ความลับของประตู

โจวเหวินมองดาบหินโบราณเล่มใหญ่นั้น แล้วหันไปมองปราสาทที่อยู่ด้านหลังดาบหิน

ที่ๆดาบหินนั้นอยู่นั้น มีดาบหินเป็นเหมือนเส้นตัดแบ่งกลาง มีรูปสลักหรือรูปปั้นตกแต่งไว้นิดหน่อยบริเวณโถง แล้วก็มีเหมือนธงไม้ไผ่ห้อยลงมาจากด้านบนหลังโถงที่ดาบหินอยู่

ธงไม้ไผ่นั้นจริงๆแล้วไม่ใช่ธงไม้ไผ่ แต่เป็นกระดาษโบราณที่คนสมัยก่อนใช้ในการจดบันทึกตั้งแต่สมัยที่กระดาษยังไม่ถูกประดิษคิดค้น คนใช้วิธีการแกะสลักตัวอักษรลงในไม้ไผ่ก่อนจะสานไม้ไผ่เข้าด้วยกันแล้วอบแห้งเพื่อเก็บรักษาได้นาน

พอมองจากนอกประตูไปด้านนอกแล้วภายในโถง ยังมีชั้นที่เก็บม้วนไม้ไผ่มากมาย จำนวนนั้นมีมหาศาลขนาดที่ว่าหอสมุดของรัฐบาลกลางยังไม่น่าจะใหญ่ขนาดนี้เลย แต่นั้นไม่ใช่ประเด็นที่โจวเหวินสังเกตซักเท่าไร ที่โจวเหวินสังเกตมากกว่าคือ ที่ม้วนไม้ไผ่พวกนั้น มันมีพลังงานบางอย่างที่เหมือนจะเสริมพลังให้กับดาบหิน ทำให้ดาบหินนั้นมีพลังที่มหาศาลมากเพียงพอที่จะต่อกรกับกระจกหยินหยางได้

“แปลกแหะ ดาบหินนั้นมันมีพลังพอที่จะสู้ได้เหรอ หรือว่าพลังทั้งหมดมาจากตำราพวกนั้นกัน แต่เรื่องแบบนั้นไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยนะ”โจวเหวินรู้สึกตะลึงในใจมากๆ

เดิมทีตำรากับดาบนั้นเป็นของที่ไม่ได้คู่กันเลยแม้แต่น้อย การที่ดาบยืมพลังจากตำรานั้นยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่

หลิวหยุนส่งสัญญาณให้โจวเหวินก่อนจะมองที่ผู้วิเศษจิงเต้า ที่กำลังสู้กับดาบหินอยู่ในนั้น

โจวเหวินเข้าใจความหมายของหลิวหยุนได้ทันที เขาตั้งใจที่จะใช้จังหวะที่เขากำลังสู้กับดาบหินอย่างสุดแรง และอาการป่วยที่จิงเต้าเซียนเป็นนั้นฉวยโอกาสฆ่าผู้วิเศษจิงเต้าซะตรงนี้เลย

โจวเหวินนั้นค่อนข้างได้ประโยชน์มากถ้าทำสำเร็จเพราะเขาไม่จำเป็นต้องกังวลที่ต้องมาป้องกันตัวจากผู้วิเศษจิงเต้าในอนาคต เพราะเขาเองก็กลัวว่าสุดท้ายตัวเองจะกลายเป็นแบบเดียวกับปรมาจารย์เหล้าไวน์หรือเสี่ยจิวหวงอีก

แต่ในตอนนั้นเอง กระจกหยินหยางในมือของผู้วิเศษจิงเต้าก็ยิงลำแสงชุดสุดท้ายออกมาใส่ดาบโบราณ แต่ดาบโบราณนั้นกลับเลิกใช้แสงดาบและใช้ตัวดาบฟันทะลุแสงนั้นเข้าใส่กระจกหยินหยางโดยตรงเข้าใส่กระจกหยินหยางแบบไม่สามารถป้องกันได้เลย

ทั้งหลิวหยุนและโจวเหวินดีใจมากที่เห็นแบบนั้นเพราะถ้ากระจกหยินหยางแตกอย่างน้อยวิญญาณที่ถูกผนึกอยู่ในกระจกนั้นก็จะเป็นอิสระ วิญญาณของพวกเขาก็ด้วยเช่นกัน

