เวลานี้เทียนหยาจื่อและคนอื่น ๆ ได้ค่อย ๆ ลอยตัวลงมาที่พื้น

ผู้อาวุโสหลายคนลอยตัวลงมาอยู่ที่เบื้องหน้าของเทียนตู้

ตอนนี้เทียนตู้ยังคงอยู่ในสภาพที่ตะลึงงัน ยังไม่ได้ฟื้นคืนสติกลับมาหลังจากที่ตนเองพ่ายแพ้

เทียนหยาจื่อมองไปยังเทียนตู้และพูดขึ้นว่า: “ลุกขึ้นเถอะ ลูกหลานตระกูลเทียน เมื่อเอาชนะได้ก็ไม่โอ้อวด เมื่อพ่ายแพ้ก็ไม่ต้องท้อใจ นายจะนอนกองไปถึงเมื่อไรกัน”

เวลานี้เทียนตู้ถึงจะตั้งสติกลับคืนมาได้ กัดฟันแล้วก็ลุกยืนขึ้น

ลู่ฝานลงมือไม่หนักเท่าไร หมัดสุดท้ายก็แค่โจมตีใส่เพื่อไม่ให้เขามีความสามารถในการต่อสู้ต่อไปได้อีกเท่านั้น อาการบาดเจ็บภายในก็จึงไม่หนักหนาอะไรมากนัก

“ผู้อาวุโสเทียนหยาจื่อ ผู้อาวุโสเทียนชิวจื่อ ผู้อาวุโสเทียนเซี่ยวจื่อ เทียนตู้ไร้ความสามารถ ทำให้ตระกูลเทียนอับอายขายหน้าแล้ว! ”

เทียนตู้สีหน้าขาวซีด และพูดขึ้นด้วยความเศร้าหมอง

เทียนหยาจื่อและคนอื่น ๆ ก็หัวเราะกันขึ้น

ผู้อาวุโสเทียนชิวจื่อพูดขึ้นพร้อมกับลูบหนวดเคราขาวว่า: “นี่จะถือว่าอับอายขายหน้าได้อย่างไรกัน ถ้าหากว่าประลองแล้วพ่ายแพ้ให้กับคนอื่นก็อับอายขายหน้าแล้ว ถ้าอย่างนั้นเจ้าบ้านของพวกเรา ก็คงจะสร้างความอับอายขายหน้าไปทั่วแล้ว”

เทียนตู้ตกใจเล็กน้อย เทียนชิวจื่อพลันใช้มือตีเบา ๆ ไปที่ศีรษะของเทียนตู้

“เส้นทางนักบู๊ มีอุปสรรคมากมาย หากไม่ประสบกับความพ่ายแพ้เล็กน้อยบ้าง ก็จะประสบกับปัญหาอุปสรรคที่หนักหนา ความพ่ายแพ้ของนายในวันนี้ ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ว่าอีกฝ่ายหนึ่งมีพลังความสามารถมากแค่ไหน แต่เป็นนายเองต่างหากที่อ่อนแอลง นายไม่รู้สึกตัวบ้างเลยหรืออย่างไร? ”

เทียนตู้พูดขึ้นอย่างไม่เข้าใจว่า: “ฉันอ่อนแอลงแล้วเหรอ? ผู้อาวุโส ฉันไม่เข้าใจ ตอนที่ฉันออกมาจากตระกูลเทียน ก็เป็นแค่นักบู๊แดนปราณนอกคนหนึ่ง พลังหมัดไม่สามารถสั่นสะเทือนภูเขาได้ พลังเท้าก็ยังไม่สามารถต้านทานสายน้ำเชี่ยวกรากได้เลย แต่ตอนนี้ฉันเป็นนักบู๊แดนปราณชีวิตแล้ว ทำไมถึงได้อ่อนแอลงอีกล่ะ”

เทียนชิวจื่อตีลงไปบนศีรษะของเทียนตู้อีกครั้งแล้วพูดว่า: “ไอ้เด็กโง่ ตอนนั้นที่นายออกมาจากตระกูล มีจิตวิญญาณ มีความมุ่งมั่น และมีมานะเพื่อเอาชนะความยากลำบาก ตั้งใจที่จะเข้าสู่สำนักบู๊องอาจให้ได้ มีวัตุประสงค์เป้าหมายที่ชัดเจน มีวิถีบู๊ที่ชัดเจน และมีพัฒนาการอย่างรวดเร็ว แต่ในตอนนี้ เป้าหมายของนายล่ะ วิถีบู๊ของนายล่ะ? ”

