านเวหาก่อให้เกิดเสียงอันแปลกประหลาดราวกับเป่าขลุ่ย เสียงนั้นถึงกับแฝงไว้ด้วยความทรงเสน่ห์ร้ายกาจ ทำให้คนหลับใหลสู่ห้วงนิทรา ทำให้คนเกิดความรู้สึกจมดิ่งสู่ความมืดมิดชั่วนิรันดร์

……

โครม…

ผู้แกร่งกล้าห้าคนลงมืออย่างต่อเนื่องกัน โจมตีอย่างต่อเนื่องถึงสามรอบ

“กลิ่นอายของร่างกายเขาไม่มีจุดอ่อนที่ชัดเจน อย่างน้อยพลังชีวิตก็ยังคงเหลืออยู่เกินกว่าครึ่ง ไม่ทันการณ์เสียแล้ว รีบไปเร็วเข้าเถิด” ท่านชายฉื้อเฟิงที่ควบคุมเขตพลังกาลเวลามาโดยตลอดตะโกนขึ้นทันควัน

“ไป” ไป” ไป”

ถึงแม้ว่าแต่ละคนจะไม่ยอมจำนน ทว่าต่างก็ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย

สวบ สวบ สวบ

ทั้งหมดหายตัวจากไป

พวกเขาต่างก็กระจ่างแจ้งแก่ใจดีเป็นอย่างยิ่งว่าศิษย์ของตนเผชิญกับภยันตรายถึงชีวิต ถึงแม้ว่าประมุขรัฐเมฆทักษิณาจะมีสถานะอันสูงส่งพอ แต่ก็ยังอาจจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือได้อยู่ดี ยามที่ยื่นมือเข้าช่วยนี้เพียงแค่ ‘โบกมือ’ อย่างลวกๆ คราหนึ่ง พวกเขาห้าคนก็อาจจะจบเห่ได้แล้ว ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้นมิอาจนับได้ว่า ‘ผู้ใหญ่รังแกผู้น้อย’ นับได้เพียงว่าเป็นการระบายอารมณ์เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง

แต่ถ้าหากหลบหนีไปแล้ว ประมุขรัฐเมฆทักษิณายังไล่ตามไปจัดการ เช่นนั้นก็น่าขายหน้าแล้ว

ผู้แกร่งกล้าระดับสุดยอดอย่างแท้จริงที่ดินแดนจิตโลกา ก็มีกฎเกณฑ์แฝงบางอย่างที่เป็นที่รู้กันอยู่

ถึงอย่างไรแต่ละฝ่ายต่างก็มีผู้แกร่งกล้าระดับสุดยอดอยู่ เหมือนที่รัฐโบราณสหโลกาและรัฐโบราณคิมหันตวายุแข็งแกร่งกว่าประมุขรัฐเมฆทักษิณามากมายนัก! นี่ยังเป็นเพราะทุกฝ่ายต่างก็มีศีลธรรมจรรยาอยู่จึงได้มีกฎเกณฑ์แฝงขึ้นมา ถ้าหากเป็นขุมอำนาจที่อ่อนแออย่างแท้จริงมาทำการกวาดล้าง จะมีสิทธิ์ที่ไหนมาถกเรื่อง ‘กฎเกณฑ์แฝง’ อันใดกับขุมอำนาจระดับรัฐโบราณสหโลกาเล่า

มีสิทธิ์มาถกเรื่องกฎเกณฑ์แฝงได้ ก็ควรค่าแก่การภาคภูมิใจแล้ว

ประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็ย่อมต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์แฝงอยู่แล้ว

“ปัง…”

บริเวณสนามรบมีควันหลงจากการต่อสู้แผ่ไปทั่วทุกทิศทุกทาง

ท้องฟ้าเต็มไปด้วยรัศมีหนาทึบ นั่นคือรัศมีจากการโคจรค่ายกลรักษาการณ์ของรัฐประกายเพลิงต้านทานควันหลงเหล่านั้น

“แค่กๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกระอักเอาโลหิตสดจำนวนหนึ่งออกมาจากคออีก แล้วเหินขึ้นมาจากกลางหลุมลึก ก่อนจะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้วมองไปยังบริเวณโดยรอบ อาณาบริเวณโดยรอบที่ได้รับลูกหลงก็ไม่นับว่าใหญ่โตนัก แต่ก็ยังมีบ้านเรือนของผู้บำเพ็ญจำนวนหนึ่งที่ถูกทำลาย

“ลงมือในนครหลวง ก็ยังไม่ออมมือถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงได้เห็นเหตุการณ์แล้วก็ยิ่งทวีความเดือดดาล

คราวนี้คับข้องใจเหลือเกินจริงๆ

ตนเองไม่สามารถต้านทานได้เลยตั้งแต่ต้นจนจบ แน่นอนว่าเวลาก็รวดเร็วเหลือเกิน ยอดฝีมือขั้นอลวนระดับชั้นที่สิบทุกคนต่างก็สำแดงออกมาเพียงแค่สามกระบวนท่าเท่านั้น เป็นอัตราเร็วที่รวดเร็วสักเพียงใดกัน แล้วตนเองยังติดอยู่ภายในเขตพลังกาลเวลา การเคลื่อนไหวก็ยิ่งเนิ่นช้าเข้าไปอีก

“เสวี่ยอิง เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถิด ลัทธิกระบี่สวรรค์นี่ถึงกับเคลื่อนไหวเอายอดฝีมือมากมายถึงเพียงนี้มาจัดการเจ้า ยอดเยี่ยม ถ้าหากข้าไม่ตอบโต้กลับ ก็คงถูกดูแคลนเสียแล้วล่ะ” เสียงของประมุขรัฐเมฆทักษิณาดังขึ้นที่ข้างหูของตงป๋อเสวี่ยอิง น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความโกรธเคือง

“ท่านอาจารย์ รอให้เวลาผ่านไปอีกสักพัก ข้าจะกลับไปหาพวกเขาเองขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด

“เจ้าไม่จำเป็นต้องยุ่งเรื่องนี้อีกแล้ว เจ้ามาพักผ่อนให้ดีๆ ก่อนเถิด” ประมุขรัฐเมฆทักษิณายืนหยัดอยู่ที่ตำแหน่งสูงสุดของดินแดนจิตโลกา ก็ย่อมมีแนวทางการจัดการเรื่องราวต่างๆ เป็นของตัวเองอยู่แล้ว

เพิ่งเอ่ยวาจาออกไป

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายอันไร้รูปร่างจากไป

“ท่านอาจารย์จะยื่นมือเข้ามาเสียแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ การตอบโต้กับเรื่องที่ลัทธิกระบี่สวรรค์เคลื่อนพลรัฐประกายเพลิง ตนเองก็ตอบโต้มาโดยตลอดมาหลายแสนปีแล้ว ประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็มองดูเรื่องราวดำเนินไปอย่างเรียบเรื่อย ถ้าหากตกที่นั่งลำบาก เขาก็ย่อมยื่นมือเข้าช่วยอยู่แล้ว! เห็นได้ชัดว่าเขาคิดว่าลำพังอาศัยแค่ลูกศิษย์เพียงคนเดียว เผชิญกับทางฝั่งลัทธิกระบี่สวรรค์ก็ไม่เพียงพอเสียแล้ว

……………………………………….