ชริ้ง

แต่ในจังหวะที่ดาบหินนั้นกำลังจะฟันโดนกระจกหยินหยางนั้นเอง ผู้วิเศษจิงเต้าก็ชักกระจกโบราณกลับ แล้วใช้หินอาคมในมืออีกข้างเข้าใส่ดาบหิน

ดาบหินนั้นส่งเสียงดังลั่นก่อนจะตกลงสู่พื้นอย่างไร้พลังพร้อมๆกับหินอาคมนั้น เหมือนกับว่าหินอาคมนั้นกำลังผนึกวิญญาณของดาบนั้นอยู่ยังไงอย่างงั้น

ผู้วิเศษจิงเต้าไม่สนใจทั้งหินทั้งดาบ เขาวิ่งเข้าไปที่โถงด้านหลังอย่างไวแล้วหายวับไปทันที และในพริบตาเดียวกันนั้น เขาก็วาปไปถึงจุดที่มีกองตำราไม้ไผ่อยู่วินาทีหินอาคมก็แตกออกแล้วดาบหินก็เป็นอิสระอีกครั้ง แต่ดาบหินกลับบินวนไปมาแล้วไม่ตามไปที่โถงด้านหลัง มันกลับบินกลับเข้าฝักของตัวเองซะงั้น

“บ้าเอ้ย รู้งี้น่าจะลงมือแต่แรก”หลิวหยุนเสียดาย

โจวเหวินส่ายหัวแล้วพูด “ลงมือไปก็เท่านั้นละ ผู้วิเศษจิงเต้าคงจับจิตสังหารของเราได้แล้วคงจัดการเราก่อนที่เราจะเข้าถึงตัวด้วยซ้ำ”

“แล้วเราเอาไงต่อละ ไอ้ดาบนั้นมันก็เฝ้าอยู่กลางโถงเลย เราคงไม่มีโอกาสได้เข้าไปในนั้นแบบเดียวกับที่ผู้วิเศษจิงเต้าทำได้แน่ๆ”หลิวหยุนพูด

“ในเมื่อเราเข้าไปไม่ได้ เรารอก็ได้นี้”โจวเหวินออกมาจากประตูแล้วมองมารพยัคฆ์เกราะวิญญาณสู้กับรูปปั้นทองคำทั้ง12ตัว

มารพยัคฆ์เกราะวิญญาณนั้นดูจะแกร่งกล้าขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ว่ามันจะยังมีจุดอ่อนด้อย แต่ตอนนี้มันก็สามารถกลับมาต้านทานการลุมของรูปปั้นได้อีกครั้ง ไม่ได้แพ้ยับเหมือนก่อนหน้านี้

โจวเหวินอดมองเปลวไฟสีม่วงที่ลุกโชดช่วงร่างกายและเกราะของมารพยัคฆ์เกราะวิญญาณไม่ได้เลย

“วิชาจักรพรรดิโบราณมันช่วยให้ความสามารถในการต่อสู้ดีขึ้นก็จริง วิญญาณชีวิตของจักรพรรดิโบราณเองก็แกร่งขึ้นต่อเมื่อต่อสู้ไปเรื่อยๆเหมือนกัน มันมีความคล้ายคลึงกันกับมารพยัคฆ์เกราะวิญญาณเลยนะเนี่ย เป็นไปได้ไหมนะที่มารพยัคฆ์เกราะวิญญาณจะสามารถพัฒนาได้ด้วยวิธีนั้นเหมือนกัน มันอาจจะช่วยทำให้วิญญาณชีวิตจักรพรรดิโบราณพัฒนาต่อไปได้ก็ได้”โจวเหวินคิด “ถึงวิชาจักรพรรดิโบราณจะไม่ได้เอาความโกรธแค้นมาเป็นพลังงานแบบเดียวกับมารพยัคฆ์เกราะวิญญาณ แต่มันก็เป็นวิญญาณชีวิตที่ทรงพลังเหมือนกัน ถ้าเกิดใช้วิญญาณชีวิตจักรพรรดิโบราณแบบนั้นละก็”โจวเหวินคิดหาทางทุกอย่างแต่ตอนนี้ดูเหมือนมันจะไม่ใช่เวลาจะมาศึกษาแต่อย่างใด เขาเอาโทรศัพท์ออกมาแล้วเปิดเกมส์สุสานปฐมจักรพรรดิ