คำพูดดังกล่าวถึงกับทำให้เทียนตู้เหงื่อไหลท่วมตัวไปหมด

เทียนตู้พลันคุกเข่าลงทันที และพูดว่า: “ผู้อาวุโส ฉันเข้าใจแล้ว”

เทียนชิวจื่อยิ้มและพูดว่า: “นายเข้าใจแล้วจริงเหรอ? ”

เทียนตู้กัดฟันพูดว่า: “เข้าใจแล้ว หลังจากวันนี้ไป สถาบันบู๊องอาจจะไม่มีชื่อของเทียนตู้อีก ลูกศิษย์เต็มใจที่จะกลับไปฝึกฝนในแดนเพลงฟ้าของตระกูล”

เทียนชิวจื่อ เทียนหยาจื่อ เทียนเซี่ยวจื่อต่างก็ยิ้มหัวเราะขึ้น

เทียนหยาจื่อตีไปที่ไหล่ของเทียนตู้และพูดว่า: “แบบนี้ก็ถูกต้องแล้ว สิบปีหลังจากนี้ ตระกูลเทียนก็คงจะมีนักบู๊แดนปราณฟ้าเพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่ง! ”

เทียนตู้แสดงความเคารพต่อผู้อาวุโสเหล่านี้ ด้วยความนอบน้อมอย่างที่สุด

แสงในดวงตาเปล่งประกายขึ้นก่อน จากนั้นก็มั่นคง ท้ายที่สุดก็สงบนิ่งเฉยเมย

เพียงแค่การกระทำเดียวนี้ เหมือนกับว่าเทียนตู้ได้มีพัฒนาการยกระดับขึ้นแล้ว

นี่ก็คือการเข้าใจบรรลุในหลักเต๋า!

เทียนตู้ลุกยืนขึ้น แล้วก็เดินไปยังด้านข้างของเว่ยซูจิ้ง และพูดขึ้นว่า: “ศิษย์น้อง เมื่อศิษย์พี่จากไปแล้ว ก็อย่าได้คิดถึงฉันนะ! ”

เมื่อพูดจบ เทียนตู้ก็นำสิ่งของอย่างหนึ่งวางลงบนมือของเว่ยซูจิ้ง ซึ่งก็คือด้ามกระบี่ของเขา เพราะตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องใช้แล้ว!

เว่ยซูจิ้งมองไปที่เทียนตู้อย่างตกตะลึง แม้ว่าเธอจะไม่เข้าใจถึงความหมายที่เทียนตู้ได้พูดขึ้น แต่เธอก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า เทียนตู้จะจากเธอไปแล้ว

เว่ยซูจิ้งพูดตะโกนขึ้นว่า: “นายจะจากไปแล้วเหรอ? นายจะจากไปได้อย่างไรกัน นายยังจะต้องฝึกฝนในสถาบันอีกนะ แล้วอสูรวิเศษที่นายตกลงจะนำมาให้ฉันล่ะ? ”

เทียนตู้หันหลังให้กับเว่ยซูจิ้งและพูดขึ้นว่า: “ฉันพ่ายแพ้แล้ว ดังนั้นจึงนำมาให้เธอไม่ได้ ส่วนลู่ฝานนั้นก็ไม่ได้พูดอะไร เกรงว่าจะไม่มีความต้องการอะไรจากการเดิมพันของฉันเลย ฉันล้มเหลวมากเสียจริงเลย! แต่ต่อไปฉันจะไม่ล้มเหลวแบบนี้อีกแล้ว”

เมื่อพูดจบ เทียนตู้ก็จากไปพร้อมกับผู้อาวุโสทั้งหลายนั้น

นับตั้งแต่วันนี้ไป เทียนตู้แห่งสถาบันบู๊องอาจได้หายสาบสูญไปแล้ว ส่วนแดนลึกลับตระกูลเทียน ภายในแดนเพลงฟ้านั้น จะมีผู้ฝึกฝนเพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่ง