ในเกมส์นั้นสุสานไม่ได้มีทางเข้า แต่ตอนนี้โจวเหวินรู้ทางเข้าจริงๆแล้วเขาจึงอัญเชิญอสูรปฐพีออกมาในเกมส์ก่อนจะมุดดินไปโผล่อีกทีที่เสาท่ามกลางทะเลปรอท

เขาสามารถข้ามทะเลปรอทมาได้อย่างง่ายดายก่อนจะมาโผล่อีกทีที่เมืองแต่เขาไม่ได้มีดาบจักรพรรดิฉินโบราณในเกมส์ ทำให้เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากลองเข้าไปในเมืองนั้นโดยการใช้อสูรปฐพีดู

แต่น่าเสียดายที่เมืองนี้มันเหมือนมีสนามพลังอะไรบางอย่างที่คอยป้องกันอยู่ทำให้อสูรปฐพีเข้าไปในนั้นไม่ได้

“คงต้องลองไม้แข็งบ้างซินะ”โจวเหวินสั่งการตัวละครของเขาให้ระดับหมัดต่อยไปที่ประตูอย่างแรงแต่มันก็ไร้ผล ไม่ว่าจะใช้การโจมตีที่หนักหน่วงรุนแรงขนาดไหน แต่ประตูก็ไม่แม้แต่จะขยับ

“มันไม่มีทางเข้าอื่นนอกจากจะใช้ดาบนั่นเลยเหรอ”โจวเหวินใช้สดับวานรเงี่ยหูฟังโครงสร้างของประตูดีๆ ก่อนจะเพ่งไปที่รูที่เสียบดาบ หวังว่าเขาจะสามารถใช้ความสามารถของสัตว์อสูรตัวเล็กๆในการเปิดกลไกได้

แต่น่าเสียดายที่ภายในรูเสียบนั้นมันไม่มีกลไกอะไรทั้งนั้น มันเป็นแค่ปลอกดาบที่ขนาดเท่ากับดาบจักรพรรดิฉิน

แต่ตอนที่โจวเหวินกำลังผิดหวังนั้นเอง เขาก็พบเข้ากับตัวอักษรที่สลักอยู่บนบานประตู

“แปลกแหะ ทำไมฉันถึงคุ้นๆว่าเคยเจอที่ไหนมาก่อนละ”โจวเหวินมองด้วยความสงสัย แล้วเขาก็นึกขึ้นมาได้ว่า ที่หน้าบานประตูในความเป็นจริงนั้น มันไม่มีข้อความอะไรแบบนี้เขียนอยู่

โจวเหวินมองดูตัวอักษรในเกมส์ ตัวอักษรพวกนั้นคือตัวอักษรโบราณของฝั่งตะวันออก ตอนที่โจวเหวินฝึกฝนวิชาเต๋าก่อนหน้านี้เขาก็เรียนรู้ตัวอักษรพวกนี้มาบ้าง ทำให้เขาพอจะอ่านออกอยู่บ้าง

“นี้มันหรือว่าจะเป็นวิชาลมปราณงั้นเหรอ”หลังจากที่อ่านตัวอักษรบนประตูแล้ว โจวเหวินก็ตกใจเล็กน้อย เขาไม่คิดว่าจะได้เจอกับวิชาลมปราณแห่งสุสานปฐมจักรพรรดิในที่แบบนี้ แต่วิชาลมปราณนั้นมันไม่มีที่มาที่ไปเอาซะเลย เขาเลยไม่รู้ว่าวิชาลมปราณนั้นมันคืออะไรกันแน่

ตอนที่โจวเหวินกำลังใช้โทรศัพท์นั่งดูวิชาลมปราณอยู่นั้นเองหลิวหยุนที่อยู่ข้างๆก็มองเข้าไปในโถงซักพัก ก่อนจะหันไปมองมารพยัคฆ์เกราะวิญญาณที่กำลังสู้อยู่ แล้วเขาก็เริ่มใจร้อนก่อนจะพูดออกมา “นี้เจ้ารุ่นน้อง มันใช่เวลาที่นายจะมานั่งเล่นโทรศัพท์ไหมเนี่ยพวกเราหาทางเข้าไปดูข้างในกันเถอะ จะได้รู้ว่าผู้วิเศษจิงเต้านั้นต้องการอะไรกันแน่”

“ถ้ามีดาบหินอยู่ยังไงก็เข้าไปไม่ได้หรอก ถ้านายหาทางได้ก็ลองดูซิ”โจวเหวินพูดสวน